สวัสดีครับ
ผมเกิดมาเป็นคนยากจน จนในระดับที่ว่าเรียนได้แค่ ม. 3 พ่อก็ไม่มีเงินส่งผมเรียนต่อ
ผมต้องทำงานส่งตัวเองเรียน แน่นอน
ผมไม่มีเงินซื้อหนังสืออ่านพิเศษอย่างหนังสือ
"พ่อรวยสอนลูก" หรอกครับ
ในระหว่างที่เรียนมาผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคนมากมาย ได้เข้าสัมนา MLM หลายครั้ง
มีหลายการสนทนาที่
พยายามแบ่งฝั่งว่า "คนจนคิด... ถึงจน คนรวยคิด...ถึงรวย"
แล้วเขาก็เอาหนังสือเล่มนี้ให้ผมอ่าน (แบบว่าเปิดให้ดูหน้าเดียว จะขอยืมกลับบ้านก็ไม่ได้ 555)
ตอนนั้นผมงงมากเพราะผมก็มีความคิดเหมือนกับฝั่งคนรวยแบบในหนังสือว่าเลยแต่ทำไมผมถึงจนอยู่
แต่ชีวิตผมมีอะไรมากกว่านั้นที่ต้องสนใจ ผมเลยเก็บความสงสัยไว้และตรากตรำหาเงินต่อ (ไม่งั้นไม่มีตังค์เรียน)
ระหว่างที่เรียนพวกที่ทำ MLM ก็มักพูดกรอกหูเสมอว่า อย่าไปทำงานแบบคนจนเลย มาแบบเราสิมาอยู่ฝั่งคนรวย
เพื่อนบางคนที่ชอบอ้างหนังสือก็พูดว่า เพราะแกคิดแบบคนจนไงแกเลยเป็นแบบนี้
(ผมก็งงๆ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความคิดในฝั่งคนจนตามที่หนังสือว่าไว้เลย)
จนเริ่มทำงาน ผมก็อยากทำงานเป็นเจ้านายตัวเองแหละครับ แต่เงินทุนยังไม่พอเลยไปทำงานบริษัทเก็บเงินก่อน
เพื่อนกลุ่มเก่าก็ยังพูดเหมือนเดิม พร้อมกับเปิดธุระกิจแรกด้วยเงินของพ่อแม่
หลังทำงานไป 2 ปี ผมเริ่มทำธุรกิจของตัวเองด้วยกลยุทธ์ยุคใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนแม้เป็นธุระกิจเล็กๆ แต่ก็พอไปได้
ในขณะที่เพื่อนหลายคนเริ่มทำธุระกิจใหม่อีกครับด้วยเงินทุนจากพ่อแม่ ส่วนธุระกิจแรกก็ล้มเหลว ในกลุ่มนั้นมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ธุระกิจแรกยังดำเนินต่อไปได้
ตอนนั้นธุระกิจผมผ่านมาอีก 2 ปี ผมเริ่มมีห้องพักที่เป็นชื่อของตัวเองหลายห้องสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว ส่วนเพื่อนกลุ่มนั้นก็ยังล้มลุกคลุกคลานกับธุระกิจใหม่ๆ นับครั้งไม่ถ้วน บางคนพ่อแม่ไม่โอเคถึงขั้นไม่ยอมให้เงินลงทุนอีก
วันนี้ผมจึงตัดสินซื่อหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาอ่าน หลังจากที่อยากอ่านมาหลายปีแต่ไม่มีเงินซื้อ ข้อความในหนังสือทำให้ผมรู้คำว่า
เนื้อหาในหนังสือมีอะไรมากกว่าที่เพื่อนผมเคยบอกไว้เยอะครับ ทั้งพ่อรวยและพ่อจนต้างเริ่มต้นจากสถานะทางการเงินที่เรียกว่า "ชนชั้นกลาง" ทั้งคู่ แต่ด้วยทัศนคติของแต่ละคนทำให้ฐานะทางการเงินของพวกเขาพัฒนาต่างกัน
สรุปแล้วเนื่อหาของหนังสือไม่ได้พูดถึงทัศนคติแบบคนจนหรือคนรวยแต่อย่างใด แต่เนื้อหาในหนังสือพูดถึงทัศนคติที่ทำให้ชนชั้นกลางเป็นคนจนหรือทำให้ชนชั้นกลางเป็นคนรวย
หลังจากอ่านจนถี่ถ้วนผมได้มีโอกาสเอาหนังสือเล่มนี้ไปคุยกับเพื่อนกลุ่มนั้นอีกครั้ง ไปคุยทีละคนๆ โดยรวมเท่าที่ฟังมาเหมือนคนส่วนใหญ่อ่านแล้วไม่เข้าใจสารของหนังสือนี้ เพียงแค่บางประโยคมันดูเท่ห์แล้วเอามาพูดต่อเท่านั้น ส่วนคนที่เข้าใจจริงๆ ก็คือ 2 คนที่ผมบอกว่าสามารถบริหารธุระกิจเริ่มต้นของเขารอดมาถึงปัจจุบัน และ
ด้วยทัศนคติที่โตขึ้นทำให้เขาก็ยอมรับว่าเขามองผมผิดมาตลอด สมัยเรียนเขาใช้ฐานะของผมด่วนสรุปว่าทัศนคติของผมเป็นอย่างไร โดยไม่คิดถามทัศนคติจริงๆ ของผมสักคำ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า
ฐานะไม่ได้กำหนดทัศนคติ แต่ทัศนะคติต่างหากที่กำหนดฐานะในอนาคต ในขณะที่สมัยเด็กเขาก็มองคนที่ฐานะเท่าเขาว่าเป็นคนทัศนะคติดีโดยไม่ยอมมองเข้าไปในทัศนคติลึกๆ จริงๆ เลย
โดยสรุปแล้วการแบ่งฝั่งทัศนคติของหนังสือ เป็นการเสนอมุมมองแบบง่ายๆ ให้คนเข้าใจว่าความคิดแบบไหนทำให้รวยและความคิดแบบไหนทำให้จน แต่การนำเสนอแบบนั้นก็มีจุดอ่อนทำให้ผู้อ่านที่ด้อยประสบการณ์ตีค่าคนอื่นแบบผิดๆ ในตอนเด็กคนแค่มองที่ฐานะของผมแล้วตัดสินว่าผมเป็นคนแบบไหน ตอนนั้นทำให้ผมงงมากเพราะผมก็คิดตามมุมมองคนรวยที่เขียนในหนังสือ แต่ตอนโตประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าการตีความแบบนั้นมันง่ายๆ ไป ไม่ใช้ฐานะที่กำหนดทัศนะคติ เราไม่มีสิทธิไปตัดสินคนอื่นจากฐานะของเขา การมองโลกที่ถูกต้องคือการมองทัศนะคติแล้วจึงมองอนาคตของเขาต่างหาก (เพื่อนฝรั่งหลายคนจะคิดแบบนี้)
ดังนั้นผมขอให้กำลังในที่กำลังสร้างตัว คุณอาจถูกคนทัศนคติไม่ดีดูถูกและตัดสินคุณเมือไหร่ก็ได้ ผมขอให้คุณจงเชื่อมั่นในสิ่งที่คิดไว้ดีแล้ว และตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด
ใครเคยอ่านหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" แล้วสงสัยแบบผมบ้าง?
ผมต้องทำงานส่งตัวเองเรียน แน่นอนผมไม่มีเงินซื้อหนังสืออ่านพิเศษอย่างหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" หรอกครับ
ในระหว่างที่เรียนมาผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคนมากมาย ได้เข้าสัมนา MLM หลายครั้ง
มีหลายการสนทนาที่พยายามแบ่งฝั่งว่า "คนจนคิด... ถึงจน คนรวยคิด...ถึงรวย"
แล้วเขาก็เอาหนังสือเล่มนี้ให้ผมอ่าน (แบบว่าเปิดให้ดูหน้าเดียว จะขอยืมกลับบ้านก็ไม่ได้ 555)
ตอนนั้นผมงงมากเพราะผมก็มีความคิดเหมือนกับฝั่งคนรวยแบบในหนังสือว่าเลยแต่ทำไมผมถึงจนอยู่
แต่ชีวิตผมมีอะไรมากกว่านั้นที่ต้องสนใจ ผมเลยเก็บความสงสัยไว้และตรากตรำหาเงินต่อ (ไม่งั้นไม่มีตังค์เรียน)
ระหว่างที่เรียนพวกที่ทำ MLM ก็มักพูดกรอกหูเสมอว่า อย่าไปทำงานแบบคนจนเลย มาแบบเราสิมาอยู่ฝั่งคนรวย
เพื่อนบางคนที่ชอบอ้างหนังสือก็พูดว่า เพราะแกคิดแบบคนจนไงแกเลยเป็นแบบนี้
(ผมก็งงๆ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความคิดในฝั่งคนจนตามที่หนังสือว่าไว้เลย)
จนเริ่มทำงาน ผมก็อยากทำงานเป็นเจ้านายตัวเองแหละครับ แต่เงินทุนยังไม่พอเลยไปทำงานบริษัทเก็บเงินก่อน
เพื่อนกลุ่มเก่าก็ยังพูดเหมือนเดิม พร้อมกับเปิดธุระกิจแรกด้วยเงินของพ่อแม่
หลังทำงานไป 2 ปี ผมเริ่มทำธุรกิจของตัวเองด้วยกลยุทธ์ยุคใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนแม้เป็นธุระกิจเล็กๆ แต่ก็พอไปได้
ในขณะที่เพื่อนหลายคนเริ่มทำธุระกิจใหม่อีกครับด้วยเงินทุนจากพ่อแม่ ส่วนธุระกิจแรกก็ล้มเหลว ในกลุ่มนั้นมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ธุระกิจแรกยังดำเนินต่อไปได้
ตอนนั้นธุระกิจผมผ่านมาอีก 2 ปี ผมเริ่มมีห้องพักที่เป็นชื่อของตัวเองหลายห้องสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว ส่วนเพื่อนกลุ่มนั้นก็ยังล้มลุกคลุกคลานกับธุระกิจใหม่ๆ นับครั้งไม่ถ้วน บางคนพ่อแม่ไม่โอเคถึงขั้นไม่ยอมให้เงินลงทุนอีก
วันนี้ผมจึงตัดสินซื่อหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาอ่าน หลังจากที่อยากอ่านมาหลายปีแต่ไม่มีเงินซื้อ ข้อความในหนังสือทำให้ผมรู้คำว่าเนื้อหาในหนังสือมีอะไรมากกว่าที่เพื่อนผมเคยบอกไว้เยอะครับ ทั้งพ่อรวยและพ่อจนต้างเริ่มต้นจากสถานะทางการเงินที่เรียกว่า "ชนชั้นกลาง" ทั้งคู่ แต่ด้วยทัศนคติของแต่ละคนทำให้ฐานะทางการเงินของพวกเขาพัฒนาต่างกัน สรุปแล้วเนื่อหาของหนังสือไม่ได้พูดถึงทัศนคติแบบคนจนหรือคนรวยแต่อย่างใด แต่เนื้อหาในหนังสือพูดถึงทัศนคติที่ทำให้ชนชั้นกลางเป็นคนจนหรือทำให้ชนชั้นกลางเป็นคนรวย
หลังจากอ่านจนถี่ถ้วนผมได้มีโอกาสเอาหนังสือเล่มนี้ไปคุยกับเพื่อนกลุ่มนั้นอีกครั้ง ไปคุยทีละคนๆ โดยรวมเท่าที่ฟังมาเหมือนคนส่วนใหญ่อ่านแล้วไม่เข้าใจสารของหนังสือนี้ เพียงแค่บางประโยคมันดูเท่ห์แล้วเอามาพูดต่อเท่านั้น ส่วนคนที่เข้าใจจริงๆ ก็คือ 2 คนที่ผมบอกว่าสามารถบริหารธุระกิจเริ่มต้นของเขารอดมาถึงปัจจุบัน และด้วยทัศนคติที่โตขึ้นทำให้เขาก็ยอมรับว่าเขามองผมผิดมาตลอด สมัยเรียนเขาใช้ฐานะของผมด่วนสรุปว่าทัศนคติของผมเป็นอย่างไร โดยไม่คิดถามทัศนคติจริงๆ ของผมสักคำ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าฐานะไม่ได้กำหนดทัศนคติ แต่ทัศนะคติต่างหากที่กำหนดฐานะในอนาคต ในขณะที่สมัยเด็กเขาก็มองคนที่ฐานะเท่าเขาว่าเป็นคนทัศนะคติดีโดยไม่ยอมมองเข้าไปในทัศนคติลึกๆ จริงๆ เลย
โดยสรุปแล้วการแบ่งฝั่งทัศนคติของหนังสือ เป็นการเสนอมุมมองแบบง่ายๆ ให้คนเข้าใจว่าความคิดแบบไหนทำให้รวยและความคิดแบบไหนทำให้จน แต่การนำเสนอแบบนั้นก็มีจุดอ่อนทำให้ผู้อ่านที่ด้อยประสบการณ์ตีค่าคนอื่นแบบผิดๆ ในตอนเด็กคนแค่มองที่ฐานะของผมแล้วตัดสินว่าผมเป็นคนแบบไหน ตอนนั้นทำให้ผมงงมากเพราะผมก็คิดตามมุมมองคนรวยที่เขียนในหนังสือ แต่ตอนโตประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าการตีความแบบนั้นมันง่ายๆ ไป ไม่ใช้ฐานะที่กำหนดทัศนะคติ เราไม่มีสิทธิไปตัดสินคนอื่นจากฐานะของเขา การมองโลกที่ถูกต้องคือการมองทัศนะคติแล้วจึงมองอนาคตของเขาต่างหาก (เพื่อนฝรั่งหลายคนจะคิดแบบนี้) ดังนั้นผมขอให้กำลังในที่กำลังสร้างตัว คุณอาจถูกคนทัศนคติไม่ดีดูถูกและตัดสินคุณเมือไหร่ก็ได้ ผมขอให้คุณจงเชื่อมั่นในสิ่งที่คิดไว้ดีแล้ว และตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด