มีเรื่องมาเราให้ฟังและอยากปรึกษาว่าควรทำอย่างไรดี กับที่ทำงาน ควรลาออกดีไหม
ก่อนอื่นต้องบอกว่าออฟฟิศเราเป็นออฟฟิศเล็กๆที่อยู่ในจ.ทางภาคอีสาน
ออฟฟิศเราทำงานเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมและรับเหมาก่อสร้าง มีบุคลากรในออฟฟิศทั้งหมด 5 คนรวมเจ้านายด้วย ไม่รวมช่างเพราะนับไม่ไหว
ออฟฟิศเราค่อนข้างเล็ก แต่งานค่อนข้างเยอะมาก
พนักงาน 2คน จะอยู่ตามไซน์งาน นั่นหมายความว่าในออฟฟิศจะมีเรา เพื่อนร่วมงานอีกคนและเจ้านาย ซึ่งเจ้านายก็จะไม่ค่อยอยู่ในออฟฟิศเพราะต้องออกไปตรวจหน้างานและออกไปคุยกับลูกค้า
นั่นหมายความว่าเราอยู่ออฟฟิศกับเพื่อนร่วมงานหนึ่งคน
เราสองคนมีหน้าที่การทำงานต่างกัน
เราเป็นแผนกเขียนแบบ ส่วนเพื่อนร่วมงานทำแผนกขึ้น3D
เราสองคนนั่งโต๊ะทำงานเดียวกันมีแค่ฉากกันโต๊ะที่สูงจากพื้นโต๊ะแค่ 30ซม.
ทีแรกเราก็ไม่ได้สังเกตุอะไรมีช่วงหนึ่งที่เจ้านายไปต่างประเทศเราก็ทำงานกันปกติ มีอยู่วันหนึ่งเราได้ยินเสียงเคาะคีบอร์ดแรงและถี่มากซึ่งนั่นหมายความว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เราก็เลยมองดูตามเสียงคีบอร์ดที่ได้ยิน และเราก็ได้เห็นว่าเขากำลังทำงานอะไรสักอย่าง เราก็สงสัยนายสั่งมั้ง ก็ไม่ได้อะไร แต่มีอยู่จังหวะหนึ่งเรามองไปเห็น เราเห็นเฮดกระดาษมันไม่ฝช่ของออฟฟิศเราก็คิดว่าสงสัยรีบส่งมั้งปล่อยไปแล้วกัน
แต่ไม่เลยเค้าเอามาทำทุกวัน แม้กระทั่งตอนเจ้านายกลับมาจากต่างประเทศเขาก็ยังทำอยู่ แต่เขาจะทำตอนที่เจ้านายไม่อยู่ที่โต๊ะซึ่งหมายความว่าแม้กระทั่งเจ้านายไปเข้าห้องน้ำเขาก็ยังเอาขึ้นมาทำ ทำมาเรื่อยๆจนเราคิดว่านี่มันมากเกินไปไหม วันหนึ่งก็เลยตัดสินใจถามให้แน่ชัดว่างานที่ทำอยู่คืองานนอกใช่ไหม เขาพูดมาว่าใช่ทำไมหรอ เราก็เลยเตือนไปว่าระวังเจ้านายรู้นะ
เค้าหยุดทำได้ไม่ถึงอาทิตย์เขาก็ทำเหมือนเดิมแต่คราวนี้มันไม่เหมือนคราวก่อน
เขาเอางาน 3Dมาทำด้วย
จะบอกว่าเจ้านายเราคือโครตใจดีเลยพาไปเที่ยวต่างประเทศ พาไปเลี้ยงสังสันต์
และยังชอบซื้อของมาฝากเวลาไปต่างประเทศ
เราไม่กล้าบอกเจ้านายเราเลยโพสถามความเห็นในพันทิพก็มีคนบอกว่าให้บอกเจ้านายไปเลย เรายังไม่กล้าบอก เราเลยไปโพสระบายในเฟสบุ๊ค เราโพสประมาณว่าความสุขในการทำงานมันหายไป เจ้านายเห็นโพสก็เลยโทรมาถามตอนนั้นเราไม่กล้าตอบเลยบอกว่าขอเวลาสักพัก
ผ่านไปหลังจากนั้น 3-4วันเจ้านายเรียกคุยว่ามีเรื่องอะไรเล่าให้ผมฟังได้ไหม เราบอกเลยว่าเราเป็นคนคิดมากคิดเยอะ
เราก็เลยบอกว่าไม่รู้จะเริ่มยังไงดี
แต่สุดท้ายเราก็บอกเจ้านายตามความจริงที่เราเห็น หลังจากนั้นวันถัดมาเราก็เห็นว่าเขายังทำอยู่ช่วงพักกลางวันเมื่อเพื่อนร่วมงานออกไปกินข้าวเจ้านายเลยถามเราว่ายังเห็นเขาทำอยู่ไหม คือเราเห็นเราก็เลยบอกว่าเห็นเจ้านายมาเปิดคอมดูก็เห็นงานที่เขาเอามาทำในเวาลางาน เจ้านายบอกเราว่าไม่ค้องกังวลนะเดี๋ยวผมเตือนเอง
หลัจากนั้นเราก็เริ่มโอเครที่เจ้านายรับฟัง
แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอามาทำอีกเราพยายามที่จะไม่สนใจเพราะว่าเจ้านายรับรู้แล้ว สักพัก เราเริ่มกังวลและเริ่มคิดมากอีกครั้งเพราะเรายังต้องเห็นเขาทำอยู่ทุกวัน เราก็ไม่กล้าที่จะบอกเจ้านายหรือไม่กล้าปรึษษาใคร เราเป็นคนคิดมากยิ่งเก็บมาคิดเรื่อยๆแต่ไม่มีที่ระบายออกเก็บใว้คนเดียวบางวันก็ร้องไห้เพราะมันกนใจเราอยู่ตลอดเวลา
เราพยายาที่จะไม่สนใจแล้ว มันก็คอยกวนใจเราอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี
จริงๆก็คิดว่าลาออกดีไหมแต่ภาระที่บ้านเราแบกรับไว้คนเดียวทั้งค่าบ้านและค่าใช้จ่ายภายในบ้านบ้าง ไม่รู้ว่าจะทำไงดี คิดจนปวดหัวแต่ตอนกลับบ้านเราต้องทำเป็นยิ้ม หัวเราะเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวเป็นห่วง
เรากลัวว่าสักวันเราจะเป็นโรคซึมเศร้า
เราอยากหาวิธีหาทางออกให้ได้
ขอบคุณที่รับฟังปัญหา
บางคนอาจคิดว่าเรื่องแค่นี้เองแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่มันเป็นเรื่องที่สะสมมานานมาก ถ้าไม่อยู่ในจุดนี้จะไม่เข้าใจเลย
แต่ก่อนก็เคยคิดนะว่าเรื่องแค่นี้เอง
แต่ด้วยพฤติกรรมหลายๆอย่างมันทำให้เรากังวล
ปล.หรือว่าเจ้านายแค่พูดให้เราไม่คิดมาก
แต่จริงๆแล้วเจ้านายไม่ได้เตือนเขา
เรามีความเป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ และควรทำยังไงดี
ก่อนอื่นต้องบอกว่าออฟฟิศเราเป็นออฟฟิศเล็กๆที่อยู่ในจ.ทางภาคอีสาน
ออฟฟิศเราทำงานเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมและรับเหมาก่อสร้าง มีบุคลากรในออฟฟิศทั้งหมด 5 คนรวมเจ้านายด้วย ไม่รวมช่างเพราะนับไม่ไหว
ออฟฟิศเราค่อนข้างเล็ก แต่งานค่อนข้างเยอะมาก
พนักงาน 2คน จะอยู่ตามไซน์งาน นั่นหมายความว่าในออฟฟิศจะมีเรา เพื่อนร่วมงานอีกคนและเจ้านาย ซึ่งเจ้านายก็จะไม่ค่อยอยู่ในออฟฟิศเพราะต้องออกไปตรวจหน้างานและออกไปคุยกับลูกค้า
นั่นหมายความว่าเราอยู่ออฟฟิศกับเพื่อนร่วมงานหนึ่งคน
เราสองคนมีหน้าที่การทำงานต่างกัน
เราเป็นแผนกเขียนแบบ ส่วนเพื่อนร่วมงานทำแผนกขึ้น3D
เราสองคนนั่งโต๊ะทำงานเดียวกันมีแค่ฉากกันโต๊ะที่สูงจากพื้นโต๊ะแค่ 30ซม.
ทีแรกเราก็ไม่ได้สังเกตุอะไรมีช่วงหนึ่งที่เจ้านายไปต่างประเทศเราก็ทำงานกันปกติ มีอยู่วันหนึ่งเราได้ยินเสียงเคาะคีบอร์ดแรงและถี่มากซึ่งนั่นหมายความว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เราก็เลยมองดูตามเสียงคีบอร์ดที่ได้ยิน และเราก็ได้เห็นว่าเขากำลังทำงานอะไรสักอย่าง เราก็สงสัยนายสั่งมั้ง ก็ไม่ได้อะไร แต่มีอยู่จังหวะหนึ่งเรามองไปเห็น เราเห็นเฮดกระดาษมันไม่ฝช่ของออฟฟิศเราก็คิดว่าสงสัยรีบส่งมั้งปล่อยไปแล้วกัน
แต่ไม่เลยเค้าเอามาทำทุกวัน แม้กระทั่งตอนเจ้านายกลับมาจากต่างประเทศเขาก็ยังทำอยู่ แต่เขาจะทำตอนที่เจ้านายไม่อยู่ที่โต๊ะซึ่งหมายความว่าแม้กระทั่งเจ้านายไปเข้าห้องน้ำเขาก็ยังเอาขึ้นมาทำ ทำมาเรื่อยๆจนเราคิดว่านี่มันมากเกินไปไหม วันหนึ่งก็เลยตัดสินใจถามให้แน่ชัดว่างานที่ทำอยู่คืองานนอกใช่ไหม เขาพูดมาว่าใช่ทำไมหรอ เราก็เลยเตือนไปว่าระวังเจ้านายรู้นะ
เค้าหยุดทำได้ไม่ถึงอาทิตย์เขาก็ทำเหมือนเดิมแต่คราวนี้มันไม่เหมือนคราวก่อน
เขาเอางาน 3Dมาทำด้วย
จะบอกว่าเจ้านายเราคือโครตใจดีเลยพาไปเที่ยวต่างประเทศ พาไปเลี้ยงสังสันต์
และยังชอบซื้อของมาฝากเวลาไปต่างประเทศ
เราไม่กล้าบอกเจ้านายเราเลยโพสถามความเห็นในพันทิพก็มีคนบอกว่าให้บอกเจ้านายไปเลย เรายังไม่กล้าบอก เราเลยไปโพสระบายในเฟสบุ๊ค เราโพสประมาณว่าความสุขในการทำงานมันหายไป เจ้านายเห็นโพสก็เลยโทรมาถามตอนนั้นเราไม่กล้าตอบเลยบอกว่าขอเวลาสักพัก
ผ่านไปหลังจากนั้น 3-4วันเจ้านายเรียกคุยว่ามีเรื่องอะไรเล่าให้ผมฟังได้ไหม เราบอกเลยว่าเราเป็นคนคิดมากคิดเยอะ
เราก็เลยบอกว่าไม่รู้จะเริ่มยังไงดี
แต่สุดท้ายเราก็บอกเจ้านายตามความจริงที่เราเห็น หลังจากนั้นวันถัดมาเราก็เห็นว่าเขายังทำอยู่ช่วงพักกลางวันเมื่อเพื่อนร่วมงานออกไปกินข้าวเจ้านายเลยถามเราว่ายังเห็นเขาทำอยู่ไหม คือเราเห็นเราก็เลยบอกว่าเห็นเจ้านายมาเปิดคอมดูก็เห็นงานที่เขาเอามาทำในเวาลางาน เจ้านายบอกเราว่าไม่ค้องกังวลนะเดี๋ยวผมเตือนเอง
หลัจากนั้นเราก็เริ่มโอเครที่เจ้านายรับฟัง
แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอามาทำอีกเราพยายามที่จะไม่สนใจเพราะว่าเจ้านายรับรู้แล้ว สักพัก เราเริ่มกังวลและเริ่มคิดมากอีกครั้งเพราะเรายังต้องเห็นเขาทำอยู่ทุกวัน เราก็ไม่กล้าที่จะบอกเจ้านายหรือไม่กล้าปรึษษาใคร เราเป็นคนคิดมากยิ่งเก็บมาคิดเรื่อยๆแต่ไม่มีที่ระบายออกเก็บใว้คนเดียวบางวันก็ร้องไห้เพราะมันกนใจเราอยู่ตลอดเวลา
เราพยายาที่จะไม่สนใจแล้ว มันก็คอยกวนใจเราอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี
จริงๆก็คิดว่าลาออกดีไหมแต่ภาระที่บ้านเราแบกรับไว้คนเดียวทั้งค่าบ้านและค่าใช้จ่ายภายในบ้านบ้าง ไม่รู้ว่าจะทำไงดี คิดจนปวดหัวแต่ตอนกลับบ้านเราต้องทำเป็นยิ้ม หัวเราะเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวเป็นห่วง
เรากลัวว่าสักวันเราจะเป็นโรคซึมเศร้า
เราอยากหาวิธีหาทางออกให้ได้
ขอบคุณที่รับฟังปัญหา
บางคนอาจคิดว่าเรื่องแค่นี้เองแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่มันเป็นเรื่องที่สะสมมานานมาก ถ้าไม่อยู่ในจุดนี้จะไม่เข้าใจเลย
แต่ก่อนก็เคยคิดนะว่าเรื่องแค่นี้เอง
แต่ด้วยพฤติกรรมหลายๆอย่างมันทำให้เรากังวล
ปล.หรือว่าเจ้านายแค่พูดให้เราไม่คิดมาก
แต่จริงๆแล้วเจ้านายไม่ได้เตือนเขา