Overlord (2018)
กำกับโดย: Julius Avery
เขียนบทโดย: Billy Ray, Mark L. Smith
นักแสดงนำ: Jovan Adepo, Wyatt Russell, Mathilde Ollivier
ประเภทหนัง: Action, Horror, Mystery
จากสตูดิโอที่เคยสร้างหนังอย่าง Cloverfield และ 10 Cloverfield Lane ได้หันมาสร้างหนังสงครามอย่าง Overlord ที่มีการใส่ความสยองขวัญของซอมบี้นาซีเข้ามาเป็นตัวช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาโดดเด่นและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าเรามองจากหนังเรื่องก่อนๆของสตูดิโอแล้ว เราคงหายห่วงเรื่องสยองขวัญแต่ถ้าเป็นส่วนของแอ็คชั่นนั้นจะเป็นเช่นไร ก็ต้องไปชมกันในโรงภาพยนตร์กันได้แล้ววันนี้
เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคสงครามโลกเมื่อทหารอเมริกันถูกส่งมาที่ฝรั่งเศษเพื่อทำลายหอส่งวิทยุที่ทหารฝ่ายเยอรมันยึดอยู่ และภารกิจในครั้งนี้ทำให้พวกเขาได้พบกับห้องทดลองลึกลับใต้ดินที่อยู่ในหอส่งวิทยุ ที่มีทั้งซอมบี้และศพมากมายในนั้น
ถ้าบอกว่าเป็นหนังที่สนุก สำหรับผมแล้วมันก็สนุกแต่มันเป็นแค่สนุกที่ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเอาเสียเลย มันเป็นความบันเทิงที่รู้สึกแค่ครั้งเดียว นอกเหนือจากนั้น หนังก็ไม่มีอะไรที่ให้ผมชอบมากเลย นับตั้งแต่ช่วงแรกของหนังที่เปิดฉากมาก็เข้าเรื่องอย่างรวดเร็วเลย แต่ในระหว่างนั้นหนังก็ให้ผู้ชมได้รู้จักกับตัวละครหลักของเรื่องอย่าง บอยซ์ และคนอื่นๆ ที่ทำออกมาแบบลวกๆ ให้เรารู้จักกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว และไดอาล็อกที่หนังใช้ก็ธรรมดาไม่มีอะไรน่าจดจำ หรือบ่งบอกถึงตัวละครมากนัก แต่หลังจากผมดูต่อไปอีก ก็เห็นว่ามันเป็นเพียงฉากเซ็ตโทนเท่านั้น ซึ่งการแนะนำตัวละครมันหลังจากนั้นต่างหาก แต่มันค่อนข้างยืดอยู่พอสมควรกว่าที่จะเข้าเรื่อง มันเป็นการปูที่ยาวแต่ไม่ได้ผล คือหนังบอกเล่าผ่านเหตุการณ์อันนี้ผมพอเข้าใจ แต่มันดูน่าเบื่อและก็ไม่ทำให้เราสนใจปมของตัวละครเลยเพราะหนังเล่าเพียงแต่เหตุการณ์และหน้าที่ของตัวละคร แต่ไม่เห็นปมมากมายในเรื่องเลย มันทำให้ช่วงท้ายๆเราไม่รู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้เลย เพราะช่วงที่ควรให้ผู้ชมเห็นถึงปมตัวละคร กลับเล่ามันเป็นอีกเหตุการณ์นึง ซึ่งมันก็ดูไม่สำคัญมากสำหรับปมปัญหาหลักในเรื่อง มันเลยทำให้เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ดูไม่ค่อยน่าสนใจในความคิดผม หนังเริ่มด้วยสเกลที่ดูเหมือนจะใหญ่ แต่เนื้อเรื่องและสเกลกลับดูเล็ก
ซึ่งตัวละครหลักๆของเรื่องก็มีอยู่ไม่กี่คน และหนังก็ไม่สามารถทำให้ผมอยากติดตามตัวละครอื่นๆได้เลย เพราะหนังให้พื้นที่แค่ บอยซ์ ที่แสดงโดย Jovan Adepo และ ฟอร์ด ที่รับบทโดย Wyatt Russell ลูกชายของ Kurt Russell ที่ผมว่าสองคนนี้น่าจะเด่นที่สุด แต่กลับเป็นตัวละครที่ผมไม่อยากเอาใจช่วยเลย ผิดกับตัวละคร โคลอี้ ที่แสดงโดย Mathilde Ollivier ผมว่าเธอมีปมที่ชัดเจน และเป็นตัวละครที่ผมเอาใจช่วยมากๆ เพราะเราได้รู้จักกับเธอมากกว่าคนอื่น เลยทำให้เธอเป็นคนที่ดูแล้วมีคาแรคเตอร์มากกว่ากลุ่มทหารของฟอร์ดด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้มีแต่ที่ผมไม่ชอบในหนัง สิ่งที่ผมชอบก็มีอยู่และมันก็ปนๆอยู่ในเรื่องเช่นตอนแรกที่เป็นฉากคุยกัน แต่หลังจากนั้นหนังให้เราได้สัมผัสถึงสงคราม และทำมันออกมาได้ระทึกตื่นเต้นสุดๆ หรือแม้แต่จะเป็นซีนใกล้จบ ที่เป็น Tracking Shot ที่ติดตามตัวละคร บอยซ์ ผมว่ามันทำออกมาได้ดีมาก นั่นน่าจะเป็นซีนเดียวที่อยากเอาใจช่วยบอยซ์เลย และในส่วนของตัวร้าย ผมว่าก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ดูน่ากลัวเลย ตั้งแต่แรกจนสุดท้าย ตอนแรกผมว่าก็ปกติอยู่ แต่ตอนท้ายผมว่ามันดูน่ากลัวนะ แต่ตัวละครเอกกลับชนะมาอย่างง่ายๆ
ผมอาจจะไม่ชอบกับหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าในแง่ของความบันเทิงก็ถือว่าบันเทิงเลย และผมก็ไม่เสียดายตังด้วย แม้ผมจะไม่รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครในเรื่องแต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ บรรยากาศของหนัง ที่ทำออกมาได้งดงามและซีจีต่างๆของซอมบี้ก็ออกมาน่าประทับใจ ฉากแอ็คชั่นก็มีใส่มา แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ผมว่าถ้าให้น้ำหนักกับตัวละครมากกว่านี้ และตัดความง่ายดายของหนังออกจะดีกว่านี้มาก หนังดูง่ายไปหมดและสถานการณ์ต่างๆมันดูไม่มีความยากลำบากเลย มันขาดความเป็นวิกฤตของตัวละคร เราไม่รู้สึกว่าตัวละครเก่ง แต่ตัวละครโชคดี หนังไม่ได้มั่ว หนังค่อนข้างมีเป้าหมายชัดเจน เพียงแต่การไปถึงเป้าหมายนั่นมันง่ายเสียเหลือเกิน และหนังเรื่องนี้ยังได้เรท R ฉะนั้นความโหดไม่ต้องพูดถึงเลย ขาขาดก็เห็นแน่นอน และสุดท้ายคือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่ได้เกี่ยวกับจักรวาล Cloverfield นะครับ เพียงแต่มาจากสตูดิโอเดียวกัน และได้ผู้อำนวยการสร้างคนเดียวกันเท่านั้น
ซึ่งผมจะให้หนังเรื่องนี้อยู่ที่ 6.5/10
เขียนโดย Movie Nowhere
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/MovieNowhere/
[CR] รีวิว Overlord
Overlord (2018)
กำกับโดย: Julius Avery
เขียนบทโดย: Billy Ray, Mark L. Smith
นักแสดงนำ: Jovan Adepo, Wyatt Russell, Mathilde Ollivier
ประเภทหนัง: Action, Horror, Mystery
จากสตูดิโอที่เคยสร้างหนังอย่าง Cloverfield และ 10 Cloverfield Lane ได้หันมาสร้างหนังสงครามอย่าง Overlord ที่มีการใส่ความสยองขวัญของซอมบี้นาซีเข้ามาเป็นตัวช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาโดดเด่นและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าเรามองจากหนังเรื่องก่อนๆของสตูดิโอแล้ว เราคงหายห่วงเรื่องสยองขวัญแต่ถ้าเป็นส่วนของแอ็คชั่นนั้นจะเป็นเช่นไร ก็ต้องไปชมกันในโรงภาพยนตร์กันได้แล้ววันนี้
เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคสงครามโลกเมื่อทหารอเมริกันถูกส่งมาที่ฝรั่งเศษเพื่อทำลายหอส่งวิทยุที่ทหารฝ่ายเยอรมันยึดอยู่ และภารกิจในครั้งนี้ทำให้พวกเขาได้พบกับห้องทดลองลึกลับใต้ดินที่อยู่ในหอส่งวิทยุ ที่มีทั้งซอมบี้และศพมากมายในนั้น
ถ้าบอกว่าเป็นหนังที่สนุก สำหรับผมแล้วมันก็สนุกแต่มันเป็นแค่สนุกที่ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเอาเสียเลย มันเป็นความบันเทิงที่รู้สึกแค่ครั้งเดียว นอกเหนือจากนั้น หนังก็ไม่มีอะไรที่ให้ผมชอบมากเลย นับตั้งแต่ช่วงแรกของหนังที่เปิดฉากมาก็เข้าเรื่องอย่างรวดเร็วเลย แต่ในระหว่างนั้นหนังก็ให้ผู้ชมได้รู้จักกับตัวละครหลักของเรื่องอย่าง บอยซ์ และคนอื่นๆ ที่ทำออกมาแบบลวกๆ ให้เรารู้จักกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว และไดอาล็อกที่หนังใช้ก็ธรรมดาไม่มีอะไรน่าจดจำ หรือบ่งบอกถึงตัวละครมากนัก แต่หลังจากผมดูต่อไปอีก ก็เห็นว่ามันเป็นเพียงฉากเซ็ตโทนเท่านั้น ซึ่งการแนะนำตัวละครมันหลังจากนั้นต่างหาก แต่มันค่อนข้างยืดอยู่พอสมควรกว่าที่จะเข้าเรื่อง มันเป็นการปูที่ยาวแต่ไม่ได้ผล คือหนังบอกเล่าผ่านเหตุการณ์อันนี้ผมพอเข้าใจ แต่มันดูน่าเบื่อและก็ไม่ทำให้เราสนใจปมของตัวละครเลยเพราะหนังเล่าเพียงแต่เหตุการณ์และหน้าที่ของตัวละคร แต่ไม่เห็นปมมากมายในเรื่องเลย มันทำให้ช่วงท้ายๆเราไม่รู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้เลย เพราะช่วงที่ควรให้ผู้ชมเห็นถึงปมตัวละคร กลับเล่ามันเป็นอีกเหตุการณ์นึง ซึ่งมันก็ดูไม่สำคัญมากสำหรับปมปัญหาหลักในเรื่อง มันเลยทำให้เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ดูไม่ค่อยน่าสนใจในความคิดผม หนังเริ่มด้วยสเกลที่ดูเหมือนจะใหญ่ แต่เนื้อเรื่องและสเกลกลับดูเล็ก
ซึ่งตัวละครหลักๆของเรื่องก็มีอยู่ไม่กี่คน และหนังก็ไม่สามารถทำให้ผมอยากติดตามตัวละครอื่นๆได้เลย เพราะหนังให้พื้นที่แค่ บอยซ์ ที่แสดงโดย Jovan Adepo และ ฟอร์ด ที่รับบทโดย Wyatt Russell ลูกชายของ Kurt Russell ที่ผมว่าสองคนนี้น่าจะเด่นที่สุด แต่กลับเป็นตัวละครที่ผมไม่อยากเอาใจช่วยเลย ผิดกับตัวละคร โคลอี้ ที่แสดงโดย Mathilde Ollivier ผมว่าเธอมีปมที่ชัดเจน และเป็นตัวละครที่ผมเอาใจช่วยมากๆ เพราะเราได้รู้จักกับเธอมากกว่าคนอื่น เลยทำให้เธอเป็นคนที่ดูแล้วมีคาแรคเตอร์มากกว่ากลุ่มทหารของฟอร์ดด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้มีแต่ที่ผมไม่ชอบในหนัง สิ่งที่ผมชอบก็มีอยู่และมันก็ปนๆอยู่ในเรื่องเช่นตอนแรกที่เป็นฉากคุยกัน แต่หลังจากนั้นหนังให้เราได้สัมผัสถึงสงคราม และทำมันออกมาได้ระทึกตื่นเต้นสุดๆ หรือแม้แต่จะเป็นซีนใกล้จบ ที่เป็น Tracking Shot ที่ติดตามตัวละคร บอยซ์ ผมว่ามันทำออกมาได้ดีมาก นั่นน่าจะเป็นซีนเดียวที่อยากเอาใจช่วยบอยซ์เลย และในส่วนของตัวร้าย ผมว่าก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ดูน่ากลัวเลย ตั้งแต่แรกจนสุดท้าย ตอนแรกผมว่าก็ปกติอยู่ แต่ตอนท้ายผมว่ามันดูน่ากลัวนะ แต่ตัวละครเอกกลับชนะมาอย่างง่ายๆ
ผมอาจจะไม่ชอบกับหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าในแง่ของความบันเทิงก็ถือว่าบันเทิงเลย และผมก็ไม่เสียดายตังด้วย แม้ผมจะไม่รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครในเรื่องแต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ บรรยากาศของหนัง ที่ทำออกมาได้งดงามและซีจีต่างๆของซอมบี้ก็ออกมาน่าประทับใจ ฉากแอ็คชั่นก็มีใส่มา แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ผมว่าถ้าให้น้ำหนักกับตัวละครมากกว่านี้ และตัดความง่ายดายของหนังออกจะดีกว่านี้มาก หนังดูง่ายไปหมดและสถานการณ์ต่างๆมันดูไม่มีความยากลำบากเลย มันขาดความเป็นวิกฤตของตัวละคร เราไม่รู้สึกว่าตัวละครเก่ง แต่ตัวละครโชคดี หนังไม่ได้มั่ว หนังค่อนข้างมีเป้าหมายชัดเจน เพียงแต่การไปถึงเป้าหมายนั่นมันง่ายเสียเหลือเกิน และหนังเรื่องนี้ยังได้เรท R ฉะนั้นความโหดไม่ต้องพูดถึงเลย ขาขาดก็เห็นแน่นอน และสุดท้ายคือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่ได้เกี่ยวกับจักรวาล Cloverfield นะครับ เพียงแต่มาจากสตูดิโอเดียวกัน และได้ผู้อำนวยการสร้างคนเดียวกันเท่านั้น
ซึ่งผมจะให้หนังเรื่องนี้อยู่ที่ 6.5/10
เขียนโดย Movie Nowhere
ฝากเพจด้วยครับ https://www.facebook.com/MovieNowhere/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้