ความคิดที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าหากเราคิดให้ถูกต้อง การทำกำไรในตลาดหุ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
คนที่เข้ามาในตลาดหุ้น ต่างหวังต้องการกำไรจากตลาด แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่า การหวังกำไรปีละ 100% 1000% เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ บางคนคาดหวังว่าจะกำไรเดือนละ 10% ปีนึงก็เท่ากับ 120% ซึ่งในความเป็นจริง โอกาสที่จะกำไร 120% ต่อปีมันยากมาก ถ้าถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้ไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นไปได้ (ถ้าตลาดเป็นใจ) แต่ถ้าต้องการกำไรระดับนี้ในทุกๆ ปีและตลอดไป มันคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวมองว่าคนที่เข้ามาในตลาดที่คาดหวังว่าจะทำกำไรได้ทุกวัน ทุกเดือน นั้นน่าจะมีอยู่เยอะมาก แตกต่างกับคนที่คาดหวังกำไรเป็นรายปี ซึ่งน่าจะมีน้อยกว่าเยอะ
หลักการเก็งกำไรในตลาดหุ้น กับตลาดการค้า แตกต่างกัน
คนที่ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ชอบซื้อตอนหุ้นกำลังตก และขายเมื่อหุ้นกำลังขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็น คำพูดที่ถูก แต่อาจจะไม่ตรงกับหลักการที่แท้จริง เพราะเวลาหุ้นกำลังตก มีใครรู้บ้างว่า ตรงไหนคือ จุดที่ราคาต่ำเกือบที่สุดแล้ว หรือขายในราคาที่เกือบสูงที่สุดแล้ว ผมคิดว่าคงไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน เพราะถ้ารู้กันทุกคน เราคงไม่เห็นคนที่ขาดทุนในตลาด
แตกต่างกับพ่อค้าแม่ค้า ที่มีหลักความคิดอีกแบบหนึ่ง คือ ซื้อของที่กำลังนิยม มาขาย ส่วนของที่ตกรุ่น ก็ขายเอาทุนคืน ซึ่งแน่นอนว่าของที่กำลังนิยม คือ ของที่เริ่มมีราคาแพง หรือราคาแพงไปแล้ว และของที่กำลังตกรุ่น หรือคนเลิกนิยมแล้ว ก็คือ ของที่ขายไม่ได้ หรือขายไม่ได้ราคา อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ เลยต้อง พยายามขายออกไป เพื่อเอาทุนคืน
สมมติ มีพ่อค้าขายเสื้อยืด อยู่ 2 สี คือ สีฟ้า กับสีชมพู ตอนไปรับมาครั้งแรก ราคาทุนเท่ากันอยู่ที่ 100 บาท พ่อค้าก็ซื้อมาทั้งสองแบบๆ ละ 200 ตัว รวม 400 ตัว ในราคาตัวละ 150 บาท ปรากฎว่าเสื้อสีฟ้าขายหมด 200 ตัว แต่เสื้อสีชมพูขายไปได้แค่ 20 ตัว ตอนหลังพ่อค้าจึงไปรับเสื้อมาขายเพิ่ม แต่ร้านบอกว่า คราวนี้เสื้อสีฟ้า ราคาทุนเพิ่มเป็น 120 บาท และเสื้อสีชมพู ราคาเหลือ 70 บาท ถ้าคุณเป็นพ่อค้า คุณจะซื้อเสื้อสีไหนมาขาย เพราะอะไร???
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตอบว่า ก็ซื้อเสื้อสีฟ้ามาขาย เพราะมันขายดีกว่า ถึงแม้ราคาจะแพง เราก็ยังมีกำไร หรือจะบวกกำไรเพิ่ม ก็น่าจะยังขายได้ แต่เสื้อสีชมพู ถูกกว่าเดิม แน่นอนว่าถ้าเรายังขายที่ราคาตัวละ 150 อาจจะขายไม่ออก อาจจะต้องจำใจขายในราคา 100 (เพื่อเอาทุนคืน) หรืออาจจะต้องขายในราคาต่ำกว่านี้ เพื่อเอาทุนคืน และระบายของออก คงไม่มีพ่อค้าแม่ค้าคนไหนบอกว่า เสื้อสีชมพูถูกกว่าเดิม เลยซื้อเยอะกว่าเดิม ส่วนเสื้อสีฟ้าแพงกว่าเดิมเลยไม่ซื้อมาขาย
แต่ทำไมหลักความคิดในตลาดหุ้น ถึงตรงกันข้าม คนส่วนใหญ่มักจะซื้อตอนหุ้นกำลังจะลง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า มันจะลงไปอีกมากแค่ไหน หรือเลือกที่จะรอให้หุ้นมันเริ่มขึ้นก่อน แล้วค่อยเข้าไปซื้อ แต่เอาเข้าจริงๆ ในตลาดหุ้นมันก็มีความซับซ้อนมากกว่าจริง เพียงแค่ผมเอาแนวคิดมาเปรียบเทียบถึงความแตกต่างเท่านั้น
การวางระบบซื้อขาย จำเป็นหรือไม่ ?
ถ้าหากเราไม่มีการวางระบบ แสดงว่าเราไม่มีหลักการทางความคิดในการซื้อขายหุ้น การซื้อขายที่เกิดขึ้น มันจะเกิดจากการ การซื้อโดยใช้อารมณ์ ตามข่าวที่เขาบอก ตามคนเชียร์ ฟังคนอื่นมา ตามนักวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งมันอาจจะถูก หรือผิดก็ได้
แต่การวางระบบซื้อขายที่ดี เราจะรู้ว่า เราเข้าไปซื้อมันเพราะอะไร ซื้อตรงไหน และจะขายตอนไหน ขายเพราะอะไร จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลออกมาว่า ความน่าจะเป็นในระยะยาว จะสามารถทำกำไรได้จริงหรือไม่ ซึ่งจริงๆ ตรงนี้มันใช้ได้ทั้งในหลักการของแนว VI และแนว TA เพียงแต่วิธีการแตกต่างกัน
ผมคิดว่าคนที่เป็น VI จริงๆ เขามีหลักการคิดที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน เขาจะไม่ซื้อหุ้นแค่เพียงราคามันแพง หรือถูก แต่เขาจะซื้อเพราะมีเหตุผลเพียงพอในการที่จะเข้าซื้อ แล้วถือจนกว่ามันจะถึงจุดที่คิดว่า มันควรจะขายแล้ว และแน่นอนว่าหาก VI คิดผิด ข้อมูลทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ผมก็เชื่อว่า VI เขาจะไม่ทนที่จะถือหุ้นตัวนั้นอยู่เหมือนเดิม ผมเชื่อว่า VI เขาก็ Stoploss เป็น เพราะหลักการของเขาก็มีกฎของการรักษาเงินต้น เช่นเดียวกับคนที่เป็นสาย TA เขาจะมองหาความน่าจะเป็น มองความเสี่ยง เตรียมความพร้อมเมื่อมีจังหวะซื้อขาย และมีการ Stoploss ที่ถูกต้อง
อัตราการชนะมากกว่าแพ้ (win/loss ratio) ไม่ได้หมายความว่าจะกำไรเสมอไป !!!
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ถ้าเราเทรด ชนะ 80 แพ้ 20 ครั้ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชนะเสมอไป และการชนะ 30 แพ้ 70 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแพ้เสมอไป มันต้องไปมอง กำไรต่อความเสี่ยง (Return/Risk Ratio) ด้วยว่ามีอัตราที่ดีหรือไม่ดี
สมมติ คุณซื้อขาย 100 ครั้ง อัตราชนะอยู่ที่ 80 ครั้ง แพ้ 20 ครั้ง แต่ เวลากำไร ได้ 1 เวลาขาดทุน 4 หรืออีกวิธี คุณซื้อขาย 100 ครั้ง อัตราชนะอยู่ที่ 30 แพ้ 70 แต่เวลากำไรได้ 4 เวลาขาดทุน 1 คุณคิดว่าวิธีไหนในระยะยาว จะชนะตลาดได้
ผมเชื่อว่า แนวทางความคิดที่ถูกต้อง เราก็สามารถทำกำไรในตลาดได้ในระยะยาว มันทำให้เราซื้อขายอย่างมีเหตุผล และถูกต้อง และเอาชนะตลาดได้ และไม่ต้องไปหลงมัวเมาอยู่กับวังวนของ ข้อมูลที่ไม่ได้ช่วยให้เราชนะตลาดได้ เพราะตลาดหุ้นมันชอบหลอกลวงเราด้วย ข้อมูล ความคิด และอารมณ์ของเราเสมอ
ตลาดไม่เคยผิด เราไม่สามารถไปควบคุมตลาดบอกว่ามันจะต้องขึ้น มันจะต้องลงได้ สิ่งที่เราควบคุมได้ คือวิธีการของเรา และความเสี่ยง เราควบคุมมันได้แค่เท่านี้ ส่วนผลตอบแทน ตลาดจะบอกเองว่าจะให้มากหรือน้อย
หวังว่าข้อมูลที่โพสจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ด้วยความหวังดี ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ
คิดให้ถูก ก็ทำกำไรในตลาดหุ้นได้
คนที่เข้ามาในตลาดหุ้น ต่างหวังต้องการกำไรจากตลาด แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่า การหวังกำไรปีละ 100% 1000% เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ บางคนคาดหวังว่าจะกำไรเดือนละ 10% ปีนึงก็เท่ากับ 120% ซึ่งในความเป็นจริง โอกาสที่จะกำไร 120% ต่อปีมันยากมาก ถ้าถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้ไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นไปได้ (ถ้าตลาดเป็นใจ) แต่ถ้าต้องการกำไรระดับนี้ในทุกๆ ปีและตลอดไป มันคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวมองว่าคนที่เข้ามาในตลาดที่คาดหวังว่าจะทำกำไรได้ทุกวัน ทุกเดือน นั้นน่าจะมีอยู่เยอะมาก แตกต่างกับคนที่คาดหวังกำไรเป็นรายปี ซึ่งน่าจะมีน้อยกว่าเยอะ
หลักการเก็งกำไรในตลาดหุ้น กับตลาดการค้า แตกต่างกัน
คนที่ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ชอบซื้อตอนหุ้นกำลังตก และขายเมื่อหุ้นกำลังขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็น คำพูดที่ถูก แต่อาจจะไม่ตรงกับหลักการที่แท้จริง เพราะเวลาหุ้นกำลังตก มีใครรู้บ้างว่า ตรงไหนคือ จุดที่ราคาต่ำเกือบที่สุดแล้ว หรือขายในราคาที่เกือบสูงที่สุดแล้ว ผมคิดว่าคงไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน เพราะถ้ารู้กันทุกคน เราคงไม่เห็นคนที่ขาดทุนในตลาด
แตกต่างกับพ่อค้าแม่ค้า ที่มีหลักความคิดอีกแบบหนึ่ง คือ ซื้อของที่กำลังนิยม มาขาย ส่วนของที่ตกรุ่น ก็ขายเอาทุนคืน ซึ่งแน่นอนว่าของที่กำลังนิยม คือ ของที่เริ่มมีราคาแพง หรือราคาแพงไปแล้ว และของที่กำลังตกรุ่น หรือคนเลิกนิยมแล้ว ก็คือ ของที่ขายไม่ได้ หรือขายไม่ได้ราคา อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ เลยต้อง พยายามขายออกไป เพื่อเอาทุนคืน
สมมติ มีพ่อค้าขายเสื้อยืด อยู่ 2 สี คือ สีฟ้า กับสีชมพู ตอนไปรับมาครั้งแรก ราคาทุนเท่ากันอยู่ที่ 100 บาท พ่อค้าก็ซื้อมาทั้งสองแบบๆ ละ 200 ตัว รวม 400 ตัว ในราคาตัวละ 150 บาท ปรากฎว่าเสื้อสีฟ้าขายหมด 200 ตัว แต่เสื้อสีชมพูขายไปได้แค่ 20 ตัว ตอนหลังพ่อค้าจึงไปรับเสื้อมาขายเพิ่ม แต่ร้านบอกว่า คราวนี้เสื้อสีฟ้า ราคาทุนเพิ่มเป็น 120 บาท และเสื้อสีชมพู ราคาเหลือ 70 บาท ถ้าคุณเป็นพ่อค้า คุณจะซื้อเสื้อสีไหนมาขาย เพราะอะไร???
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะตอบว่า ก็ซื้อเสื้อสีฟ้ามาขาย เพราะมันขายดีกว่า ถึงแม้ราคาจะแพง เราก็ยังมีกำไร หรือจะบวกกำไรเพิ่ม ก็น่าจะยังขายได้ แต่เสื้อสีชมพู ถูกกว่าเดิม แน่นอนว่าถ้าเรายังขายที่ราคาตัวละ 150 อาจจะขายไม่ออก อาจจะต้องจำใจขายในราคา 100 (เพื่อเอาทุนคืน) หรืออาจจะต้องขายในราคาต่ำกว่านี้ เพื่อเอาทุนคืน และระบายของออก คงไม่มีพ่อค้าแม่ค้าคนไหนบอกว่า เสื้อสีชมพูถูกกว่าเดิม เลยซื้อเยอะกว่าเดิม ส่วนเสื้อสีฟ้าแพงกว่าเดิมเลยไม่ซื้อมาขาย
แต่ทำไมหลักความคิดในตลาดหุ้น ถึงตรงกันข้าม คนส่วนใหญ่มักจะซื้อตอนหุ้นกำลังจะลง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า มันจะลงไปอีกมากแค่ไหน หรือเลือกที่จะรอให้หุ้นมันเริ่มขึ้นก่อน แล้วค่อยเข้าไปซื้อ แต่เอาเข้าจริงๆ ในตลาดหุ้นมันก็มีความซับซ้อนมากกว่าจริง เพียงแค่ผมเอาแนวคิดมาเปรียบเทียบถึงความแตกต่างเท่านั้น
การวางระบบซื้อขาย จำเป็นหรือไม่ ?
ถ้าหากเราไม่มีการวางระบบ แสดงว่าเราไม่มีหลักการทางความคิดในการซื้อขายหุ้น การซื้อขายที่เกิดขึ้น มันจะเกิดจากการ การซื้อโดยใช้อารมณ์ ตามข่าวที่เขาบอก ตามคนเชียร์ ฟังคนอื่นมา ตามนักวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งมันอาจจะถูก หรือผิดก็ได้
แต่การวางระบบซื้อขายที่ดี เราจะรู้ว่า เราเข้าไปซื้อมันเพราะอะไร ซื้อตรงไหน และจะขายตอนไหน ขายเพราะอะไร จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลออกมาว่า ความน่าจะเป็นในระยะยาว จะสามารถทำกำไรได้จริงหรือไม่ ซึ่งจริงๆ ตรงนี้มันใช้ได้ทั้งในหลักการของแนว VI และแนว TA เพียงแต่วิธีการแตกต่างกัน
ผมคิดว่าคนที่เป็น VI จริงๆ เขามีหลักการคิดที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน เขาจะไม่ซื้อหุ้นแค่เพียงราคามันแพง หรือถูก แต่เขาจะซื้อเพราะมีเหตุผลเพียงพอในการที่จะเข้าซื้อ แล้วถือจนกว่ามันจะถึงจุดที่คิดว่า มันควรจะขายแล้ว และแน่นอนว่าหาก VI คิดผิด ข้อมูลทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ผมก็เชื่อว่า VI เขาจะไม่ทนที่จะถือหุ้นตัวนั้นอยู่เหมือนเดิม ผมเชื่อว่า VI เขาก็ Stoploss เป็น เพราะหลักการของเขาก็มีกฎของการรักษาเงินต้น เช่นเดียวกับคนที่เป็นสาย TA เขาจะมองหาความน่าจะเป็น มองความเสี่ยง เตรียมความพร้อมเมื่อมีจังหวะซื้อขาย และมีการ Stoploss ที่ถูกต้อง
อัตราการชนะมากกว่าแพ้ (win/loss ratio) ไม่ได้หมายความว่าจะกำไรเสมอไป !!!
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ถ้าเราเทรด ชนะ 80 แพ้ 20 ครั้ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชนะเสมอไป และการชนะ 30 แพ้ 70 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแพ้เสมอไป มันต้องไปมอง กำไรต่อความเสี่ยง (Return/Risk Ratio) ด้วยว่ามีอัตราที่ดีหรือไม่ดี
สมมติ คุณซื้อขาย 100 ครั้ง อัตราชนะอยู่ที่ 80 ครั้ง แพ้ 20 ครั้ง แต่ เวลากำไร ได้ 1 เวลาขาดทุน 4 หรืออีกวิธี คุณซื้อขาย 100 ครั้ง อัตราชนะอยู่ที่ 30 แพ้ 70 แต่เวลากำไรได้ 4 เวลาขาดทุน 1 คุณคิดว่าวิธีไหนในระยะยาว จะชนะตลาดได้
ผมเชื่อว่า แนวทางความคิดที่ถูกต้อง เราก็สามารถทำกำไรในตลาดได้ในระยะยาว มันทำให้เราซื้อขายอย่างมีเหตุผล และถูกต้อง และเอาชนะตลาดได้ และไม่ต้องไปหลงมัวเมาอยู่กับวังวนของ ข้อมูลที่ไม่ได้ช่วยให้เราชนะตลาดได้ เพราะตลาดหุ้นมันชอบหลอกลวงเราด้วย ข้อมูล ความคิด และอารมณ์ของเราเสมอ
ตลาดไม่เคยผิด เราไม่สามารถไปควบคุมตลาดบอกว่ามันจะต้องขึ้น มันจะต้องลงได้ สิ่งที่เราควบคุมได้ คือวิธีการของเรา และความเสี่ยง เราควบคุมมันได้แค่เท่านี้ ส่วนผลตอบแทน ตลาดจะบอกเองว่าจะให้มากหรือน้อย
หวังว่าข้อมูลที่โพสจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ด้วยความหวังดี ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ