หนังเก่าเล่าใหม่ 094: Dogtooth (Yorgos Lanthimos, 2009)
"จำลองสังคมเผด็จการภายใต้ความตลกร้าย" Dogtooth เป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้ผู้กำกับ 'ยอร์กอส ลานธิมอส' ในการได้รับรางวัล 'Un Certain Regard Award' ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แน่นอนว่า ตัวภาพยนตร์ไม่ได้ส่งมอบความบันเทิงใจหรือความเบิกบานใจเลยแม้แต่น้อย 'Dogtooth' จัดเป็นภาพยนตร์ที่ดูยากและต้องอาศัยการตีความในบริบทแวดล้อมต่างๆตลอดเวลา หนังเล่าเรื่องราวครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน พฤติกรรมของพ่อและแม่คือการพยายามยัดเยียดชุดความคิดที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไปให้กับลูกตัวเอง ลูกทั้งสามคนถูกปลูกฝังชุดความคิดที่แปลกประหลาด อาทิ ซอมบี้คือดอกไม้สีเหลือง, ทะเล คือเก้าอี้ที่หุ้มด้วยหนัง เป็นต้น เด็กๆทั้งสามคนไม่มีโอกาสได้ออกไปจากรั้วนอกบ้านหรือได้พบเจอโลกภายนอกเลย มีก็แต่เพียงเครื่องบินที่บินผ่านหรือแมวที่กระโดดผ่านกำแพงรั้วเข้ามาเท่านั้น เพราะลูกทั้งสามคนถูกพ่อสอนว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายมาก และจะต้องรอให้ 'ฟันหมา (Dogtooth)' ในที่นี้คือ 'ฟันเขี้ยว' หลุดออกจากปากเท่านั้นถึงจะออกจากบ้านไปเผชิญโลกภายนอกได้ ซึ่งแน่นอนว่า 'ฟันเขี้ยว' ที่ไหนกันจะหลุดออกมาได้ง่ายๆอย่างธรรมชาติ เด็กๆทั้งสามคนจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ภายใต้กรอบของคนเป็นพ่อและแม่เพียงเท่านั้น(แม่ก็อยู่ใต้อาณัติพ่ออีกที)
แน่นอนว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อเรียนรู้และตั้งคำถาม จนสามารถแก้ไขปัญหาหรือต่อยอดจากคำถามเหล่านั้นเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อเติบโตขึ้นมาภายใต้การบังคับหรือถูกกฎเกณฑ์สร้างกรอบให้ชีวิตตลอดเวลา ความอยากรู้อยากกระโดดออกจากกรอบเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากออกนอกกรอบจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ถ้ามนุษย์นั้นอยู่ในพื้นที่ปิดอย่างแนบสนิท สำหรับในเรื่อง คนเป็นพ่อได้ทำสิ่งผิดพลาดในการพาหญิงสาวคนนอกเข้ามาในบ้าน เพื่อให้ลูกชายได้สำเร็จความความใคร่ การพาคนนอกเข้ามาในอาณาเขตปิดล้อม คือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในพื้นที่ปิดแห่งนี้ เมื่อคนภายนอกหยิบยื่นโลกภายนอกมาสู่เหล่าเด็กๆ ความอยากรู้ ความอยากลอง จึงถูกปลุกขึ้นในทันที อย่างไรก็ตาม ตัวละครลูกหรือรวมไปถึงคนเป็นแม่ในเรื่องนั้นมีภาวการณ์ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงของคนเป็นพ่อแต่อย่างใด ประเด็นนี้ตัวหนังนำเสนอได้อย่างแยบยล เราลองจินตนาการเวลาเราจะให้อาหารสัตว์เลี้ยง เรามักจะให้สัตว์เลี้ยงแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้เราพึ่งพอใจ เช่น การให้สัตว์ยกขาสวัสดี เมื่อทำเสร็จก็จะได้รับอาหาร ตัวละครลูกๆในเรื่องก็ต้องทำกิจกรรมแบบนี้เพื่อแลกของที่ตัวเองต้องการ สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ภายใต้กรอบการปกครองของคนเป็นพ่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ในมุมหนึ่งหนังเองสะท้อนสถาบันครอบครัวได้อย่างแน่นอน การเลี้ยงดูลูกๆและปลูกฝังความคิดที่ผิดและบิดเบือนความจริงต่อธรรมชาติที่เป็นอยู่ วิธีรังแกของผู้ปกครอบที่ดูเผินๆเหมือนเป็นการปกป้องดูแล แต่กลับกลายเป็นว่า 'พ่อแม่รังแกฉัน' เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีทางยัดเยียดหรือสั่งสอนชุดความคิดได้ทั้งหมด ธรรมชาติมนุษย์จะเรียนรู้และอยากลองด้วยตัวเองอยู่เสมอ ธรรมชาติความเป็นเพศชาย-หญิง ไม่สามารถสอนสั่งกันได้อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น จากจุดเล็กๆในสถาบันครอบครัวที่ 'Dogtooth' นำเสนอนั้นยังสะท้อนสังคมในภาพใหญ่ของระบอบเผด็จการ ที่ผู้ปกครองควบคุมและยัดชุดความคิดที่เหมือนๆกัน ให้ปกครอบได้อย่างง่ายดายและเบ็ดเสร็จไม่ออกนอกลู่นอกทาง คนเป็นพ่อจึงเปรียบเสมือนผู้นำระบอบที่ปกครองประชาชนคือคนเป็นแม่และลูกๆทั้งสามคน ประชาชนจึงมีหน้าที่เชื่อฟังผู้นำโดยห้ามตั้งคำถามต่อความเชื่อดังกล่าวที่ชวนตลกร้าย+สิ้นคิดต่อสามัญสำนึก สัญลักษณ์เครื่องบินที่บินผ่านหรือของเล่นในเรื่องจึงเป็นตัวแทนของอิสรภาพที่ตัวละครหวังปรารถนาอยู่ตลอดเวลา และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังยึดโยงพวกเขาต่อโลกภายนอกได้อยู่บ้าง ทั้งหมดจึงนำพามาสู่บทสรุปที่ชวนตั้งคำถามต่อเหตุการณ์หลังจากนี้ต่อไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อระบบปกครองแบบนี้ และผู้ที่หลุดรอดออกจากระบบจนได้รับอิสรภาพจะดำรงชีวิตในโลกเสรีต่อไปยังไง ทั้งหมดเป็นคำถามที่ชวนคิดต่อ
ท้ายสุด 'Dogtooth' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่พาเราไปพบเหตุการณ์สุดแปลกประหลาด แต่แฝงไปด้วยแนวความคิดที่แยบคายผสมความตลกร้าย เรื่องราวในเรื่องเป็นอะไรที่เซอร์เรียล แต่จนแล้วจนรอดความเซอร์เรียลของหนังกลับให้ข้อเท็จจริงบางอย่างที่น่าสนใจต่อระบบการปกครอบรูปแบบหนึ่ง จนเราอาจจะแยกไม่ออกว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องสมมติขึ้น หรือเรื่องจริงกันแน่ สถานที่จำลองในเรื่องจึงสามารถสะท้อนจำลองประเทศใดประเทศหนึ่งได้เลย ความตลกร้ายในเรื่องจึงให้ภาวการณ์ที่ขำไม่ออกอยู่เหมือนกัน ดังนั้นแล้ว ถ้าใครอยากดูงานแปลกๆแหวกแนว แต่มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่น่าค้นหา พร้อมประเด็นความเป็นมนุษย์และชนชั้นปกครองของระบอบเผด็จการ ที่ยึดโยงอำนาจไว้ที่คนปกครองเพียงผู้เดียว ภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะสะท้อนประเด็นต่างๆเหล่านี้ออกมาได้ดี และอาจจะได้รับประเด็นอื่นๆนอกจากนี้ก็เป็นได้....สุดท้าย เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าโลกของเสรีภาพนั้นสุดแสนน่ากลัว...ถ้าเราไม่กล้าที่จะเดินออกจากโลกของการปิดกั้นไปเสียก่อน...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
หนังเก่าเล่าใหม่ 094: Dogtooth (Yorgos Lanthimos, 2009) รีวิวโดย Form Corleone
"จำลองสังคมเผด็จการภายใต้ความตลกร้าย" Dogtooth เป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้ผู้กำกับ 'ยอร์กอส ลานธิมอส' ในการได้รับรางวัล 'Un Certain Regard Award' ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แน่นอนว่า ตัวภาพยนตร์ไม่ได้ส่งมอบความบันเทิงใจหรือความเบิกบานใจเลยแม้แต่น้อย 'Dogtooth' จัดเป็นภาพยนตร์ที่ดูยากและต้องอาศัยการตีความในบริบทแวดล้อมต่างๆตลอดเวลา หนังเล่าเรื่องราวครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน พฤติกรรมของพ่อและแม่คือการพยายามยัดเยียดชุดความคิดที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไปให้กับลูกตัวเอง ลูกทั้งสามคนถูกปลูกฝังชุดความคิดที่แปลกประหลาด อาทิ ซอมบี้คือดอกไม้สีเหลือง, ทะเล คือเก้าอี้ที่หุ้มด้วยหนัง เป็นต้น เด็กๆทั้งสามคนไม่มีโอกาสได้ออกไปจากรั้วนอกบ้านหรือได้พบเจอโลกภายนอกเลย มีก็แต่เพียงเครื่องบินที่บินผ่านหรือแมวที่กระโดดผ่านกำแพงรั้วเข้ามาเท่านั้น เพราะลูกทั้งสามคนถูกพ่อสอนว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายมาก และจะต้องรอให้ 'ฟันหมา (Dogtooth)' ในที่นี้คือ 'ฟันเขี้ยว' หลุดออกจากปากเท่านั้นถึงจะออกจากบ้านไปเผชิญโลกภายนอกได้ ซึ่งแน่นอนว่า 'ฟันเขี้ยว' ที่ไหนกันจะหลุดออกมาได้ง่ายๆอย่างธรรมชาติ เด็กๆทั้งสามคนจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ภายใต้กรอบของคนเป็นพ่อและแม่เพียงเท่านั้น(แม่ก็อยู่ใต้อาณัติพ่ออีกที)
แน่นอนว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อเรียนรู้และตั้งคำถาม จนสามารถแก้ไขปัญหาหรือต่อยอดจากคำถามเหล่านั้นเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อเติบโตขึ้นมาภายใต้การบังคับหรือถูกกฎเกณฑ์สร้างกรอบให้ชีวิตตลอดเวลา ความอยากรู้อยากกระโดดออกจากกรอบเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากออกนอกกรอบจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ถ้ามนุษย์นั้นอยู่ในพื้นที่ปิดอย่างแนบสนิท สำหรับในเรื่อง คนเป็นพ่อได้ทำสิ่งผิดพลาดในการพาหญิงสาวคนนอกเข้ามาในบ้าน เพื่อให้ลูกชายได้สำเร็จความความใคร่ การพาคนนอกเข้ามาในอาณาเขตปิดล้อม คือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในพื้นที่ปิดแห่งนี้ เมื่อคนภายนอกหยิบยื่นโลกภายนอกมาสู่เหล่าเด็กๆ ความอยากรู้ ความอยากลอง จึงถูกปลุกขึ้นในทันที อย่างไรก็ตาม ตัวละครลูกหรือรวมไปถึงคนเป็นแม่ในเรื่องนั้นมีภาวการณ์ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงของคนเป็นพ่อแต่อย่างใด ประเด็นนี้ตัวหนังนำเสนอได้อย่างแยบยล เราลองจินตนาการเวลาเราจะให้อาหารสัตว์เลี้ยง เรามักจะให้สัตว์เลี้ยงแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้เราพึ่งพอใจ เช่น การให้สัตว์ยกขาสวัสดี เมื่อทำเสร็จก็จะได้รับอาหาร ตัวละครลูกๆในเรื่องก็ต้องทำกิจกรรมแบบนี้เพื่อแลกของที่ตัวเองต้องการ สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ภายใต้กรอบการปกครองของคนเป็นพ่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ในมุมหนึ่งหนังเองสะท้อนสถาบันครอบครัวได้อย่างแน่นอน การเลี้ยงดูลูกๆและปลูกฝังความคิดที่ผิดและบิดเบือนความจริงต่อธรรมชาติที่เป็นอยู่ วิธีรังแกของผู้ปกครอบที่ดูเผินๆเหมือนเป็นการปกป้องดูแล แต่กลับกลายเป็นว่า 'พ่อแม่รังแกฉัน' เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีทางยัดเยียดหรือสั่งสอนชุดความคิดได้ทั้งหมด ธรรมชาติมนุษย์จะเรียนรู้และอยากลองด้วยตัวเองอยู่เสมอ ธรรมชาติความเป็นเพศชาย-หญิง ไม่สามารถสอนสั่งกันได้อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น จากจุดเล็กๆในสถาบันครอบครัวที่ 'Dogtooth' นำเสนอนั้นยังสะท้อนสังคมในภาพใหญ่ของระบอบเผด็จการ ที่ผู้ปกครองควบคุมและยัดชุดความคิดที่เหมือนๆกัน ให้ปกครอบได้อย่างง่ายดายและเบ็ดเสร็จไม่ออกนอกลู่นอกทาง คนเป็นพ่อจึงเปรียบเสมือนผู้นำระบอบที่ปกครองประชาชนคือคนเป็นแม่และลูกๆทั้งสามคน ประชาชนจึงมีหน้าที่เชื่อฟังผู้นำโดยห้ามตั้งคำถามต่อความเชื่อดังกล่าวที่ชวนตลกร้าย+สิ้นคิดต่อสามัญสำนึก สัญลักษณ์เครื่องบินที่บินผ่านหรือของเล่นในเรื่องจึงเป็นตัวแทนของอิสรภาพที่ตัวละครหวังปรารถนาอยู่ตลอดเวลา และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังยึดโยงพวกเขาต่อโลกภายนอกได้อยู่บ้าง ทั้งหมดจึงนำพามาสู่บทสรุปที่ชวนตั้งคำถามต่อเหตุการณ์หลังจากนี้ต่อไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อระบบปกครองแบบนี้ และผู้ที่หลุดรอดออกจากระบบจนได้รับอิสรภาพจะดำรงชีวิตในโลกเสรีต่อไปยังไง ทั้งหมดเป็นคำถามที่ชวนคิดต่อ
ท้ายสุด 'Dogtooth' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่พาเราไปพบเหตุการณ์สุดแปลกประหลาด แต่แฝงไปด้วยแนวความคิดที่แยบคายผสมความตลกร้าย เรื่องราวในเรื่องเป็นอะไรที่เซอร์เรียล แต่จนแล้วจนรอดความเซอร์เรียลของหนังกลับให้ข้อเท็จจริงบางอย่างที่น่าสนใจต่อระบบการปกครอบรูปแบบหนึ่ง จนเราอาจจะแยกไม่ออกว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องสมมติขึ้น หรือเรื่องจริงกันแน่ สถานที่จำลองในเรื่องจึงสามารถสะท้อนจำลองประเทศใดประเทศหนึ่งได้เลย ความตลกร้ายในเรื่องจึงให้ภาวการณ์ที่ขำไม่ออกอยู่เหมือนกัน ดังนั้นแล้ว ถ้าใครอยากดูงานแปลกๆแหวกแนว แต่มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่น่าค้นหา พร้อมประเด็นความเป็นมนุษย์และชนชั้นปกครองของระบอบเผด็จการ ที่ยึดโยงอำนาจไว้ที่คนปกครองเพียงผู้เดียว ภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะสะท้อนประเด็นต่างๆเหล่านี้ออกมาได้ดี และอาจจะได้รับประเด็นอื่นๆนอกจากนี้ก็เป็นได้....สุดท้าย เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าโลกของเสรีภาพนั้นสุดแสนน่ากลัว...ถ้าเราไม่กล้าที่จะเดินออกจากโลกของการปิดกั้นไปเสียก่อน...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/