[1]
"ผมอยากฆ่าตัวตายครับ" ผมพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกลับมันเป็นเรื่องปกติ
"ลองทำแบบทดสอบนี่ดูนะคะ" พยาบาลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นกระดาษมาให้ผมพร้อมปากกา ผมเริ่มอ่านมันพร้อมๆ กับนึกถึงเรื่องราวก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ หลังจากเรียนจบและรับปริญญาไม่นาน ผมก็เปลี่ยนชีวิตจากการทำงานกราฟฟิกดีไซน์แบบฟรีแลนซ์ที่ทำมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาทำงานประจำในสายอีเว้นท์ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว
ความเครียดและความกดดันในงานค่อยๆ ดึงผมให้จมดิ่งอยู่กับความคิดและพลังงานด้านลบ ด้วยพื้นฐานของความเป็น Perfectionism มันทำให้ผมอยากทำทุกงานที่ได้รับมอบหมายให้ออกมาดีที่สุด แน่นอน! ไม่มีบริษัทไหนจ้างคุณมาทำงานชิ้นเดียวหรอกครับ ผมต้องถืองานหลายโปรเจ็คท์ในเวลาเดียวกัน ต้องบริหารงาน บริหารเงิน บริหารเวลา และบริหารคน ความเครียดค่อยๆ สะสมขึ้นในแต่ละวันที่ระยะเวลาเป็นตัวบีบเข้ามาเรื่อยๆ ผมยังต้องคอนโทรลทุกงานให้เป็นไปตาม Timeline ที่วางไว้ พร้อมๆ กับประสานงานกับทีมงานทุกฝ่าย ทั้ง Art Director , Copy Writer , Project , Co-Production , Staff , MC ฯลฯ
จุดเริ่มต้นมันเริ่มที่ตอนไหนผมก็ไม่รู้ตัว แต่มารู้อีกทีผมก็ได้นอนเพียงวันละ 2-3 ชั่วโมง บางวันกลับถึงบ้านก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาก่อนจะหลับสนิทเหมือนตายไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีราวตี 2 ลุกขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอน แล้วก็นั่งเตรียมงานสำหรับวันรุ่งขึ้น ทุกๆ วันของผมมีบททดสอบใหม่ๆ เข้ามามากมายทั้งจากงาน และเพื่อนร่วมงาน แน่นอนครับ! เพื่อนร่วมงานที่มีทั้งดีและไม่ดี หลายคนพร้อมจะลองของเด็กใหม่ในออฟฟิศอยู่เสมอ ทุกคำถามผมต้องตอบให้ได้ นั่นทำให้ความวิตกกังวลในเรื่องที่จะพบเจอในวันถัดไปก่อตัวขึ้นเป็นความกดดันและความเครียด
ผมทิ้งเวลาปล่อยให้ตัวเองเป็นอยู่แบบนี้ร่วม 2 สัปดาห์ โดยที่ได้ปรึกษากับเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดคือ HR .... ผมขอลาออก โดยให้เหตุผลว่าผมไม่มีความสุขกับการทำงาน ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่งพอสำหรับที่นี่ ทางพี่ที่เป็น HR พยายามเกลี้ยกล่อมและบอกให้ลองปรับตัวอีกสักพัก หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนสายงาน ซึ่งเจ้าของบริษัทก็ใจดีและให้โอกาสผมได้เลือกทำงานที่คิดว่าตัวเองจะชอบและมีความสุขกับมัน แต่มีข้อแม้ว่าให้ผมเคลียร์งานเก่าที่ถืออยู่ให้เสร็จ
"โห ... คะแนนสูงมากเลยค่ะ อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงมาก เดี๋ยวไปพบคุณหมอนะคะ" พยาบาลคนเดิมนั่งตรวจคำตอบในแบบทดสอบของผมก่อนจะหยิบแผ่นพลาสติกกลมๆ ที่มีหมายเลขห้องตรวจมาให้ผม ผมเดินออกจากห้องคัดกรองมานั่งรอพยาบาลอีกคนพาไปห้องตรวจ พร้อมกับมองหาเพื่อนที่พาผมมาที่นี่ด้วย
หลังจากจัดงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จในค่ำของเย็นวันศุกร์ ผมก็ตัดสินใจปลีกวิเวก ปิดโทรศัพท์ ปิดเฟสบุ๊ค ปิดทุกช่องทางการสื่อสาร เพราะตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมา เบอร์โทรศัพท์ผมฮอทมากประหนึ่งเป็นเบอร์ผู้จัดการส่วนตัวของณเดชน์ ไลน์จากลูกค้าเข้าตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึกดื่น บางคืน mail แก้งานเด้งมาตอนห้าทุ่ม บางวันสายโทรศัพท์เข้าตั้งแต่หกโมงเช้า ผมรู้สึกโหยหาความสงบในชีวิตเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจปิดทุกอย่าง
ผลก็คือ ... ลูกค้าติดต่อไม่ได้ ออฟฟิศตามตัวไม่เจอ เพื่อนก็ไม่มีใครรู้ ทางบริษัทจึงติดต่อไปยังเบอร์โทรของคุณแม่ที่ผมกรอกไว้เป็นบุคคลที่ติดต่อฉุกเฉินตอนกรอกใบสมัคร คุณแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดเลยให้คุณพ่อที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ มาดูที่บ้าน (ซึ่งปกติผมพักอาศัยอยู่คนเดียว) สภาพตอนที่คุณพ่อมาถึงคือ ผมกำลังเทยาทุกกล่อง ทุกซอง ทุกขวดกระจายอยู่เต็มบ้าน เพื่อค้นหายานอนหลับ ตั้งใจว่าจะทานให้มันเกิดขนาดแล้วเสียชีวิตไปเลย (ความจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะครับ น้องๆ ที่อ่านถึงตรงนี้อ่านเป็นเยี่ยงแต่อย่าเอาเป็นอย่างนะครับ ของจริงมันทรมานครับกว่าจะตายน่ะ)
เพื่อนผมเองก็ขับรถมาหาที่บ้านเหมือนกัน เพราะการถึงขั้นปิด Facebook มันผิดวิสัยคนเสพติดโซเชียลอย่างผมเกินไป ทุกคนกลัวว่าผมจะคิดสั้น เพราะเห็นผมบ่นเครียดเรื่องงานอยู่หลายหน จึงนับได้ว่าโชคดีที่ทุกคนมาทันก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำบางอย่างลงไป ทุกคนลงความเห็นว่าปล่อยผมทิ้งไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ได้ เพื่อนจึงขอร้องแกมบังคับให้คืนนั้นไปนอนที่บ้านมัน ก่อนที่พรุ่งนี้จะพาไปยังสถาบันจิตเวชฯ เพราะผมบอกว่าผมไม่ปกติแล้วนะ ความรู้สึกของผมตอนนี้มัน Fail มาก และยังหนักหนาถึงขั้นได้ยินเสียงตัวเองอยู่ในหัวแล้ว
'อยู่ไปทำไม ? อยู่เพื่ออะไร ?'
'ไร้ศักยภาพสิ้นดี'
'ถ้าไม่มีความสามารถ แล้วจะทำอะไรได้'
'ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด'
ประโยคเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวและหูของผมตั้งแต่คืนวันเสาร์ มันดัง มันก้อง และผมไม่สามารถหยุดมันได้ มันเป็นเสียงของผมเอง มันเป็นเสียงของความคิด มันหมุนวนเป็นลูปอยู่แบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หมออยากขอแอดมิดนะคะ จากที่ฟังมาคุณอยู่ในขั้นวิกฤตินะ ถ้ากลับไปอยู่บ้านก็อยู่คนเดียว หรือจะกลับไปอยู่บ้านเพื่อนที่พามาคะ ? มีเพื่อนที่สามารถอยู่ได้ด้วยตลอดเวลาไหม ?" คุณหมอซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เตรียมอุดมฯ ถาม
"เพื่อนผมต้องทำงานครับ" หนึ่งคนเป็นสถาปนิก อีกคนเป็นสจ๊วต ... ไม่มีใครอยู่เฝ้าผมได้ตลอดเวลาหรอก
"งั้นหมอขอให้คุณอยู่ที่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนเนาะ"
"ผมต้องอยู่นานไหมครับ ?"
"ไม่นานหรอกค่ะ จากที่ฟังมาคุณรู้ตัวเองว่าเป็นอะไร คิดอะไร การตัดสินใจยังดีมีสติรู้ตัวอยู่ น่าจะ 2 อาทิตย์ก็ได้ออกแล้ว"
เช้าวันนั้นคุณหมอคุยกับผมอยู่ร่วมสองชั่วโมงกว่า ก่อนที่คุณหมอจะลงความเห็นว่าผมเป็น Bipolar Disorder มีความผิดปกติด้านอารมณ์สองขั้ว ก่อนจะแอดมิดผมถูกส่งตัวไปยังห้องเจาะเลือด เพื่อตรวจค่าตับ ค่าไต และโรคที่อาจเกิดได้จากการมีเพศสัมพันธ์
ทำไมถึงต้องตรวจ ?
Bipolar โรคอารมณ์สองขั้ว ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามีสองขั้ว คือขั้วบวก และขั้วลบ
ขั้วลบ คือ สิ่งที่เห็นชัดเจนว่าผมซึมเศร้า หดหู่ สูญเสียเป้าหมายในชีวิตอย่างสิ้นเชิง สูญเสียความมั่นใจและศักยภาพในตัวเอง นอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร สมาธิสั้น ไม่อยากมีชีวิตอยู่
ขั้วบวก อันนี้จะสังเกตยากสำหรับคนที่โดยปกติเป็นคน Hyperactive แบบผม เวลาที่ขั้วบอกแสดงออกมามันจะมีพลังงานมากกว่าปกติ ไม่หลับไม่นอน ความคิดพุ่งพล่าน อยากทำโน่น ทำนี่อยู่ตลอดเวลา ไอเดียกระฉูดมาก โปรเจคท์ผุดขึ้นในหัวมากมาย ทำกิจกรรมได้แบบไม่เหนื่อย ไม่พักไม่ผ่อน อารมณ์ดีสนุกสนาน ร่าเริงเกินกว่าคนปกติทั่วไป บางคนอาจมีพฤติกรรมใช้เงินเกินตัว แจกเงินแจกทองให้คนอื่น รวมไปถึงการมี Sex กับคนแปลกหน้าโดยปราศจากการป้องกัน
ตรงนี้ผมอยากทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าอารมณ์ทั้งสองขั้วนั้น จะออกมาเป็น Period เป็นช่วงๆ อาจจะช่วงละ 1-2 อาทิตย์ ไม่ใช่ภาพอย่างในละครที่นั่งๆ อยู่แล้วเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวพูดคนเดียว อย่าไปจำภาพแบบนั้นครับ คนเป็น Bipolar จะไม่ใช่แบบนั้นนะครับ
หลังเจาะเลือดเสร็จ มีรถกอล์ฟมารับผมกับเพื่อนไปยังตึกด้านในโรงพยาบาล (ผมไม่แน่ใจว่ารถกอล์ฟเป็นบริการพื้นฐานของที่นี่อยู่แล้วรึเปล่านะครับ)
"แวะเอาของใช้ส่วนตัวที่รถก่อนได้ไหมครับ ?" ผมถามคนขับ เพราะเมื่อคืนเปิดดูในเว็บไซต์ของสถาบันฯ เกี่ยวกับห้องพักและการเตรียมตัวมาเข้าพัก ว่าให้เตรียมของใช้ส่วนตัวมาเอง พวกสบู่ แป้ง ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม รองเท้าแตะ ใบมีดโกน เป็นต้น
"เดี๋ยวค่อยลงมาเอาก็ได้ครับ ขึ้นไปดูห้องก่อน" คนขับตอบ ก่อนหน้านี้ผมแจ้งกับคุณหมอแล้วว่าขอพักตึกพิเศษ เพราะตึกสามัญผมเกรงว่าจะแออัดเกินไป และไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ทางคุณหมอแจ้งว่าขอแอดมิดเข้าตึกสามัญวิกฤติก่อน
"เชิญครับ" ประตูลิฟท์ชั้น 2 เปิดออก เบื้องหน้าของผมคือประตูลูกกรงไปต้องกดสัญญาณก่อนเข้า - ออก เพื่อนผมที่มาด้วยชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะเดินตามผมเข้ามาด้านไหน
"คนไหน ?" เจ้าหน้าที่ผู้ชายหน้าดุถามเสียงดัง
"ผมครับ"
"เอ้า! เปลี่ยนชุดเลย" เขาวางชุดผู้ป่วยสีม่วงอ่อนไว้บนเตียงที่หน้าห้องมีป้ายแปะไว้ว่า 'ห้องสังเกตอาการ' ภายในห้องมีเตียง 2 เตียง มีผนังที่ก่อนขึ้นมาใช้สำหรับบังสายตา ด้านซ้ายมีชักโครก ตรงกลางที่เปิดโล่งเป็นอ่างล้างหน้า และด้านขวาเป็นก๊อกน้ำและถังน้ำขนาดย่อมหนึ่งใบ
"ตรงนี้เลยเหรอครับ" ผมถาม เจ้าหน้าที่พยักหน้าพร้อมกำชับให้ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็ว เอาจริงๆ! อายเป็นเหมือนกันนะครับ เพราะห้องสังเกตอาการที่ว่ามันไม่มีประตูเลยสักบาน ทุกพื้นที่สามารถมองเห็นกันได้หมด เพราะในตึกวิกฤตินี้ต้องป้องกัน สอดส่องไม่ให้คนไข้ทำร้ายตัวเองและผู้อื่นได้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือ คุ้มคลั่งอยากทำร้ายคนอื่น
ผมหยิบชุดก่อนจะมายืนแอบมุมหนึ่งของห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าหน้าที่เอาถุงพลาสติกมาให้ใส่เสื้อผ้า รองเท้า โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ ก่อนจะให้เพื่อนผมเอากลับไป ทางสถาบันฯ ไม่อนุญาตให้ผมพกอะไรติดตัว ตอนนี้ผมกลายเป็นคนไข้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ภายในตึกวิกฤติที่ผมอยู่นั้นมีพื้นที่ส่วนกลางที่วางโทรทัศน์และเก้าอี้ล้อมรอบเป็นรูปตัว C มีโต๊ะและเก้าอี้แบบโรงอาหาร 2 ชุดอยู่อีกด้านของห้อง เอาไว้สำหรับนั่งพูดคุยเวลาญาติมาเยี่ยม ซึ่งอนุญาตให้เยี่ยมได้ครั้งละ 2 คน / 1 ชั่วโมง มีห้องสังเกตอาการแยกออกไปอีก 6 ห้อง มีห้องนอนใหญ่ขนาด 8 เตียงพร้อมพัดลมอีก 1 ห้อง
"เราอยู่ได้" ผมตบบ่าเพื่อนที่ยืนอึ้งๆ ทำท่าไม่แน่ใจในสภาพความเป็นอยู่ของผมนัก
"แน่ใจนะ ?" เพื่อนผมถามย้ำ
"พูดกับเขาดีๆ นะครับพี่ เขาปกติ พูดรู้เรื่อง ไม่ต้องตะคอกก็ได้" เพื่อนผมบอกกับเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่เดินไปส่งที่ประตู แว่บหนึ่งผมเห็นมันยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะหันหลังเดินออกไปกดลิฟท์ ในมือถือถุงพลาสติกที่มีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของผมพร้อมกุญแจรถกลับไป
[ To Be Continue ... ]
[CR] [กระทู้รีวิวสถาบันจิตเวชกลางกรุง] ... ก็บอกว่าผมไม่ได้บ้า !!
"ผมอยากฆ่าตัวตายครับ" ผมพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกลับมันเป็นเรื่องปกติ
"ลองทำแบบทดสอบนี่ดูนะคะ" พยาบาลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นกระดาษมาให้ผมพร้อมปากกา ผมเริ่มอ่านมันพร้อมๆ กับนึกถึงเรื่องราวก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ หลังจากเรียนจบและรับปริญญาไม่นาน ผมก็เปลี่ยนชีวิตจากการทำงานกราฟฟิกดีไซน์แบบฟรีแลนซ์ที่ทำมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาทำงานประจำในสายอีเว้นท์ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว
ความเครียดและความกดดันในงานค่อยๆ ดึงผมให้จมดิ่งอยู่กับความคิดและพลังงานด้านลบ ด้วยพื้นฐานของความเป็น Perfectionism มันทำให้ผมอยากทำทุกงานที่ได้รับมอบหมายให้ออกมาดีที่สุด แน่นอน! ไม่มีบริษัทไหนจ้างคุณมาทำงานชิ้นเดียวหรอกครับ ผมต้องถืองานหลายโปรเจ็คท์ในเวลาเดียวกัน ต้องบริหารงาน บริหารเงิน บริหารเวลา และบริหารคน ความเครียดค่อยๆ สะสมขึ้นในแต่ละวันที่ระยะเวลาเป็นตัวบีบเข้ามาเรื่อยๆ ผมยังต้องคอนโทรลทุกงานให้เป็นไปตาม Timeline ที่วางไว้ พร้อมๆ กับประสานงานกับทีมงานทุกฝ่าย ทั้ง Art Director , Copy Writer , Project , Co-Production , Staff , MC ฯลฯ
จุดเริ่มต้นมันเริ่มที่ตอนไหนผมก็ไม่รู้ตัว แต่มารู้อีกทีผมก็ได้นอนเพียงวันละ 2-3 ชั่วโมง บางวันกลับถึงบ้านก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาก่อนจะหลับสนิทเหมือนตายไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีราวตี 2 ลุกขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอน แล้วก็นั่งเตรียมงานสำหรับวันรุ่งขึ้น ทุกๆ วันของผมมีบททดสอบใหม่ๆ เข้ามามากมายทั้งจากงาน และเพื่อนร่วมงาน แน่นอนครับ! เพื่อนร่วมงานที่มีทั้งดีและไม่ดี หลายคนพร้อมจะลองของเด็กใหม่ในออฟฟิศอยู่เสมอ ทุกคำถามผมต้องตอบให้ได้ นั่นทำให้ความวิตกกังวลในเรื่องที่จะพบเจอในวันถัดไปก่อตัวขึ้นเป็นความกดดันและความเครียด
ผมทิ้งเวลาปล่อยให้ตัวเองเป็นอยู่แบบนี้ร่วม 2 สัปดาห์ โดยที่ได้ปรึกษากับเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดคือ HR .... ผมขอลาออก โดยให้เหตุผลว่าผมไม่มีความสุขกับการทำงาน ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่งพอสำหรับที่นี่ ทางพี่ที่เป็น HR พยายามเกลี้ยกล่อมและบอกให้ลองปรับตัวอีกสักพัก หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนสายงาน ซึ่งเจ้าของบริษัทก็ใจดีและให้โอกาสผมได้เลือกทำงานที่คิดว่าตัวเองจะชอบและมีความสุขกับมัน แต่มีข้อแม้ว่าให้ผมเคลียร์งานเก่าที่ถืออยู่ให้เสร็จ
"โห ... คะแนนสูงมากเลยค่ะ อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงมาก เดี๋ยวไปพบคุณหมอนะคะ" พยาบาลคนเดิมนั่งตรวจคำตอบในแบบทดสอบของผมก่อนจะหยิบแผ่นพลาสติกกลมๆ ที่มีหมายเลขห้องตรวจมาให้ผม ผมเดินออกจากห้องคัดกรองมานั่งรอพยาบาลอีกคนพาไปห้องตรวจ พร้อมกับมองหาเพื่อนที่พาผมมาที่นี่ด้วย
หลังจากจัดงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จในค่ำของเย็นวันศุกร์ ผมก็ตัดสินใจปลีกวิเวก ปิดโทรศัพท์ ปิดเฟสบุ๊ค ปิดทุกช่องทางการสื่อสาร เพราะตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมา เบอร์โทรศัพท์ผมฮอทมากประหนึ่งเป็นเบอร์ผู้จัดการส่วนตัวของณเดชน์ ไลน์จากลูกค้าเข้าตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึกดื่น บางคืน mail แก้งานเด้งมาตอนห้าทุ่ม บางวันสายโทรศัพท์เข้าตั้งแต่หกโมงเช้า ผมรู้สึกโหยหาความสงบในชีวิตเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจปิดทุกอย่าง
ผลก็คือ ... ลูกค้าติดต่อไม่ได้ ออฟฟิศตามตัวไม่เจอ เพื่อนก็ไม่มีใครรู้ ทางบริษัทจึงติดต่อไปยังเบอร์โทรของคุณแม่ที่ผมกรอกไว้เป็นบุคคลที่ติดต่อฉุกเฉินตอนกรอกใบสมัคร คุณแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดเลยให้คุณพ่อที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ มาดูที่บ้าน (ซึ่งปกติผมพักอาศัยอยู่คนเดียว) สภาพตอนที่คุณพ่อมาถึงคือ ผมกำลังเทยาทุกกล่อง ทุกซอง ทุกขวดกระจายอยู่เต็มบ้าน เพื่อค้นหายานอนหลับ ตั้งใจว่าจะทานให้มันเกิดขนาดแล้วเสียชีวิตไปเลย (ความจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะครับ น้องๆ ที่อ่านถึงตรงนี้อ่านเป็นเยี่ยงแต่อย่าเอาเป็นอย่างนะครับ ของจริงมันทรมานครับกว่าจะตายน่ะ)
เพื่อนผมเองก็ขับรถมาหาที่บ้านเหมือนกัน เพราะการถึงขั้นปิด Facebook มันผิดวิสัยคนเสพติดโซเชียลอย่างผมเกินไป ทุกคนกลัวว่าผมจะคิดสั้น เพราะเห็นผมบ่นเครียดเรื่องงานอยู่หลายหน จึงนับได้ว่าโชคดีที่ทุกคนมาทันก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำบางอย่างลงไป ทุกคนลงความเห็นว่าปล่อยผมทิ้งไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ได้ เพื่อนจึงขอร้องแกมบังคับให้คืนนั้นไปนอนที่บ้านมัน ก่อนที่พรุ่งนี้จะพาไปยังสถาบันจิตเวชฯ เพราะผมบอกว่าผมไม่ปกติแล้วนะ ความรู้สึกของผมตอนนี้มัน Fail มาก และยังหนักหนาถึงขั้นได้ยินเสียงตัวเองอยู่ในหัวแล้ว
'อยู่ไปทำไม ? อยู่เพื่ออะไร ?'
'ไร้ศักยภาพสิ้นดี'
'ถ้าไม่มีความสามารถ แล้วจะทำอะไรได้'
'ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด'
ประโยคเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวและหูของผมตั้งแต่คืนวันเสาร์ มันดัง มันก้อง และผมไม่สามารถหยุดมันได้ มันเป็นเสียงของผมเอง มันเป็นเสียงของความคิด มันหมุนวนเป็นลูปอยู่แบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หมออยากขอแอดมิดนะคะ จากที่ฟังมาคุณอยู่ในขั้นวิกฤตินะ ถ้ากลับไปอยู่บ้านก็อยู่คนเดียว หรือจะกลับไปอยู่บ้านเพื่อนที่พามาคะ ? มีเพื่อนที่สามารถอยู่ได้ด้วยตลอดเวลาไหม ?" คุณหมอซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เตรียมอุดมฯ ถาม
"เพื่อนผมต้องทำงานครับ" หนึ่งคนเป็นสถาปนิก อีกคนเป็นสจ๊วต ... ไม่มีใครอยู่เฝ้าผมได้ตลอดเวลาหรอก
"งั้นหมอขอให้คุณอยู่ที่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนเนาะ"
"ผมต้องอยู่นานไหมครับ ?"
"ไม่นานหรอกค่ะ จากที่ฟังมาคุณรู้ตัวเองว่าเป็นอะไร คิดอะไร การตัดสินใจยังดีมีสติรู้ตัวอยู่ น่าจะ 2 อาทิตย์ก็ได้ออกแล้ว"
เช้าวันนั้นคุณหมอคุยกับผมอยู่ร่วมสองชั่วโมงกว่า ก่อนที่คุณหมอจะลงความเห็นว่าผมเป็น Bipolar Disorder มีความผิดปกติด้านอารมณ์สองขั้ว ก่อนจะแอดมิดผมถูกส่งตัวไปยังห้องเจาะเลือด เพื่อตรวจค่าตับ ค่าไต และโรคที่อาจเกิดได้จากการมีเพศสัมพันธ์
ทำไมถึงต้องตรวจ ?
Bipolar โรคอารมณ์สองขั้ว ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามีสองขั้ว คือขั้วบวก และขั้วลบ
ขั้วลบ คือ สิ่งที่เห็นชัดเจนว่าผมซึมเศร้า หดหู่ สูญเสียเป้าหมายในชีวิตอย่างสิ้นเชิง สูญเสียความมั่นใจและศักยภาพในตัวเอง นอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร สมาธิสั้น ไม่อยากมีชีวิตอยู่
ขั้วบวก อันนี้จะสังเกตยากสำหรับคนที่โดยปกติเป็นคน Hyperactive แบบผม เวลาที่ขั้วบอกแสดงออกมามันจะมีพลังงานมากกว่าปกติ ไม่หลับไม่นอน ความคิดพุ่งพล่าน อยากทำโน่น ทำนี่อยู่ตลอดเวลา ไอเดียกระฉูดมาก โปรเจคท์ผุดขึ้นในหัวมากมาย ทำกิจกรรมได้แบบไม่เหนื่อย ไม่พักไม่ผ่อน อารมณ์ดีสนุกสนาน ร่าเริงเกินกว่าคนปกติทั่วไป บางคนอาจมีพฤติกรรมใช้เงินเกินตัว แจกเงินแจกทองให้คนอื่น รวมไปถึงการมี Sex กับคนแปลกหน้าโดยปราศจากการป้องกัน
ตรงนี้ผมอยากทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าอารมณ์ทั้งสองขั้วนั้น จะออกมาเป็น Period เป็นช่วงๆ อาจจะช่วงละ 1-2 อาทิตย์ ไม่ใช่ภาพอย่างในละครที่นั่งๆ อยู่แล้วเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวพูดคนเดียว อย่าไปจำภาพแบบนั้นครับ คนเป็น Bipolar จะไม่ใช่แบบนั้นนะครับ
หลังเจาะเลือดเสร็จ มีรถกอล์ฟมารับผมกับเพื่อนไปยังตึกด้านในโรงพยาบาล (ผมไม่แน่ใจว่ารถกอล์ฟเป็นบริการพื้นฐานของที่นี่อยู่แล้วรึเปล่านะครับ)
"แวะเอาของใช้ส่วนตัวที่รถก่อนได้ไหมครับ ?" ผมถามคนขับ เพราะเมื่อคืนเปิดดูในเว็บไซต์ของสถาบันฯ เกี่ยวกับห้องพักและการเตรียมตัวมาเข้าพัก ว่าให้เตรียมของใช้ส่วนตัวมาเอง พวกสบู่ แป้ง ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม รองเท้าแตะ ใบมีดโกน เป็นต้น
"เดี๋ยวค่อยลงมาเอาก็ได้ครับ ขึ้นไปดูห้องก่อน" คนขับตอบ ก่อนหน้านี้ผมแจ้งกับคุณหมอแล้วว่าขอพักตึกพิเศษ เพราะตึกสามัญผมเกรงว่าจะแออัดเกินไป และไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ทางคุณหมอแจ้งว่าขอแอดมิดเข้าตึกสามัญวิกฤติก่อน
"เชิญครับ" ประตูลิฟท์ชั้น 2 เปิดออก เบื้องหน้าของผมคือประตูลูกกรงไปต้องกดสัญญาณก่อนเข้า - ออก เพื่อนผมที่มาด้วยชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะเดินตามผมเข้ามาด้านไหน
"คนไหน ?" เจ้าหน้าที่ผู้ชายหน้าดุถามเสียงดัง
"ผมครับ"
"เอ้า! เปลี่ยนชุดเลย" เขาวางชุดผู้ป่วยสีม่วงอ่อนไว้บนเตียงที่หน้าห้องมีป้ายแปะไว้ว่า 'ห้องสังเกตอาการ' ภายในห้องมีเตียง 2 เตียง มีผนังที่ก่อนขึ้นมาใช้สำหรับบังสายตา ด้านซ้ายมีชักโครก ตรงกลางที่เปิดโล่งเป็นอ่างล้างหน้า และด้านขวาเป็นก๊อกน้ำและถังน้ำขนาดย่อมหนึ่งใบ
"ตรงนี้เลยเหรอครับ" ผมถาม เจ้าหน้าที่พยักหน้าพร้อมกำชับให้ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็ว เอาจริงๆ! อายเป็นเหมือนกันนะครับ เพราะห้องสังเกตอาการที่ว่ามันไม่มีประตูเลยสักบาน ทุกพื้นที่สามารถมองเห็นกันได้หมด เพราะในตึกวิกฤตินี้ต้องป้องกัน สอดส่องไม่ให้คนไข้ทำร้ายตัวเองและผู้อื่นได้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือ คุ้มคลั่งอยากทำร้ายคนอื่น
ผมหยิบชุดก่อนจะมายืนแอบมุมหนึ่งของห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าหน้าที่เอาถุงพลาสติกมาให้ใส่เสื้อผ้า รองเท้า โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ ก่อนจะให้เพื่อนผมเอากลับไป ทางสถาบันฯ ไม่อนุญาตให้ผมพกอะไรติดตัว ตอนนี้ผมกลายเป็นคนไข้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ภายในตึกวิกฤติที่ผมอยู่นั้นมีพื้นที่ส่วนกลางที่วางโทรทัศน์และเก้าอี้ล้อมรอบเป็นรูปตัว C มีโต๊ะและเก้าอี้แบบโรงอาหาร 2 ชุดอยู่อีกด้านของห้อง เอาไว้สำหรับนั่งพูดคุยเวลาญาติมาเยี่ยม ซึ่งอนุญาตให้เยี่ยมได้ครั้งละ 2 คน / 1 ชั่วโมง มีห้องสังเกตอาการแยกออกไปอีก 6 ห้อง มีห้องนอนใหญ่ขนาด 8 เตียงพร้อมพัดลมอีก 1 ห้อง
"เราอยู่ได้" ผมตบบ่าเพื่อนที่ยืนอึ้งๆ ทำท่าไม่แน่ใจในสภาพความเป็นอยู่ของผมนัก
"แน่ใจนะ ?" เพื่อนผมถามย้ำ
"พูดกับเขาดีๆ นะครับพี่ เขาปกติ พูดรู้เรื่อง ไม่ต้องตะคอกก็ได้" เพื่อนผมบอกกับเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่เดินไปส่งที่ประตู แว่บหนึ่งผมเห็นมันยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะหันหลังเดินออกไปกดลิฟท์ ในมือถือถุงพลาสติกที่มีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของผมพร้อมกุญแจรถกลับไป
[ To Be Continue ... ]