เราจะมาแบ่งปันประสบการณ์โรคซึมเศร้าเรื้อรัง และการพบจิตแพทย์ให้ฟังนะ
(ณ ตอนที่เขียนนี้เรายังไม่หายนะคะ เพิ่งเริ่มต้นรักษาได้ 1 เดือนเท่านั้นจ้า)
ก่อนอื่นเราขอแปะข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเรื้อรังก่อนนะ เผื่อใครอยากอ่านเพิ่มเติม
เพราะเราก็ไม่ได้มีความรู้มากมาย เป็นแค่คนๆนึงที่ประสบกับโรคเท่านั้นเอง
ข้อมูลความรู้ (เครดิตตามเว็บไซต์เลยนะคะ)
1.
http://muay-bipolardisorder.blogspot.com/2009/06/dysthymia-cyclothymia.html
2.
https://th.wikipedia.org/wiki/โรคซึมเศร้า
3.
http://www.skko.moph.go.th/dward/document_file/psycho/common_form_upload_file/20120209105441_1184193533.ppt
_______________________________________________________________
(1)ก่อนอื่นเลยแรกเริ่มเราเป็นคนคิดมากเป็นนิสัยส่วนตัวอยู่แล้วค่ะ คิดมากคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เด็กๆ
แต่มาสังเกตุระยะหลังว่านี่มันคิดมากแบบไม่สามารถควบคุมได้หรือไม่สามารถเบรกได้เเล้ว คือคิดมากขั้นที่มากกว่าเมื่อก่อนมาก
จนเรารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป อาจด้วยเป็นคนที่เครียดง่ายอยู่แล้ว พอมาเริ่มทำงาน งานก็เครียดและกดดัน ซึ่งตอนแรกๆเราก็ไม่รู้สึก
หรือที่เรียกว่าคนเรามักเครียดไม่รู้ตัวนั่นแหละค่ะ มันก็สะสมมาเรื่อยๆจากปีเป็นสองปีเป็นสามปี ...
(ถึงตรงนี้อยากแนะนำให้ทุกคนสังเกตุตัวเองนะคะว่าเราเครียดไหม หรือบางคนอาจไม่รู้ว่าตัวเองเครียด
แนะนำให้ประเมินจากงานที่เราทำ ลักษณะงานว่ามีความกดดันแค่ไหน ถ้าความกดดันหรือภาระที่ต้องรับผิดชอบ
อยู่ในระดับที่เราคิดว่าหนักใจ เราแนะนำนะว่าลองไปคุยกับจิตแพทย์ดู เพราะคนเรามักไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเครียด
ถ้าเราลองได้คุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เค้าจะรับฟังและประเมินได้ว่าเรากำลังเครียดอยู่หรือเปล่า
บางทีไปพูดไปคุยกับเค้าเพื่อเช็คตัวเราเองเนอะ แต่ต้องยอมรับว่าสังคมบ้านเรายังไม่ค่อยเปิดกว้างมากนักกับเรื่องแบบนี้
เราอยากบอกว่ามันคือเรื่องปกติมาก และไม่อยากให้มองว่าแปลกไปพบหมอเถอะนะ
คิดซะว่าคนเราเกิดมาร่างกายเรายังดูแล มีตรวจสุขภาพทุกปี แล้วสุขภาพใจเราจะไม่ตรวจเลยสักครั้งในชิวิตเลยหรอ )
(2)มาต่อที่อาการของเรา จากที่เราเครียดสะสมเรื้อรังมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมีอาการอื่นตามมา คือเราเริ่มหลีกหนีสังคม
ไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากพบใคร ไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากเจอคนรู้จัก ถ้ามีเพื่อนนัดเจอเราจะเครียดมากๆ
หรือถ้าบังเอิญเจอคนรู้จักแบบไม่ได้นัดเราจะตัวสั่น ใจสั่น ถ้าหลบได้ก็หลบ หนีได้ก็หนี
สาเหตุเป็นเพราะเรา self esteem ต่ำลงมากๆแทบจะไม่เหลือ กลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ภูมิใจในตัวเอง
ไม่ภูมิใจในหน้าที่การงาน ทั้งๆที่เราเป็นคนเก่ง และทำงานไม่ได้ขาดตกบกพร้อง และงานก็ก้าวหน้า มีโอกาสดีๆเสมอๆ
แต่เราไม่เคยภาคภูมิใจหรือชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองทำเลยสักนิด คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ผิดพลาด และไม่ perfect เราต้องการให้คนอื่นมองเรา perfect
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เราไม่เคารพตัวเอง ไม่ชอบแม้แต่ส่องกระจก เพราะไม่ชอบตัวเอง และเริ่มคิดถึงแต่เรื่องไม่ดีของตัวเอง
เรื่องที่ผิดพลาด (ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ชีวิตเราไม่เคยทำอะไรผิดพลาดใหญ่ๆหรือออกนอกลู่นอกทาง)
เรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรากลับจำมันไม่ได้เลย ไม่คิดถึงมันด้วย
(3) เรามีปัญหากับคนส่วนใหญ่ที่มักตัดสินคนที่รูปร่างหน้าตา เราจะรับไม่ได้และไม่ชอบเลยไม่ว่าคนๆนั้นจะว่าใคร ถึงแม้ไม่ได้พูดถึงเรา
เราก็ไม่ชอบ ไม่ว่าจะสูงขาวดำผอมเตี้ยหน้าสิวอ้วนขาใหญ่ หรืออะไรก็ตาม กลายเป็นเรารับไม่ได้ที่ต้องเจอคนแบบนี้
รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตัดสินกันหรือเปล่า ทำไมคนเราไม่ทักกันด้วยคำว่า เป็นไงบ้างชีวิตช่วงนี้มีความสุขดีไหม เป็นต้น
เราไม่เข้าใจถึงขนาดว่า เรามีความคิดว่าอยากตาย หรือถ้าเราตายไปคนพวกนี้หรือปากแบบนี้เค้าจะสำนึกหรือคิดได้ไหมนะ
ว่าสิ่งที่เค้าตัดสินคนอื่นแบบนี้มันไม่ควรเลย เขียนถึงตรงนี้เราอยากรณรงค์ให้ทุกคนฝึกตัวเองนะ อย่าทักใครเรื่องรูปร่างหน้าตา
ถ้าเป็นเมืองนอกเค้าก็ไม่ทำกันแบบนี้ สังคมไทยทำเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติ (อันนี้คุณหมอบอกมา )
แต่ทั้งนี้เราก็ต้องเข้าใจว่าสังคมเป็นนี้รณรงค์กันเเล้วกับเรื่องพวกนี้
มันได้แค่นี้แหละ ณ ตอนนี้เวลานี้ ก็ต้องเข้าใจและใช้เวลา ^^
(4) เราเริ่มรู้สึกตัวเองว่าสมาธิสั้นลง แบบอยู่ดีๆก็ลืมว่าจะพูดอะไร ลืมไปประมาณ 10 วิ ก็จะจำได้
และเป็นบ่อยมาก ประชุมหรือคุยงานอยู่ดีๆ เราก็สามารถลืมได้ เรียกว่าลืมกลางอากาศเลยก็ว่าได้
การตัดสินใจเราแย่ลง จากเมื่อก่อนเป็นคนคิดและตัดสินใจอะไรเองตลอด กลายเป็นตัดสินใจไม่ได้ ลังเล แบบไหนดีนะ
ให้คำตอบกับคนอื่นไม่ได้ เพราะตัวเองยังลังเล ไม่รู้ว่าทางไหนดีกว่า สับสนไปหมด
กลายเป็นคนร้องไห้ง่ายมาก อะไรสะกิดใจนิดหน่อยก็ร้อง คำพูดในทีวีบางคำพูดซึ่งไม่ใช่คำพูดซึ้งอะไรเลย
เราก็ร้อง อันนี้ก็งงตัวเองมากเว่อ
จากที่เราเป็นทั้ง 4 ข้อหลักๆ และเราใช้ชีวิตอยู่กับการคิดที่ผิดปกติพวกนี้มานานมาก (มากกว่า 2 ปี) จนวันนี้มันเริ่มกระทบกับความสัมพัน
เราเริ่มเครียดอีกครั้งว่าเมื่อก่อนเราเป็นคนเพื่อนเยอะมากนะ ทำไมตอนนี้เราปฎิเสธเพื่อน เราไม่อยากเสียเพื่อนดีๆไปเลยแม้แต่คนเดียว
และที่พีคที่สุดคือแฟนที่คบมา 5 ปีบอกเลิก เพราะเค้าไม่ชอบที่เราไม่ไปเจอผู้คน ไม่ไปเจอเพื่อนเค้า ไม่เคยเจอครอบครัวเค้าเลย
และคราวนี้เค้าบอกเลิกเราอย่างจริงจัง...
เราเลยตัดสินใจบอกสิ่งที่เราเป็นทั้งหมดให้เค้าฟัง(ที่ผ่านมาเราเก็บไว้ คิดและสงสัยอยู่คนเดียวว่าเราเป็นซึมเศร้าไหมนะ)
แฟนเราเลยพาเราไปพบหมอ . . .
______________________________________________________________
พบจิตแพทย์ที่ โรงพยาบาลมณารมย์
โรงพยาบาลมณารมย์เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชโดยเฉพาะ (ขอให้ตัดภาพแบบในละคร โรงพยาบาลบ้าออกไปได้เลยนะ)
ตอนแรกเราก็เกร็งและเครียดว่านี่เราต้องมาโรงพยาบาลแบบนี้หรอ แต่อีกใจเราก็รู้สึกดีมากที่เราจะได้พบหมอ
และไม่กลัวว่าใครจะมองว่าเราเดินเข้าไปพบจิตแพทย์ เพราะเราอยากหาย อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
และเราไม่เคยอายเลยนะที่จะบอกใครต่อใครว่า เฮ้ยเราเป็นซึมเศร้าเรื้อรังนะ เพราะเราไม่ได้มองว่าการที่เราเป็นโรคนี้คือเรื่องแปลก
ในเมื่อคนอื่นๆเค้าก็เป็นกัน และสมัยนี้ด้วยสังคม ปัจจัยแวดล้อมหลายๆอย่าง มันทำให้เราเป็นได้ง่ายอยู่แล้ว
เข้าไปโรงพยาบาลร่มรื่น ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมาก ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนเลยคนไข้น้อยและทุกๆคนบริการและดูแลดีมาก
เราเข้าไปพบหมอใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง เข้าไปครั้งแรก เราไม่พูดอะไร เราร้องไห้ก่อนเลยเหมือนเราอัดอั้นเพราะเราเป็นพวกไม่ชอบ
เล่าเรื่องทุกข์ให้ใครฟัง เพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนร้องไห้ง่าย ร้องไห้จนเสร็จ หมอก็ถามว่ามีอะไรจะเล่าให้หมอฟังไหม
จากนั้นเราก็เล่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่ทำให้เป็นปัญหา สิ่งที่กระทบกับความสัมพันของเราทุกอย่างให้หมอฟัง
หมอซักอยู่นานมากๆ ถามวนไปวนมาเพื่อให้แน่ใจว่าเราคิดแบบไหนเป็นแบบไหน
จนสุดท้ายหมอสรุปว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ภาษาอังกฤษเรียกว่า dysthymia ซึมเศร้าชนิดนี้คือซึมเศร้าชนิดอ่อนๆ
ไม่ถึงกับ depression แต่สามารถกลายเป็น depression ได้หากไม่รักษา และสาเหตุที่เรียกว่าเรื้อรังคือคนที่ป่วยจะมีความคิด
พวกนี้รบกวนจิตใจมามากกว่า 2 ปีขึ้นไป และอาการก็จะขึ้นๆลงๆ หมายถึงจะมีช่วงสุขเป็นปกติ แต่ก็วกกลับมาเศร้าได้เรื่อยๆ
เรียกว่าอาการรบกวนจิตใจ จนทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
ซึ่งคนที่เป็น dysthymia นี้จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ (ก็คือถ้าไม่บอกคนอื่นหรือไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นจนไปพบหมอ เอาง่ายๆว่า
คนรอบข้างก็ไม่รู้ว่าเราเป็น) สามารถทำงานได้ดีตามปกติ (สมาธิสั้นลงแต่เราควบคุมคุณภาพของงานเราได้เหมือนเดิม)
ควบคุมอารมณ์ได้ปกติเหมือนคนปกติทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่คนป่วยจะไม่มีความสุขในชีวิต
หมอเริ่มต้นอธิบายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ปรับความคิด มุมมองและพฤติกรรม แนะนำการพูดหรืออะไรก็ตามที่มีประโยชน์
ในเชิงจิตวิทยา ที่สามารถให้เรามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ หมอเน้นให้เราปรับพฤติกรรม อะไรไม่ชอบทำก็ต้องฝืนทำ
เช่นเข้าสังคม ไปพบเพื่อน ต่อให้ไม่อยากเจอ ก็ต้องฝืน เพื่อปรับความคิดและพฤติกรรมตัวเอง จากนั้นหมอเรียกแฟนเราเข้าไปคุยด้วย
เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรม อะไรที่ไม่ดีหรือสิ่งที่เราทำไม่ได้ต่อกันหมอก็จะพูดให้ปรับ ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
และที่หนีไม่พ้น ก็คือสุดท้ายหมอก็จ่ายยาให้มากิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
และทุกครั้งที่กลับจากพบหมอ เรารู้สึกดีกับตัวเองมากๆเลยนะ รู้สึกว่าความคิดที่มันขุ่นๆมัวเริ่มสดใส เริ่มคิดอะไรเข้าที่เข้าทาง
เริ่มคิดว่าตัวเรานั้นไม่ได้สำคัญขนาดนั้น และเราต้องรู้จักให้อภัยและเมตตาตัวเอง ที่สำคัญคือเราต้องนำคำแนะนำของหมอมาปฎิบัติ
ทุกอย่าง เราเชื่อฟังหมอมาก เพราะเราอยากหาย และรู้ว่าสิ่งที่หมอแนะนำนั้นเป็นเรื่องดี รวมถึงเราไม่อยากเสียใครไปในชีวิต
เพียงเพราะตัวเองคิดอะไรผิดปกติหรือป่วย (ในทางเทคนิคแล้ว ผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากสารเคมีในสมองชื่อ serotonin หลั่งน้อยผิดปกติ
ทำให้ไม่มีความสุข หรืออารมณ์ไม่ปกติ ไม่ smooth นั่นเองค่ะ)
______________________________________________________________________
สุดท้ายอยากบอกว่า ไม่ว่าใครก็ตามแต่ที่รู้สึกเครียด คิดมาก หรือสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมีความกดดันสูง
อยากแนะนำให้เปิดใจและเดินไปคุยกับหมอ เพื่อให้หมอประเมิน จริงๆแล้วไม่มีอะไรเสียหายนะ ไม่เป็นก็ดี
ถ้าเป็นก็ดีไปอีกจะได้รู้ตัวและรักษา
เราเคยลงเรื่องนี้ใน facebook แบบย่อๆ หลังจากนั้นคนทักมาปรึกษาเราเต็มเลย ทำให้เรารู้สึกว่ามีคนที่เครียด
และสงสัยว่าตัวเองเป็นอยู่เต็มไปหมดเพียงแต่เค้ายังไม่ได้ไปพบหมอ หรือไม่เปิดใจ ไม่กล้าไปพบหมอ เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแค่นั้นเอง
อยากสนับสนุน อยากเชียร์ให้คนที่แอบสังสัยหรือแอบคิดอยู่คนเดียวไปคุยกับหมอเถอะนะ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
เหมือนร่างกายที่เราป่วยเราก็ต้องรักษา ตอนนี้สารเคมีในสมองเราผิดปกติเราก็ต้องรักษาแค่นั้นเอง
ซึมเศร้าเรื้อรัง โรคที่คนข้างๆไม่เข้าใจ
เราจะมาแบ่งปันประสบการณ์โรคซึมเศร้าเรื้อรัง และการพบจิตแพทย์ให้ฟังนะ
(ณ ตอนที่เขียนนี้เรายังไม่หายนะคะ เพิ่งเริ่มต้นรักษาได้ 1 เดือนเท่านั้นจ้า)
ก่อนอื่นเราขอแปะข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเรื้อรังก่อนนะ เผื่อใครอยากอ่านเพิ่มเติม
เพราะเราก็ไม่ได้มีความรู้มากมาย เป็นแค่คนๆนึงที่ประสบกับโรคเท่านั้นเอง
ข้อมูลความรู้ (เครดิตตามเว็บไซต์เลยนะคะ)
1. http://muay-bipolardisorder.blogspot.com/2009/06/dysthymia-cyclothymia.html
2. https://th.wikipedia.org/wiki/โรคซึมเศร้า
3. http://www.skko.moph.go.th/dward/document_file/psycho/common_form_upload_file/20120209105441_1184193533.ppt
_______________________________________________________________
(1)ก่อนอื่นเลยแรกเริ่มเราเป็นคนคิดมากเป็นนิสัยส่วนตัวอยู่แล้วค่ะ คิดมากคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เด็กๆ
แต่มาสังเกตุระยะหลังว่านี่มันคิดมากแบบไม่สามารถควบคุมได้หรือไม่สามารถเบรกได้เเล้ว คือคิดมากขั้นที่มากกว่าเมื่อก่อนมาก
จนเรารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป อาจด้วยเป็นคนที่เครียดง่ายอยู่แล้ว พอมาเริ่มทำงาน งานก็เครียดและกดดัน ซึ่งตอนแรกๆเราก็ไม่รู้สึก
หรือที่เรียกว่าคนเรามักเครียดไม่รู้ตัวนั่นแหละค่ะ มันก็สะสมมาเรื่อยๆจากปีเป็นสองปีเป็นสามปี ...
(ถึงตรงนี้อยากแนะนำให้ทุกคนสังเกตุตัวเองนะคะว่าเราเครียดไหม หรือบางคนอาจไม่รู้ว่าตัวเองเครียด
แนะนำให้ประเมินจากงานที่เราทำ ลักษณะงานว่ามีความกดดันแค่ไหน ถ้าความกดดันหรือภาระที่ต้องรับผิดชอบ
อยู่ในระดับที่เราคิดว่าหนักใจ เราแนะนำนะว่าลองไปคุยกับจิตแพทย์ดู เพราะคนเรามักไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเครียด
ถ้าเราลองได้คุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เค้าจะรับฟังและประเมินได้ว่าเรากำลังเครียดอยู่หรือเปล่า
บางทีไปพูดไปคุยกับเค้าเพื่อเช็คตัวเราเองเนอะ แต่ต้องยอมรับว่าสังคมบ้านเรายังไม่ค่อยเปิดกว้างมากนักกับเรื่องแบบนี้
เราอยากบอกว่ามันคือเรื่องปกติมาก และไม่อยากให้มองว่าแปลกไปพบหมอเถอะนะ
คิดซะว่าคนเราเกิดมาร่างกายเรายังดูแล มีตรวจสุขภาพทุกปี แล้วสุขภาพใจเราจะไม่ตรวจเลยสักครั้งในชิวิตเลยหรอ )
(2)มาต่อที่อาการของเรา จากที่เราเครียดสะสมเรื้อรังมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมีอาการอื่นตามมา คือเราเริ่มหลีกหนีสังคม
ไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากพบใคร ไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากเจอคนรู้จัก ถ้ามีเพื่อนนัดเจอเราจะเครียดมากๆ
หรือถ้าบังเอิญเจอคนรู้จักแบบไม่ได้นัดเราจะตัวสั่น ใจสั่น ถ้าหลบได้ก็หลบ หนีได้ก็หนี
สาเหตุเป็นเพราะเรา self esteem ต่ำลงมากๆแทบจะไม่เหลือ กลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ภูมิใจในตัวเอง
ไม่ภูมิใจในหน้าที่การงาน ทั้งๆที่เราเป็นคนเก่ง และทำงานไม่ได้ขาดตกบกพร้อง และงานก็ก้าวหน้า มีโอกาสดีๆเสมอๆ
แต่เราไม่เคยภาคภูมิใจหรือชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองทำเลยสักนิด คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ผิดพลาด และไม่ perfect เราต้องการให้คนอื่นมองเรา perfect
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เราไม่เคารพตัวเอง ไม่ชอบแม้แต่ส่องกระจก เพราะไม่ชอบตัวเอง และเริ่มคิดถึงแต่เรื่องไม่ดีของตัวเอง
เรื่องที่ผิดพลาด (ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ชีวิตเราไม่เคยทำอะไรผิดพลาดใหญ่ๆหรือออกนอกลู่นอกทาง)
เรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรากลับจำมันไม่ได้เลย ไม่คิดถึงมันด้วย
(3) เรามีปัญหากับคนส่วนใหญ่ที่มักตัดสินคนที่รูปร่างหน้าตา เราจะรับไม่ได้และไม่ชอบเลยไม่ว่าคนๆนั้นจะว่าใคร ถึงแม้ไม่ได้พูดถึงเรา
เราก็ไม่ชอบ ไม่ว่าจะสูงขาวดำผอมเตี้ยหน้าสิวอ้วนขาใหญ่ หรืออะไรก็ตาม กลายเป็นเรารับไม่ได้ที่ต้องเจอคนแบบนี้
รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตัดสินกันหรือเปล่า ทำไมคนเราไม่ทักกันด้วยคำว่า เป็นไงบ้างชีวิตช่วงนี้มีความสุขดีไหม เป็นต้น
เราไม่เข้าใจถึงขนาดว่า เรามีความคิดว่าอยากตาย หรือถ้าเราตายไปคนพวกนี้หรือปากแบบนี้เค้าจะสำนึกหรือคิดได้ไหมนะ
ว่าสิ่งที่เค้าตัดสินคนอื่นแบบนี้มันไม่ควรเลย เขียนถึงตรงนี้เราอยากรณรงค์ให้ทุกคนฝึกตัวเองนะ อย่าทักใครเรื่องรูปร่างหน้าตา
ถ้าเป็นเมืองนอกเค้าก็ไม่ทำกันแบบนี้ สังคมไทยทำเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติ (อันนี้คุณหมอบอกมา )
แต่ทั้งนี้เราก็ต้องเข้าใจว่าสังคมเป็นนี้รณรงค์กันเเล้วกับเรื่องพวกนี้
มันได้แค่นี้แหละ ณ ตอนนี้เวลานี้ ก็ต้องเข้าใจและใช้เวลา ^^
(4) เราเริ่มรู้สึกตัวเองว่าสมาธิสั้นลง แบบอยู่ดีๆก็ลืมว่าจะพูดอะไร ลืมไปประมาณ 10 วิ ก็จะจำได้
และเป็นบ่อยมาก ประชุมหรือคุยงานอยู่ดีๆ เราก็สามารถลืมได้ เรียกว่าลืมกลางอากาศเลยก็ว่าได้
การตัดสินใจเราแย่ลง จากเมื่อก่อนเป็นคนคิดและตัดสินใจอะไรเองตลอด กลายเป็นตัดสินใจไม่ได้ ลังเล แบบไหนดีนะ
ให้คำตอบกับคนอื่นไม่ได้ เพราะตัวเองยังลังเล ไม่รู้ว่าทางไหนดีกว่า สับสนไปหมด
กลายเป็นคนร้องไห้ง่ายมาก อะไรสะกิดใจนิดหน่อยก็ร้อง คำพูดในทีวีบางคำพูดซึ่งไม่ใช่คำพูดซึ้งอะไรเลย
เราก็ร้อง อันนี้ก็งงตัวเองมากเว่อ
จากที่เราเป็นทั้ง 4 ข้อหลักๆ และเราใช้ชีวิตอยู่กับการคิดที่ผิดปกติพวกนี้มานานมาก (มากกว่า 2 ปี) จนวันนี้มันเริ่มกระทบกับความสัมพัน
เราเริ่มเครียดอีกครั้งว่าเมื่อก่อนเราเป็นคนเพื่อนเยอะมากนะ ทำไมตอนนี้เราปฎิเสธเพื่อน เราไม่อยากเสียเพื่อนดีๆไปเลยแม้แต่คนเดียว
และที่พีคที่สุดคือแฟนที่คบมา 5 ปีบอกเลิก เพราะเค้าไม่ชอบที่เราไม่ไปเจอผู้คน ไม่ไปเจอเพื่อนเค้า ไม่เคยเจอครอบครัวเค้าเลย
และคราวนี้เค้าบอกเลิกเราอย่างจริงจัง...
เราเลยตัดสินใจบอกสิ่งที่เราเป็นทั้งหมดให้เค้าฟัง(ที่ผ่านมาเราเก็บไว้ คิดและสงสัยอยู่คนเดียวว่าเราเป็นซึมเศร้าไหมนะ)
แฟนเราเลยพาเราไปพบหมอ . . .
______________________________________________________________
พบจิตแพทย์ที่ โรงพยาบาลมณารมย์
โรงพยาบาลมณารมย์เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชโดยเฉพาะ (ขอให้ตัดภาพแบบในละคร โรงพยาบาลบ้าออกไปได้เลยนะ)
ตอนแรกเราก็เกร็งและเครียดว่านี่เราต้องมาโรงพยาบาลแบบนี้หรอ แต่อีกใจเราก็รู้สึกดีมากที่เราจะได้พบหมอ
และไม่กลัวว่าใครจะมองว่าเราเดินเข้าไปพบจิตแพทย์ เพราะเราอยากหาย อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
และเราไม่เคยอายเลยนะที่จะบอกใครต่อใครว่า เฮ้ยเราเป็นซึมเศร้าเรื้อรังนะ เพราะเราไม่ได้มองว่าการที่เราเป็นโรคนี้คือเรื่องแปลก
ในเมื่อคนอื่นๆเค้าก็เป็นกัน และสมัยนี้ด้วยสังคม ปัจจัยแวดล้อมหลายๆอย่าง มันทำให้เราเป็นได้ง่ายอยู่แล้ว
เข้าไปโรงพยาบาลร่มรื่น ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมาก ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนเลยคนไข้น้อยและทุกๆคนบริการและดูแลดีมาก
เราเข้าไปพบหมอใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง เข้าไปครั้งแรก เราไม่พูดอะไร เราร้องไห้ก่อนเลยเหมือนเราอัดอั้นเพราะเราเป็นพวกไม่ชอบ
เล่าเรื่องทุกข์ให้ใครฟัง เพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนร้องไห้ง่าย ร้องไห้จนเสร็จ หมอก็ถามว่ามีอะไรจะเล่าให้หมอฟังไหม
จากนั้นเราก็เล่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่ทำให้เป็นปัญหา สิ่งที่กระทบกับความสัมพันของเราทุกอย่างให้หมอฟัง
หมอซักอยู่นานมากๆ ถามวนไปวนมาเพื่อให้แน่ใจว่าเราคิดแบบไหนเป็นแบบไหน
จนสุดท้ายหมอสรุปว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ภาษาอังกฤษเรียกว่า dysthymia ซึมเศร้าชนิดนี้คือซึมเศร้าชนิดอ่อนๆ
ไม่ถึงกับ depression แต่สามารถกลายเป็น depression ได้หากไม่รักษา และสาเหตุที่เรียกว่าเรื้อรังคือคนที่ป่วยจะมีความคิด
พวกนี้รบกวนจิตใจมามากกว่า 2 ปีขึ้นไป และอาการก็จะขึ้นๆลงๆ หมายถึงจะมีช่วงสุขเป็นปกติ แต่ก็วกกลับมาเศร้าได้เรื่อยๆ
เรียกว่าอาการรบกวนจิตใจ จนทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
ซึ่งคนที่เป็น dysthymia นี้จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ (ก็คือถ้าไม่บอกคนอื่นหรือไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นจนไปพบหมอ เอาง่ายๆว่า
คนรอบข้างก็ไม่รู้ว่าเราเป็น) สามารถทำงานได้ดีตามปกติ (สมาธิสั้นลงแต่เราควบคุมคุณภาพของงานเราได้เหมือนเดิม)
ควบคุมอารมณ์ได้ปกติเหมือนคนปกติทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่คนป่วยจะไม่มีความสุขในชีวิต
หมอเริ่มต้นอธิบายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ปรับความคิด มุมมองและพฤติกรรม แนะนำการพูดหรืออะไรก็ตามที่มีประโยชน์
ในเชิงจิตวิทยา ที่สามารถให้เรามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ หมอเน้นให้เราปรับพฤติกรรม อะไรไม่ชอบทำก็ต้องฝืนทำ
เช่นเข้าสังคม ไปพบเพื่อน ต่อให้ไม่อยากเจอ ก็ต้องฝืน เพื่อปรับความคิดและพฤติกรรมตัวเอง จากนั้นหมอเรียกแฟนเราเข้าไปคุยด้วย
เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรม อะไรที่ไม่ดีหรือสิ่งที่เราทำไม่ได้ต่อกันหมอก็จะพูดให้ปรับ ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
และที่หนีไม่พ้น ก็คือสุดท้ายหมอก็จ่ายยาให้มากิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
และทุกครั้งที่กลับจากพบหมอ เรารู้สึกดีกับตัวเองมากๆเลยนะ รู้สึกว่าความคิดที่มันขุ่นๆมัวเริ่มสดใส เริ่มคิดอะไรเข้าที่เข้าทาง
เริ่มคิดว่าตัวเรานั้นไม่ได้สำคัญขนาดนั้น และเราต้องรู้จักให้อภัยและเมตตาตัวเอง ที่สำคัญคือเราต้องนำคำแนะนำของหมอมาปฎิบัติ
ทุกอย่าง เราเชื่อฟังหมอมาก เพราะเราอยากหาย และรู้ว่าสิ่งที่หมอแนะนำนั้นเป็นเรื่องดี รวมถึงเราไม่อยากเสียใครไปในชีวิต
เพียงเพราะตัวเองคิดอะไรผิดปกติหรือป่วย (ในทางเทคนิคแล้ว ผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากสารเคมีในสมองชื่อ serotonin หลั่งน้อยผิดปกติ
ทำให้ไม่มีความสุข หรืออารมณ์ไม่ปกติ ไม่ smooth นั่นเองค่ะ)
______________________________________________________________________
สุดท้ายอยากบอกว่า ไม่ว่าใครก็ตามแต่ที่รู้สึกเครียด คิดมาก หรือสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมีความกดดันสูง
อยากแนะนำให้เปิดใจและเดินไปคุยกับหมอ เพื่อให้หมอประเมิน จริงๆแล้วไม่มีอะไรเสียหายนะ ไม่เป็นก็ดี
ถ้าเป็นก็ดีไปอีกจะได้รู้ตัวและรักษา
เราเคยลงเรื่องนี้ใน facebook แบบย่อๆ หลังจากนั้นคนทักมาปรึกษาเราเต็มเลย ทำให้เรารู้สึกว่ามีคนที่เครียด
และสงสัยว่าตัวเองเป็นอยู่เต็มไปหมดเพียงแต่เค้ายังไม่ได้ไปพบหมอ หรือไม่เปิดใจ ไม่กล้าไปพบหมอ เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแค่นั้นเอง
อยากสนับสนุน อยากเชียร์ให้คนที่แอบสังสัยหรือแอบคิดอยู่คนเดียวไปคุยกับหมอเถอะนะ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
เหมือนร่างกายที่เราป่วยเราก็ต้องรักษา ตอนนี้สารเคมีในสมองเราผิดปกติเราก็ต้องรักษาแค่นั้นเอง