นักลงทุนที่เน้นการลงทุนในบ้านเราหลักๆมี 2 สาย คือ สายVI กับ สาย Trend following ตามหลักทฤษฎีผลประโยชน์เมื่อคนส่วนมาก

"   คนส่วนใหญ่เข้ามาตลาดหุ้น จาก100% ส่วนใหญ่ 98% อยากลงทุนในหุ้นบริษัทดีๆ มีอัพไซต์เยอะๆ เนื่องจากทุกคนที่เข้ามาตลาด มีข้อจำกัดจากทำงานประจำ มักไม่มีเวลาดูหรือศึกษามาก และส่วนใหญ่ 98% จะมองว่าการลงทุนคือการให้เงินงอกเงย จากหุ้นดีๆสักตัว และรอให้ราคามันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็เอาชนะเงินเฟ้อได้ แต่จริงๆถ้ามันทำได้แบบนั้นเราคงเห้นคนรวยจากหุ้น 98% กันมากมาย "

นักลงทุนที่เน้นการลงทุนในบ้านเราหลักๆมี 2 สาย คือ สาย VI กับ สาย Trend following ตามหลักทฤษฎีผลประโยชน์เมื่อคนส่วนมากมีหลักการคล้ายๆกัน  เมื่อเราทำตามคนส่วนน้อยเราจะได้กำไร  แล้วคนส่วนน้อยเขาทำอะไรกัน................

1. Mind SET แรก   
“อย่าซื้อขายหุ้นบ่อยๆ เดี๋ยวจะโดนค่าคอมกินตาย มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง”
นี่เป็นประโยคที่ผมมักได้ยินอยู่เสมอจากหลายๆคนที่อยู่ในตลาดหุ้น น่าเสียดายที่คำพูดเหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดไปอย่างมากเลยทีเดียว เพราะความจริงแล้วความถี่ของการซื้อขายกลับเป็นสิ่งที่มีผลดีต่อผลของการลงทุนอย่างไม่น่าเชื่อ http://mangmaoclub.com/trading-frequency ( 100 คนเดินเข้ามาตลาดหุ้น 98 คนจะคิดตรงข้ามกับเนื้อหานี้  คนส่วนมาก )   

  " จำนวนการเทรดของกลยุทธ์นั้นๆ ยังคงเป็นตัวแปรที่มีผลอย่างมากกับผลกำไรสุทธิในท้ายที่สุดของมัน " สอดคล้องกับนักลงทุนที่อเมริกาใช้ระบบ HFT  ( high frequency trading )     สูตร     Profit  = T * E  ( T = จำนวนความถี่การซื้อขาย )  (E=ผลตอบแทนที่คาดหวัง)

2. ตลาดหุ้นบ้านเราล้าหลังกว่าอเมริกา ประมาณ 60 ปี กลยุทธ์การลงทุนเขาพัฒนากว่าเรามาก การซื้อขายแบบ HFT ( high frequency trading ) พุ่งสูงกว่าสามในสี่ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาดบ่งบอกว่าเขามองว่านี่คือสิ่งที่ทำกำไรได้ และการทำพวกนี้ต้องลงทุนมากมหาศาลและผ่านการวิจัยกันมานาน HFT ( high frequency trading )  คืออะไรหลายคนที่ไม่รู้คงสงสัยลองดูได้จากลิงก์ด้านล่างได้เลย
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/502567


ที่มาเนื้อหาจากเพจนี่เลยครับ  https://www.facebook.com/Stock-engineer-1613155205603550/timeline/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่