เราอยากแชร์ประสบการณ์ ความรู้สึก ของเราในฐานะผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรัง
โรคซึมเศร้ามีหลายประเภท และมันเป็น
โรค ดังนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เป็นโรคมะเร็ง เป็นต้น เพียงแต่เป็นโรคที่เกิดจากจิตใจของเรา หรือเรียกว่า โรคทางจิตเวช มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่มันจะน่ากลัวกว่าที่คิดถ้าไม่รีบไปพบจิตแพทย์
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
https://www.honestdocs.co/most-common-psychiatric-disorders
เราได้รับการวินิฉัยจากจิตแพทย์ว่าเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง เนื่องจากอาการของเรามีมาประมาณ6ปีแล้ว แต่เพิ่งเปิดใจยอมไปพบแพทย์เมื่อไม่นานมานี้เอง ต้องขอขอบคุณสื่อต่างๆจากfacebook ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้คำว่าจิตแพทย์ไม่เคยอยู่ในหัวเราเลย ยิ่งคำว่า"โรคซึมเศร้า"ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พอเราได้อ่านอาการที่เห็นตามสื่อว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าไหม ตามภาพนี้
ครั้งแรกที่เห็นเราตกใจมากเพราะเราเข้าข่ายอาการเกือบทุกข้อ ยกเว้นว่ายังไม่คิดฆ่าตัวตาย(เพราะมันเบื่อแบบทรงๆ ตายไปก็ไม่รู้จะเป็นประโยชน์หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากกว่าเดิมอีกหรือเปล่า อีกอย่างคือกลัวเจ็บ กลัวเลือด) ถ้าอาการข้างต้นหมายถึงเราป่วยจริง แสดงว่าที่ผ่านมาเราไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ใช่คนขี้ขลาด ไม่ใช่คนขี้แพ้ สินะ?
ขอย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงปี1 เรียนเทอมแรกผ่านไปได้อย่างดี (คือเป็นเด็กปกติ ปรับตัวได้ เข้าร่วมกิจกรรมของมหาลัยได้ เรียนหนังสือได้ ชอบอยู่หอมากกว่าอยู่บ้านด้วยเพราะจะได้อ่านหนังสือเงียบๆ เราเป็นคนเรียนไม่เก่ง เราชอบอ่านหนังสือและจดเลกเชอร์ สำหรับเราตอนนั้นมันคือความท้าทาย สนุก) จุดเปลี่ยนอยู่ที่เทอม2 เป็นช่วงที่จะกลับไปเพื่อเตรียมเปิดเทอม เราลงทะเบียนเรียนตามเพื่อนไม่ทัน จนเค้าเปิดเซคที่สามเราถึงเรียนทัน อยู่ดีๆเราเริ่มdown ความเครียสที่ตอนแรกลงทะเบียนไม่ทันมันไม่หายไปเท่าไหร่ อยู่ดีๆความกังวลทุกอย่างก็ถาโถมเรามาก ปกติเราจะคุยกับแม่ตลอดแต่ช่วงนั้นแม่เราไป ตจว. เราบอกเพื่อน เพื่อนก็บอกอย่าคิดมาก มันไม่มีอะไร ภาคเรียนที่2เปิด เราพยายามจะใช้ชีวิตให้ปกติ ทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมอีก เรามีอาการใจสั่น ใจหวิว ใจไม่ดี กังวล หดหู่ รู้สึกแย่อยู่ตลอด ยิ่งช่วงเริ่มมืดแล้วนั้นอาการจะออกอย่างเด่นชัดมาก เพื่อนๆก็พยายามปลอบว่าอย่าคิดมาก มันเริ่มลุกลามเข้าไปในเวลาเรียนเราสมาธิในการเรียนเราถดถอยมาก หลังจากนั้นก็มีอาการอย่างอื่นตามมาคือปวดหัว คงเป็นสาเหตุมาจากเครียสกับตัวเองและไม่มีใครเข้าใจเรา เราเริ่มร้องไห้ไม่มีสาเหตุ น้ำตาไหลเองได้ตลอด ไม่ว่าใครจะพูดอะไรมันก็ไม่ทำให้เราดีขึ้น เริ่มนอนไม่หลับ หลับก็ไม่สนิท ฝันร้ายบ้าง สะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้บ้าง กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักลดลง เคยคิดอะไรไม่ออกไปยืนตรงระเบียงแล้วคิดว่าถ้าโดดลงไปจะตายไหมจากเพื่อนเห็นใจก็เริ่มกลายเป็นไม่เข้าใจ ... ไม่เแปลกหรอกขนาดเรายังไม่เข้าใจตัวเองเลยในตอนนั้น
เราโทรหาที่บ้านทุกวัน สมัยนั้นยังไม่มีcall line เหมือนสมัยนี้ค่าโทรศัพท์ไม่ต้องพูดถึง เราเริ่มพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ร้องไห้เหมือนเด็กอนุบาลที่ไม่ยอมไปโรงเรียน ทุกอย่างมันแย่ลงไปหมด ทั้งทางบ้าน เพื่อน การเรียน และตัวเราเอง แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคืออาการป่วย เรื่องเหมือนจะจบลงตรงที่แม่เราไปดูดวงและผลคือเรามีกรรมหนัก โดนของ เจ้ากรรมนายเวร พระศุกร์เข้ากระเสาร์แทรก การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจิตใจเราในตอนนั้นคือพึ่งศาสนา ทำบุญ 9 วัด ปฏิบัติธรรม ทำทุกอย่างที่มีคนแนะนำ แล้วยังไงหรอ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ดีขึ้นเลย ออกจะแย่ลงด้วยซ้ำ เรากลับไปเรียนแม่ตามเราไปอยู่เป็นเพื่อนเราไม่กี่วัน ช่วงนั้นเวลาเรามีอาการแพนิค เรากลัว หดหู่ ร้องไห้ เรากับแม่กอดกันแน่นมาก เราร้องไห้แม่ก็ร้องด้วย เราเพิ่งมารู้ตอนหลังว่ามี
ทฤษฎี 'กอดบำบัด' มันไม่ได้ทำให้เราหายจากอาการพวกนั้นเลย แต่มันทำให้เรารู้ตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว สัมผัสจากแม่ทำให้เราต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ และยังทำให้เรารู้ว่าแม่รักเรามากแค่ไหน
เราพยายามอย่างถึงที่สุดจนคืนสุดท้ายที่เราอยู่ที่นั่น เราซื้อยาคลายเครียสจากร้านยามากินเพื่อให้ตัวเองได้นอนแต่มันไม่ช่วยเราเลย เราสะดุ้งตื่นมาแบบตกใจมาก ใจสั่น ร้องไห้หนักมาก พูดกับตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว วันรุ่งขึ้นเรากลับบ้าน เจอพ่อก่อน พ่อเราบอกว่าเราจิตอ่อน คิดมาก ต้องตั้งสติให้มากกว่านี้ โลกนี้มีคนแย่กว่าเราตั้งเยอะ แต่ก็ปลอบเราว่าถ้าไม่ไหวก็ยังไม่ต้องกลับไปเรียน ทางบ้านสรุปให้เราพักการเรียน และแม่ไม่ยอมให้เรากลับไปอีก กลัวอาการเราจะเเย่ลง ทุกคนที่บ้านไม่โทษ ไม่ต่อว่าเรา ทุกคนปลอบให้เราพัก ให้เรายอมรับชะตากรรมแบบนี้ ด้วยสภาพร่างกายที่แย่มาประมาณ3เดือน ใครจะให้เราทำอะไรตอนนั้นเราทำหมด ทุกคนในบ้านพยายามปฏิบัติกับ้ราเหมือนเราเป็นปกติ บอกเราทุกวันว่าหายดีเป็นปกติ มีคนแนะนำให้แม่พาเราไปหาจิตแพทย์ เราไปรพ.ที่รักษาเฉพาะทาง แต่ขั้นตอนตอนนั้นคือเราไปกับแม่และแม่เราเป็นคนคุยเรื่องอาการของเราก่อนที่เราจะได้พบแพทย์ หมอบอกว่าเราแค่คิดมาก วิตกกังวลมากเกินไป อย่าดูรายการเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมาก ได้ยามากินและพบหมออยู่สามครั้ง จนหมอบอกหายเป็นปกติแล้วไม่ต้องมาหาหมอแล้ว
เราเริ่มเรียนมหาลัยที่ใหม่ที่ใกล้บ้านเพื่อที่ได้อยู่บ้าน แต่เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนเป็นคนละคน ความมั่นใจที่เคยมี กลายเป็นคนลังเล การตัดสินใจด้วยตัวเองก็ไม่ดี คงเป็นเพราะเหตุการที่เราเจอมาด้วย แต่อาการที่เราเคยเป็นมันเหมือนจะกลับมาเยี่ยมเราบ้าง! เเต่เราก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เราคิดว่าเราควบคุมมันได้ เราพยายามหาเป้าหมาย นั่นคือเรียนให้จบ หางานดีๆ มีเงินเดือน และเราก็ทำได้ เราภูมิใจกับตัวเอง ได้งานที่อยากทำ แต่ความภูมิใจอยู่กับเราไม่นาน เมื่อเราเริ่มงานแรกในชีวิต ทุกอย่างพังทลายไม่เป็นอย่างที่เราวาดฝันไว้ เราเหมือนกบที่ออกมาจากกะลามาเจอโลกกว้างใหญ่ทั้งใบ เราปรับตัวครั้งใหญ่ แน่นอนว่าอาการที่เคยเป็นมันไม่ได้แค่มาเยี่ยมเราแต่มันมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ่อยขึ้น เราต้องปรับตัวให้ได้ และควบคุมอาการเราให้ดี เรารู้สึกโดดเดี่ยว ว้าเหว่ ไร้ค่า หดหู่ มองไปทางไหนก็มืดมนไปหมด ไม่มีความภูมิใจเรา รู้สึกเข้ากับใครก็ไม่ได้ เหมือนเรามองเป็นเลขหก แต่คนอื่นมองเป็นเลขเก้า เรามองเป็นตัวโอ คนอื่นมองเป็นศูนย์ เราแอบไปร้องไห้ แต่ละวันที่ตื่นนอนเวลานาฬิกาปลุกเราจะเอาหน้าซุกหมอนแล้วกลั้นใจตื่นเหมือนเตรียมจะไปรบกับพม่า 555 แม่ไปส่งเราขึ้นรถเหมือนตอนไปส่งเราที่โรงเรียนตอนอนุบาล เรามองเเม่เหมือนจะได้เจอกันอีกใช่ไหมTT และเรามองหางานใหม่ ทุกคนในครอบครัวลงความเห็นว่าเราควรย้ายงาน ให้ไม่เครียสเท่างานเก่า สุดท้ายเราลาออกเพื่อเริ่มงานที่ใหม่
งานใหม่ไม่หนักเท่าที่เก่า และหมายถึงเงินเดือนที่ลดลงอย่างน่าตกใจด้วย และด้วยงานที่เบากว่างานเก่ามาก มันทำให้เรารู้สึกไร้ค่ามากกว่าเดิม เราหดหู่กับชีวิตตัวเอง ศรัทธาในตัวเองไม่มีเลย เราชอบโทษตัวเองอยู่ตลอดกับทุกเรื่อง(ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องปรับปรุง) ประกอบกับเรามีปัญหาในครอบครัวด้วย มันทำให้เหมือนหลักยึดเหนี่ยวสุดท้ายของเราพังทลาย มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว.... ทุกวันคือตื่นไปทำงานตามหน้าที่ พยายามประคับประคองสติที่มีทำงานให้เต็มที่ อย่างที่บอกโชคดีที่เรามีภูมิคุ้มกันเรื่องงานหนัก คนพูดทำร้ายจิตใจเราจากที่เก่ามาเยอะ ทำให้เราทำงานที่นี่ได้อย่างสบายตามกำลังที่เรามี โชคดีของเราอีกอย่างคือสภาพแวดล้อมที่นี่ค่อนข้างดี และเราเลือกที่จะไม่บอกถึงอาการของเราให้ใครฟังด้วยเนื่องจากเรามีประสบการณ์ที่คนยังไม่เข้าใจโรคนี้กัน
แล้วเหตุผลที่เราตัดสินใจพาตัวเองไปหาจิตแพทย์คืออาการทางร่างกายของเรามันเตือนเราถี่ขึ้นมาก การนอนของเรามีปัญหา นอนไม่ค่อยหลับ หลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นบ่อย อารมณ์เราหงุดหงิดง่าย คิดและพูดอะไรที่มีแต่เรื่องลบ หม่นหมอง เบื่อทุกอย่าง ชอบโทษตัวเอง และsensitiveกับทุกคำพูดของทุกคน เหมือนสมองมันบอกเราตลอดมันทำให้เราแย่ downลงไปอีก ทั้งๆที่คำพูดเป็นคำพูดที่ไม่น่าคิดมากเลย อ่อนเพลียง่าย และกินเยอะ เราพยายามแก้ไขหากิจกรรมที่ชอบทำ ไปเวิร์คช็อป ศิลปะ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย มันไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ไม่อยากทำ อยากแต่จะนอนนิ่งๆ วันหยุดเราสามารถนอนได้ทั้งวัน นอนนิ่งๆบนเตียงมองเพดานรอเวลาหมดไปวันๆ
เราเริ่มเห็นสื่อเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากขึ้น จนเราได้มีโอกาสเข้าไปทำแบบทดสอบของกรมสุกภาพจิตพบว่าเรามีความเครียสสูงต้องพบจิตแพทย์ เราจึงตัดสนใจโทรไปจองคิวแต่ปรากฏว่าคิวยาวมาก เรารอคิวอยู่เป็นเดือนๆ(เราเลือกหมอที่เป็นผญ เลยนาน) ระหว่างรอคิว เราพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากgoogle youtube facebook(แค่พิมพ์คำว่า โรคซึมเศร้า ข้อมูลก็จะขึ้นมาเพียบเลย) เราหาหนังสือที่เกี่ยวกับโรคนี้(ไว้เราจะมาแนะนำให้นะ) อ่านหนังสือเหมือนมีเพื่อนใหม่เลย และ มันยิ่งทำให้เราแน่ใจว่านี่เราป่วยมานานแล้วหรอ? หรือ เราป่วยจริงใช่ไหม? ถ้าหาหมอเราจะไปรบกวนหมอรึเปล่าถ้าเราแค่คิดมากไปเอง สารพัดความคิดโต้แย้งกันในสมองไปหมด จนเราได้พบหมอและหมอก็สรุปว่าเราเป็น โรคซึมเศร้าเรื้อรัง
ในฐานะผู้ป่วย กว่าเราจะเข้าใจตัวเองยังตั้งนาน ฉะนั้นไม่แปลกที่คนอื่นจะไม่เข้าใจเรา สิ่งที่เราได้อีกอย่างจากการป่วยในครั้งนี้คือเราอ่อนโยนกับทุกคำพูดมากกขึ้น จะพูดอะไรต้องคิดให้ดี เรารู้ว่าทุกคนอยากปลอบใจ แต่คำปลอบใจมันทำให้เราแย่กว่าเดิมอีก(อย่าคิดมาก สู้ๆ อย่าท้อ พยายามอีก ไม่มีอะไรเลย คิดถึงครอบครัวเข้าไว้ ดูคนอื่นที่แย่กว่าสิ ...) เราอยากบอกว่าเราพยายามแล้ว แม้ว่ามันอาจจะดูน้อยเกินไปแต่มันคือทั้งหมดที่ใจเรามี เราถึงต้องหาตัวช่วย เราถึงพบจิตแพทย์ แค่รับฟังเราแบบไม่ตัดสินเรา อยู่ข้างๆกันเงียบๆก็พอ หรือยิ้มให้เราอย่างจริงใจว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เท่านี้เราขอบคุณมาก
สุดท้ายในกระทู้นี้ เราไม่ได้มีเจตนาพาดพึงใครในทางไม่ดี เราขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตเรา ขอบคุณทุกคนที่เคยช่วยเหลือ แค่ส่งยิ้มให้เราก็ดีมากสำหรับเราแล้ว
กระทู้หน้าเราจะมารีวิวหนังสือที่เราอ่านให้นะค่ะ และ การไปหมอไม่ได้น่ากลัวแบบในละครเลย
แชร์ประสบการณ์ในฐานะ "ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรัง"
โรคซึมเศร้ามีหลายประเภท และมันเป็น โรค ดังนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เป็นโรคมะเร็ง เป็นต้น เพียงแต่เป็นโรคที่เกิดจากจิตใจของเรา หรือเรียกว่า โรคทางจิตเวช มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่มันจะน่ากลัวกว่าที่คิดถ้าไม่รีบไปพบจิตแพทย์
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
https://www.honestdocs.co/most-common-psychiatric-disorders
เราได้รับการวินิฉัยจากจิตแพทย์ว่าเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง เนื่องจากอาการของเรามีมาประมาณ6ปีแล้ว แต่เพิ่งเปิดใจยอมไปพบแพทย์เมื่อไม่นานมานี้เอง ต้องขอขอบคุณสื่อต่างๆจากfacebook ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้คำว่าจิตแพทย์ไม่เคยอยู่ในหัวเราเลย ยิ่งคำว่า"โรคซึมเศร้า"ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พอเราได้อ่านอาการที่เห็นตามสื่อว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าไหม ตามภาพนี้
ครั้งแรกที่เห็นเราตกใจมากเพราะเราเข้าข่ายอาการเกือบทุกข้อ ยกเว้นว่ายังไม่คิดฆ่าตัวตาย(เพราะมันเบื่อแบบทรงๆ ตายไปก็ไม่รู้จะเป็นประโยชน์หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากกว่าเดิมอีกหรือเปล่า อีกอย่างคือกลัวเจ็บ กลัวเลือด) ถ้าอาการข้างต้นหมายถึงเราป่วยจริง แสดงว่าที่ผ่านมาเราไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ใช่คนขี้ขลาด ไม่ใช่คนขี้แพ้ สินะ?
ขอย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงปี1 เรียนเทอมแรกผ่านไปได้อย่างดี (คือเป็นเด็กปกติ ปรับตัวได้ เข้าร่วมกิจกรรมของมหาลัยได้ เรียนหนังสือได้ ชอบอยู่หอมากกว่าอยู่บ้านด้วยเพราะจะได้อ่านหนังสือเงียบๆ เราเป็นคนเรียนไม่เก่ง เราชอบอ่านหนังสือและจดเลกเชอร์ สำหรับเราตอนนั้นมันคือความท้าทาย สนุก) จุดเปลี่ยนอยู่ที่เทอม2 เป็นช่วงที่จะกลับไปเพื่อเตรียมเปิดเทอม เราลงทะเบียนเรียนตามเพื่อนไม่ทัน จนเค้าเปิดเซคที่สามเราถึงเรียนทัน อยู่ดีๆเราเริ่มdown ความเครียสที่ตอนแรกลงทะเบียนไม่ทันมันไม่หายไปเท่าไหร่ อยู่ดีๆความกังวลทุกอย่างก็ถาโถมเรามาก ปกติเราจะคุยกับแม่ตลอดแต่ช่วงนั้นแม่เราไป ตจว. เราบอกเพื่อน เพื่อนก็บอกอย่าคิดมาก มันไม่มีอะไร ภาคเรียนที่2เปิด เราพยายามจะใช้ชีวิตให้ปกติ ทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมอีก เรามีอาการใจสั่น ใจหวิว ใจไม่ดี กังวล หดหู่ รู้สึกแย่อยู่ตลอด ยิ่งช่วงเริ่มมืดแล้วนั้นอาการจะออกอย่างเด่นชัดมาก เพื่อนๆก็พยายามปลอบว่าอย่าคิดมาก มันเริ่มลุกลามเข้าไปในเวลาเรียนเราสมาธิในการเรียนเราถดถอยมาก หลังจากนั้นก็มีอาการอย่างอื่นตามมาคือปวดหัว คงเป็นสาเหตุมาจากเครียสกับตัวเองและไม่มีใครเข้าใจเรา เราเริ่มร้องไห้ไม่มีสาเหตุ น้ำตาไหลเองได้ตลอด ไม่ว่าใครจะพูดอะไรมันก็ไม่ทำให้เราดีขึ้น เริ่มนอนไม่หลับ หลับก็ไม่สนิท ฝันร้ายบ้าง สะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้บ้าง กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักลดลง เคยคิดอะไรไม่ออกไปยืนตรงระเบียงแล้วคิดว่าถ้าโดดลงไปจะตายไหมจากเพื่อนเห็นใจก็เริ่มกลายเป็นไม่เข้าใจ ... ไม่เแปลกหรอกขนาดเรายังไม่เข้าใจตัวเองเลยในตอนนั้น
เราโทรหาที่บ้านทุกวัน สมัยนั้นยังไม่มีcall line เหมือนสมัยนี้ค่าโทรศัพท์ไม่ต้องพูดถึง เราเริ่มพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ร้องไห้เหมือนเด็กอนุบาลที่ไม่ยอมไปโรงเรียน ทุกอย่างมันแย่ลงไปหมด ทั้งทางบ้าน เพื่อน การเรียน และตัวเราเอง แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคืออาการป่วย เรื่องเหมือนจะจบลงตรงที่แม่เราไปดูดวงและผลคือเรามีกรรมหนัก โดนของ เจ้ากรรมนายเวร พระศุกร์เข้ากระเสาร์แทรก การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจิตใจเราในตอนนั้นคือพึ่งศาสนา ทำบุญ 9 วัด ปฏิบัติธรรม ทำทุกอย่างที่มีคนแนะนำ แล้วยังไงหรอ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ดีขึ้นเลย ออกจะแย่ลงด้วยซ้ำ เรากลับไปเรียนแม่ตามเราไปอยู่เป็นเพื่อนเราไม่กี่วัน ช่วงนั้นเวลาเรามีอาการแพนิค เรากลัว หดหู่ ร้องไห้ เรากับแม่กอดกันแน่นมาก เราร้องไห้แม่ก็ร้องด้วย เราเพิ่งมารู้ตอนหลังว่ามี ทฤษฎี 'กอดบำบัด' มันไม่ได้ทำให้เราหายจากอาการพวกนั้นเลย แต่มันทำให้เรารู้ตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว สัมผัสจากแม่ทำให้เราต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ และยังทำให้เรารู้ว่าแม่รักเรามากแค่ไหน
เราพยายามอย่างถึงที่สุดจนคืนสุดท้ายที่เราอยู่ที่นั่น เราซื้อยาคลายเครียสจากร้านยามากินเพื่อให้ตัวเองได้นอนแต่มันไม่ช่วยเราเลย เราสะดุ้งตื่นมาแบบตกใจมาก ใจสั่น ร้องไห้หนักมาก พูดกับตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว วันรุ่งขึ้นเรากลับบ้าน เจอพ่อก่อน พ่อเราบอกว่าเราจิตอ่อน คิดมาก ต้องตั้งสติให้มากกว่านี้ โลกนี้มีคนแย่กว่าเราตั้งเยอะ แต่ก็ปลอบเราว่าถ้าไม่ไหวก็ยังไม่ต้องกลับไปเรียน ทางบ้านสรุปให้เราพักการเรียน และแม่ไม่ยอมให้เรากลับไปอีก กลัวอาการเราจะเเย่ลง ทุกคนที่บ้านไม่โทษ ไม่ต่อว่าเรา ทุกคนปลอบให้เราพัก ให้เรายอมรับชะตากรรมแบบนี้ ด้วยสภาพร่างกายที่แย่มาประมาณ3เดือน ใครจะให้เราทำอะไรตอนนั้นเราทำหมด ทุกคนในบ้านพยายามปฏิบัติกับ้ราเหมือนเราเป็นปกติ บอกเราทุกวันว่าหายดีเป็นปกติ มีคนแนะนำให้แม่พาเราไปหาจิตแพทย์ เราไปรพ.ที่รักษาเฉพาะทาง แต่ขั้นตอนตอนนั้นคือเราไปกับแม่และแม่เราเป็นคนคุยเรื่องอาการของเราก่อนที่เราจะได้พบแพทย์ หมอบอกว่าเราแค่คิดมาก วิตกกังวลมากเกินไป อย่าดูรายการเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมาก ได้ยามากินและพบหมออยู่สามครั้ง จนหมอบอกหายเป็นปกติแล้วไม่ต้องมาหาหมอแล้ว
เราเริ่มเรียนมหาลัยที่ใหม่ที่ใกล้บ้านเพื่อที่ได้อยู่บ้าน แต่เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนเป็นคนละคน ความมั่นใจที่เคยมี กลายเป็นคนลังเล การตัดสินใจด้วยตัวเองก็ไม่ดี คงเป็นเพราะเหตุการที่เราเจอมาด้วย แต่อาการที่เราเคยเป็นมันเหมือนจะกลับมาเยี่ยมเราบ้าง! เเต่เราก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เราคิดว่าเราควบคุมมันได้ เราพยายามหาเป้าหมาย นั่นคือเรียนให้จบ หางานดีๆ มีเงินเดือน และเราก็ทำได้ เราภูมิใจกับตัวเอง ได้งานที่อยากทำ แต่ความภูมิใจอยู่กับเราไม่นาน เมื่อเราเริ่มงานแรกในชีวิต ทุกอย่างพังทลายไม่เป็นอย่างที่เราวาดฝันไว้ เราเหมือนกบที่ออกมาจากกะลามาเจอโลกกว้างใหญ่ทั้งใบ เราปรับตัวครั้งใหญ่ แน่นอนว่าอาการที่เคยเป็นมันไม่ได้แค่มาเยี่ยมเราแต่มันมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ่อยขึ้น เราต้องปรับตัวให้ได้ และควบคุมอาการเราให้ดี เรารู้สึกโดดเดี่ยว ว้าเหว่ ไร้ค่า หดหู่ มองไปทางไหนก็มืดมนไปหมด ไม่มีความภูมิใจเรา รู้สึกเข้ากับใครก็ไม่ได้ เหมือนเรามองเป็นเลขหก แต่คนอื่นมองเป็นเลขเก้า เรามองเป็นตัวโอ คนอื่นมองเป็นศูนย์ เราแอบไปร้องไห้ แต่ละวันที่ตื่นนอนเวลานาฬิกาปลุกเราจะเอาหน้าซุกหมอนแล้วกลั้นใจตื่นเหมือนเตรียมจะไปรบกับพม่า 555 แม่ไปส่งเราขึ้นรถเหมือนตอนไปส่งเราที่โรงเรียนตอนอนุบาล เรามองเเม่เหมือนจะได้เจอกันอีกใช่ไหมTT และเรามองหางานใหม่ ทุกคนในครอบครัวลงความเห็นว่าเราควรย้ายงาน ให้ไม่เครียสเท่างานเก่า สุดท้ายเราลาออกเพื่อเริ่มงานที่ใหม่
งานใหม่ไม่หนักเท่าที่เก่า และหมายถึงเงินเดือนที่ลดลงอย่างน่าตกใจด้วย และด้วยงานที่เบากว่างานเก่ามาก มันทำให้เรารู้สึกไร้ค่ามากกว่าเดิม เราหดหู่กับชีวิตตัวเอง ศรัทธาในตัวเองไม่มีเลย เราชอบโทษตัวเองอยู่ตลอดกับทุกเรื่อง(ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องปรับปรุง) ประกอบกับเรามีปัญหาในครอบครัวด้วย มันทำให้เหมือนหลักยึดเหนี่ยวสุดท้ายของเราพังทลาย มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว.... ทุกวันคือตื่นไปทำงานตามหน้าที่ พยายามประคับประคองสติที่มีทำงานให้เต็มที่ อย่างที่บอกโชคดีที่เรามีภูมิคุ้มกันเรื่องงานหนัก คนพูดทำร้ายจิตใจเราจากที่เก่ามาเยอะ ทำให้เราทำงานที่นี่ได้อย่างสบายตามกำลังที่เรามี โชคดีของเราอีกอย่างคือสภาพแวดล้อมที่นี่ค่อนข้างดี และเราเลือกที่จะไม่บอกถึงอาการของเราให้ใครฟังด้วยเนื่องจากเรามีประสบการณ์ที่คนยังไม่เข้าใจโรคนี้กัน
แล้วเหตุผลที่เราตัดสินใจพาตัวเองไปหาจิตแพทย์คืออาการทางร่างกายของเรามันเตือนเราถี่ขึ้นมาก การนอนของเรามีปัญหา นอนไม่ค่อยหลับ หลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นบ่อย อารมณ์เราหงุดหงิดง่าย คิดและพูดอะไรที่มีแต่เรื่องลบ หม่นหมอง เบื่อทุกอย่าง ชอบโทษตัวเอง และsensitiveกับทุกคำพูดของทุกคน เหมือนสมองมันบอกเราตลอดมันทำให้เราแย่ downลงไปอีก ทั้งๆที่คำพูดเป็นคำพูดที่ไม่น่าคิดมากเลย อ่อนเพลียง่าย และกินเยอะ เราพยายามแก้ไขหากิจกรรมที่ชอบทำ ไปเวิร์คช็อป ศิลปะ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย มันไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ไม่อยากทำ อยากแต่จะนอนนิ่งๆ วันหยุดเราสามารถนอนได้ทั้งวัน นอนนิ่งๆบนเตียงมองเพดานรอเวลาหมดไปวันๆ
เราเริ่มเห็นสื่อเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากขึ้น จนเราได้มีโอกาสเข้าไปทำแบบทดสอบของกรมสุกภาพจิตพบว่าเรามีความเครียสสูงต้องพบจิตแพทย์ เราจึงตัดสนใจโทรไปจองคิวแต่ปรากฏว่าคิวยาวมาก เรารอคิวอยู่เป็นเดือนๆ(เราเลือกหมอที่เป็นผญ เลยนาน) ระหว่างรอคิว เราพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากgoogle youtube facebook(แค่พิมพ์คำว่า โรคซึมเศร้า ข้อมูลก็จะขึ้นมาเพียบเลย) เราหาหนังสือที่เกี่ยวกับโรคนี้(ไว้เราจะมาแนะนำให้นะ) อ่านหนังสือเหมือนมีเพื่อนใหม่เลย และ มันยิ่งทำให้เราแน่ใจว่านี่เราป่วยมานานแล้วหรอ? หรือ เราป่วยจริงใช่ไหม? ถ้าหาหมอเราจะไปรบกวนหมอรึเปล่าถ้าเราแค่คิดมากไปเอง สารพัดความคิดโต้แย้งกันในสมองไปหมด จนเราได้พบหมอและหมอก็สรุปว่าเราเป็น โรคซึมเศร้าเรื้อรัง
ในฐานะผู้ป่วย กว่าเราจะเข้าใจตัวเองยังตั้งนาน ฉะนั้นไม่แปลกที่คนอื่นจะไม่เข้าใจเรา สิ่งที่เราได้อีกอย่างจากการป่วยในครั้งนี้คือเราอ่อนโยนกับทุกคำพูดมากกขึ้น จะพูดอะไรต้องคิดให้ดี เรารู้ว่าทุกคนอยากปลอบใจ แต่คำปลอบใจมันทำให้เราแย่กว่าเดิมอีก(อย่าคิดมาก สู้ๆ อย่าท้อ พยายามอีก ไม่มีอะไรเลย คิดถึงครอบครัวเข้าไว้ ดูคนอื่นที่แย่กว่าสิ ...) เราอยากบอกว่าเราพยายามแล้ว แม้ว่ามันอาจจะดูน้อยเกินไปแต่มันคือทั้งหมดที่ใจเรามี เราถึงต้องหาตัวช่วย เราถึงพบจิตแพทย์ แค่รับฟังเราแบบไม่ตัดสินเรา อยู่ข้างๆกันเงียบๆก็พอ หรือยิ้มให้เราอย่างจริงใจว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เท่านี้เราขอบคุณมาก
สุดท้ายในกระทู้นี้ เราไม่ได้มีเจตนาพาดพึงใครในทางไม่ดี เราขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตเรา ขอบคุณทุกคนที่เคยช่วยเหลือ แค่ส่งยิ้มให้เราก็ดีมากสำหรับเราแล้ว
กระทู้หน้าเราจะมารีวิวหนังสือที่เราอ่านให้นะค่ะ และ การไปหมอไม่ได้น่ากลัวแบบในละครเลย