รอกามาดูร์ (Rocamadour) เป็นหมู่บ้านริมหน้าผาในแคว้น Midi-Pyrénées ของประเทศฝรั่งเศส ว่ากันว่าเป็นเมืองที่เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวรองจาก Mont Saint Michel เลยทีเดียว (จริงเท็จประการใดอันนี้ไม่สามารถยืนยันได้) ชื่อ Rocamadour ที่คนฝรั่งเศสจะจำได้ก็เพราะเอามาตั้งเป็นชื่อชีสที่ทำจากนมแพะนั่นเอง
[CR] เล่าเรื่องเมืองประทับใจในฝรั่งเศส: Rocamadour สวย สง่า ริมหน้าผาของฝรั่งเศส
หลายเดือนมานี้ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนไกลๆ ส่วนใหญ่ที่ออกจากบ้านเพราะมีธุระปะปัง ไม่ได้ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวชิลๆซักที หลังจากกลับมาจากเมืองไทยได้หนึ่งสัปดาห์เลยบ่นเปรยๆกับสามีว่า
"เธอ...เราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนนานแล้วนะ"
แล้วก็ชวนเค้าออกไปเดินเล่นเก็บตกบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงที่ฝรั่งเศสซักหน่อย ทีแรกเสนอให้ไปParis เมืองหลวงสุดโรแมนติก เพราะเห็นภาพสวยๆจากไอจีของนักเดินทางท่านอื่นที่เราไปfollow เค้าอยู่มากมาย แต่เพราะปารีสเป็นเมืองใหญ่และคนเยอะมาก ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ค่อยอยากไปวุ่นวายในเมืองหลวง สามีก็ดันเป็นคนแบบนั้น เค้าเลยเสนอทางเลือกให้ใหม่คือ
"Rocamadour" หมู่บ้านสวยริมผาที่งดงามอีกแห่งของฝรั่งเศส
เมื่อแผนเปลี่ยนกระทันหัน และถึงแม้จะป่วยเป็นไข้หวัด เราก็สู้ไม่ถอย แบกร่างเปื่อยๆไปให้ได้
ช่วงนี้เดือนพฤศจิกายนไม่ใช่high season ที่ฝรั่งเศส ดังนั้นนักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยเยอะ แต่ช่วงนี้กลับเป็นที่ชื่นชอบของเรามาก ถึงแม้ร้านรวงจะไม่เปิดให้ช็อปมากนักก็ตาม
เราออกเดินทางจากบ้านที่เมือง Clermont Ferrand มุ่งหน้าไป Rocamadour ที่ควรจะใช้เวลาประมาณ 2ชั่วโมงครึ่ง แต่อากาศในตอนเช้าขมุกขมัวมาก หมอกลงจัดจนแทบมองถนนไม่เห็นเลยต้องขับช้ากว่าปกติ ผ่านไประยะหนึ่ง ฟ้าก็เริ่มไล่หมอกที่คลุมอยู่ไปทำให้เห็นสีฟ้าประปราย คราวนี้เริ่มยิ้มออกเพราะการออกเที่ยวแบบฟ้าปิดไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนัก
2ชั่วโมงกว่าๆ เราขับรถผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ ผ่านฝูงม้าที่กำลังเล็มหญ้า ฝูงแกะตั้งหน้าตั้งตากินหญ้าแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ผ่านทิวเขาและต้นไม้ที่เปลี่ยนสีตามฤดูกาลที่ควรจะเป็น
เราเลือกหมู่บ้านเล็กๆก่อนถึง Rocamadour เป็นที่ทานอาหารกลางวันที่เตรียมมาจากบ้าน โดยปกติแล้วถ้าเดินทางไกล เราจะเตรียมอาหารใส่กล่องมาด้วย รอบนี้ถึงแม้ไม่ไกลมาก แต่การเดินทางในช่วงlow season มักจะหาร้านอาหารที่เปิดให้บริการได้ยาก นอกจากนี้ช่วงที่เราเดินทางนั้นดันเป็นช่วงที่ชาวฝรั่งเศสประท้วงปิดถนนอีกด้วย หลังจากเติมพลังเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อจนมาถึงหมู่บ้าน
รอกามาดูร์ (Rocamadour) เป็นหมู่บ้านริมหน้าผาในแคว้น Midi-Pyrénées ของประเทศฝรั่งเศส ว่ากันว่าเป็นเมืองที่เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวรองจาก Mont Saint Michel เลยทีเดียว (จริงเท็จประการใดอันนี้ไม่สามารถยืนยันได้) ชื่อ Rocamadour ที่คนฝรั่งเศสจะจำได้ก็เพราะเอามาตั้งเป็นชื่อชีสที่ทำจากนมแพะนั่นเอง
Rocamadour ถือเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์โดยเมื่อปี 1166 ได้พบร่างของนักบุญอามาดูร์ (Saint Amadour) ที่คงสภาพไม่เน่าเปื่อย หมู่บ้านนี้เลยโด่งดังกลายมาหมู่บ้านที่ศาสนิกชนเดินทางมาจาริกแสวงบุญ
มุมสวยของRocamadour นี่ต้องดูจากหมู่บ้านอื่นและมีคนบอกว่าจะสวยที่สุดในแสงแรกช่วงเช้าตรู่ เรามาถึงช่วงบ่ายรับมุมกับพระอาทิตย์สาดเข้ามาจัดมาก แต่มองด้วยสายตาก็สวยมากเช่นกัน ขับรถมาถึงหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน ลานจอดรถด้านหน้าทางเข้าเต็มหมดแล้วเพราะมีพื้นที่สำหรับจอดไม่เยอะมาก เราเลยต้องวนรถลงไปจอดที่ลานด้านล่างซึ่งรองรับได้มากโข อาจเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ แต่ขอเสียของลานจอดรถด้านล่างคือ เราต้องเดินกลับขึ้นไปที่หมู่บ้านบนผานั่น แค่คิดก็แทบจะไม่อยากเดินต่อ
เดินฝ่าลมหนาวมุ่งหน้าไปหาประตูหมู่บ้าน แค่เดินเข้าไป เราก็พบกับถนนมุมแคบหนึ่งสายที่นำสายตาเราไปหาโบสถ์สำคัญ
โรงแรมและร้านรวงปิดเกือบหมด เหลือแค่คาเฟ่หนึ่งร้านที่ตอนนี้ผู้คนจับจองที่นั่งกันแล้วไม่น้อย เราคิดกันว่าไปเดินชมก่อนแล้วค่อยกลับมาจิบโกโก้ร้อนๆปิดท้ายทริปดีกว่า จากทางเดินเรียบๆสายนั้น เราก็มาถึงทางแนกเพื่อเดินขึ้นหน้าผา อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าหมู่บ้านนี้อยู่ริมผา แปลว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหทดก็สร้างเลียบผาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นจะชมหมู่บ้านให้ครบ ก็ต้องเดินขึ้น ขึ้น และ ขึ้นเท่านั้น
เรามุ่งหน้าขึ้นไปที่โบสถ์สำคัญของเมืองตั้งอยู่บนยอดเขา Basilic Saint-Sauveur กว่าจะไปถึงต้องเดินเลี้ยวเลาะไปตามเส้นทางที่ปกคลุมด้วยใบไม้สีเหลือง ส้ม น้ำตาลทั่วไปหมด สองข้างทางมีมรรคาศักดิ์สิทธิ์ หรือ ทางสู่กางเขน (Stations of the Cross) ภาษาฝรั่งเศสใช้ว่า Chemin de la criox ตั้งอยู่ ซึ่งนำเสนอภาพบรรยายถึงช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตพระเยซู ตั้งแต่การเดินทางสู่การตรึงกางเขนและหลังการตรึงกางเขน เพื่อให้ผู้มีศรัทธาได้เดินรำพึงธรรมตามรอยพระบาทของพระเยซูจนสิ้นพระชนม์ (ข้อมูลบางส่วนจาก Wikipedia)
เดินไปจนครบ 14 Station ปุ๊บก็ใกล้จะถึงโบสถ์แล้วค่ะ ก่อนนั้นเราจะเห็นถ้ำขนาดกลางที่ถูกเจาะเข้าไปเพื่อใช้เป็นที่สักการะของนักแสวงบุญ แต่ตอนนี้ปิดอยู่เราสามารถดูได้แค่ด้านนอกเท่านั้น เมื่อเดินถึงโบสถ์ที่มีหอคอยตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า เราก็พบว่ามีลานจอดรถอีกลานอยู่ด้านข้าง สามารถเอารถขึ้นมาได้โดยไม่ต้องเดินเลย นี่คือความลับสวรรค์หรือเปล่า?
สนนราคาค่าขึ้นไปที่หอคอยและชมด้านบนโบสถ์นั้น 2 ยูโรถ้วน โดยต้องหยอดเหรียญ 2 ยูโรที่ประตูหมุน วันนี้เป็นโชคไม่ดีของเรา เพราะในกระเป๋ามีแค่เหรียญ 1 ยูโรซึ่งใช้ไม่ได้และไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยแลกเหรียญให้ เลยได้แต่ชะเง้อหน้าขึ้นไปมองแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ตัวหมู่บ้าน
ขาลงมันเร็วยิ่งนัก แต่ต้องระวังจะลื่นเพราะใบไม้ที่ทับถม มีตะไคร่น้ำเกาะเป็นบางที่ เดินไม่ระวังอาจจะลื่นล้มบาดเจ็บกันไปอีก
เราลงมาเดินสำรวจหน้าผาและมหาวิหารด้านล่างกันอีกพักใหญ่ ตามหาชิ้นส่วนของดาบDurendal ของแม่ทับRoland ที่ชื่อดังของฝรั่งเศสที่เล่ากันว่าถูกขว้างมาจากเมืองไกลและมาปักที่หน้าผาแห่งนี้ ตำนานของดาบสำหรับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสมากนักอย่างฉัน เลยเป็นเรื่องรอง การตามหน้าดาบบนหน้าผาเลยกลายเป็นการหาRC ไปแทน
ชื่นชมความงามทุกซอกมุมแล้ว ก็น่าจะได้เวลากลับ โดยไม่ลืมชวนวนรถกลับไปที่หมู่บ้านก่อนหน้า เพียงเพื่อจะเก็บภาพมุมกว้าง อนิจจาแสงแดดตอนบ่ายแก่ๆสาดเข้าเต็มหน้า ด้วยความสามารถในการถ่ายรูปอันน้อยนิด ไม่สามารถสู้แสงได้ เลยนั่งเก็บภาพด้วยตาเพียงอย่างเดียว
Rocamadour มุมนี้อบอุ่นมาก เพราะด้านล่างมีสีต้นไม้ที่เปลี่ยนเป็นเหลืองส้มแดงน้ำตาล รับกับความงามของหมู่บ้านริมผา เหมือนเมืองในฝันเลยทีเดียว เสียดายเรามีนัดกับเจ้าของฟาร์มแพะเอาไว้ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งห่างออกไปประมาณ 20-30 นาที ไม่งั้นอาจจะได้รอชมภาพก่อนพระอาทิตย์จะตกและช่วงที่หมู่บ้านเปิดไฟแรกก่อนมืด คงจะสวยน่าดู
นี่ไม่ได้ประชดจริงๆนะคะ
😉
https://www.facebook.com/ARemarkableJourney/
IG: aremarkablejourney
www.aremarkablejourney.com
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น