รีวิวประสบการณ์แอดมิทในหอผู้ป่วยจิตเวช

ฉัน ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia หรือ Persistent Depressive Disorder) คนหนึ่ง โรคซึมเศร้าเรื้อรังจะมีอาการแสดงของอารมณ์ไม่รุนแรงนัก แต่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสองปีขึ้นไป ซึ่งฉันอยู่ในอาการนี้มานานนับ 10 ปี รักษาโดยการทานยาต่อเนื่องมาประมาณ 4 ปี แต่แล้ววันนึงก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันมีอาการรุนแรงมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา

     ฉันเลือกที่จะกินยานอนหลับไปร่วม 100 เม็ด ฉันศึกษามาแล้วนะว่ามันไม่ตายหรอก แค่หลับไปหลายวันหน่อย ซึ่งตอนนั้นฉันคิดว่ามันก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าตายขึ้นมาก็เป็นกำไรไป และแน่นอนว่าฉันถูกพาส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อล้างท้อง ฉันแค่หลับไป 1 วัน 1 คืน เท่านั้นเอง แล้วก็ออกจากโรงพยาบาลมา

     ฉันรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ฉันต้องทำมากกว่านี้อีก ในวันต่อมาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ฉันหยิบเอามีดโกนที่แอบเก็บไว้มากรีดแขน หวังแค่ให้ความเจ็บปวดในใจมันบรรเทาลงบ้าง และแน่นอนว่าฉันวางแผนไว้อย่างดี ฉันตั้งใจให้คนมาเจอฉันตอนที่เลือดไหลเยอะมากแล้ว ลึกๆฉันคิดว่าฉันคงแค่อยากเรียกร้องความสนใจล่ะมั้ง 😊

     ฉันถูกนำส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นโรงพยาบาลที่ฉันรักษาโรคซึมเศร้าอยู่ ฉันขอร้องหมอว่าขอแอดมิทได้มั้ย ฉันไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปอยู่ในที่ๆฉันต้องทนทรมาน แล้วในที่สุดฉันก็ได้แอดมิทสมใจอยาก

    ลืมบอกไป ฉันเพิ่งเรียนจบพยาบาลมาหมาดๆ ฉันจึงพอมีความรู้อยู่บ้างถึงสามารถวางแผนอะไรต่างๆได้ เมื่อฉันเข้ามาในหอผู้ป่วย ที่นี่จะแบ่งเป็นฝั่งหญิงและฝั่งชาย มีสวนปลอมคั่นกลางไว้ ห้องนึงนอน 2 คน จัดให้นอนตามความรุนแรงของอาการ

     กิจกรรมในหอผู้ป่วยเหมือนกับที่ฉันเคยฝึกงานไว้แทบทุกอย่าง เพียงแต่มันกลับกัน จากที่ฉันเคยเป็นผู้บำบัด กลายมาเป็นผู้ถูกบำบัดแทน ฉันต้องตื่น 7 โมงเช้าเพื่ออาบน้ำ ทานข้าวเช้าเกือบ 8 โมง จะมีเวลาว่างสักพักแล้วจะเป็นกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรืองานฝีมือ บางวันทำอาหารง่ายๆ จิตบำบัด สลับหมุนเวียนกันไป พอใกล้เที่ยงอาหารกลางวันก็มา ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่แสนจะน่าเบื่อเพราะไม่มีอะไรให้ทำ ที่หอผู้ป่วยห้ามคนไข้พกโทรศัพท์มือถือ ที่นี่มีเพียงโทรทัศน์ 1 เครื่อง หนังสือนิดหน่อย และเกมกระดานง่ายๆให้เล่นในยามว่าง ทานข้าวเย็นตอน 4 โมงครึ่ง และไปอาบน้ำ พอ 2 ทุ่มก็สวดมนต์ รอทานยาก่อนนอน และก็เข้านอน ชีวิตวนลูปอยู่แบบนี้ทุกวันๆ

     ระหว่างที่อยู่ที่นี่ ฉันได้เพื่อนผู้ป่วยหลายคน แต่ละคนก็มีอาการที่ต่างกันออกไป แต่เพื่อนที่ฉันจำได้และอยากมาเล่าต่อให้ฟัง คือเด็กผู้หญิงคนนึง อายุแค่สิบกว่าขวบ มารักษาตัวเนื่องจากถูกข่มขืนจากคนใกล้ชิด น้องเติบโตมาอย่างน่าสงสาร ฉันได้คุยกับน้องแล้วรู้สึกว่าตัวฉันช่างโชคดีที่ไม่เคยเจอเรื่องร้ายแรงเท่าน้อง

     อีกคนนึง อายุน้อยกว่าฉันปีเดียว เป็นนักศึกษาแพทย์ แต่เครียดจากการเรียนมากจนควบคุมตนเองไม่ได้ (ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียดเพื่อเก็บความลับผู้ป่วยนะคะ) แม่ของน้องร้องไห้ทุกวันที่มาเยี่ยม ฉันเห็นแล้วหดหู่ใจ และนึกขึ้นมาปัญหาของคนอื่นมีเยอะกว่าฉันมากมายนัก

     แล้วเวลาก็ผ่านไป 2 สัปดาห์ ฉันได้คุยกับหมอทุกวัน ได้คุยกับพยาบาลวันละหลายรอบ ทำกิจกรรมมากมาย จนหมอบอกว่าฉันใกล้ได้กลับบ้านแล้ว ฉันดีใจมาก แต่พอใกล้ถึงวันจะได้กลับจริงฉันกลับอาการแย่ลง กลัวว่ากลับบ้านแล้วจะกลับไปแย่อีก จนสุดท้ายก็ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ นานๆครั้งฉันจะถูกพาไปคุยกับทีมหมอนับสิบคนเพื่อช่วยกันวางแผนแนวทางการรักษาของฉัน หมอคนนึงบอกฉันว่า “การที่จะทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราต้องการมันยากมากนะ แต่การเปลี่ยนจิตใจตนเองให้เรียนรู้และยอมรับในตัวตนของคนอื่นมันง่ายกว่ามาก” ฉันจำคำพูดนี้ของหมอมาและพยายามปรับใช้กับตนเอง

     ในที่สุด เมื่อฉันอยู่โรงพยาบาลถึง 3 สัปดาห์ หมอก็อนุญาตให้ฉันกลับบ้านได้ โดยจะมีการนัดติดตามต่อเนื่อง ครั้งหนึ่งในชีวิตของฉันที่ต้องแอดมิทเป็นผู้ป่วยจิตเวช มันเป็นความทรงจำที่ฉันคิดว่าคงไม่มีวันลืม จนถึงตอนนี้อาการของฉันก็ยังไม่ค่อยดี แต่ฉันยังจำคำพูดของหมอไว้เสมอ และฉันจะพยายามสู้กับโรคนี้ต่อไป

เราขอเล่าแค่สั้นๆนะคะ เนื่องจากหลายอย่างเป็นความลับของผู้ป่วยและโรงพยาบาล จึงไม่สามารถลงรายละเอียดลึกได้ ขอบคุณค่ะ 😊
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่