10 หนังโลกหลังการล่มสลาย (Post-Apocalyptic) แห่งศตวรรษที่ 21

กระทู้สนทนา

ภาพยนตร์ชีวิต ภาพยนตร์ระทึกขวัญ ภาพยนตร์สยองขวัญ ภาพยนตร์ไซไฟ รางวัลภาพยนตร์

หนังแนว Post-Apocalyptic พูดถึงเหตุการณ์หลังความหายนะที่อาจเป็นผลจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ สงครามนิวเคลียร์ เอเลี่ยนบุกโลก หรือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสต่างๆ โดยหนังจะเน้นการเล่าถึงสภาพความเป็นอยู่ การดิ้นรนของมนุษย์ และสภาพจิตใจในมุมมองทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นรูปแบบหนังที่เกี่ยวเนื่องกับ Apocalyptic และ Dystopian

หนังแนว Apocalyptic เน้นความเป็นปัจจุบัน โดยโฟกัสไปยังเหตุการณ์ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับหายนะอย่าง Independence Day, Armageddon, War of the Worlds ขณะที่หนังแนว Dystopian อาจเรียกได้ว่าเป็นซับเซตของ Post-Apocalyptic หรือผลพวงจากหายนะใน Apocalyptic ได้ทั้งสองกรณี เเต่ก็อาจไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะโลกแห่งดิสโทเปียจะโฟกัสไปที่รูปแบบสังคม ที่เหล่าประชากรจะมีความคิดรูปแบบเดียวกัน และมักอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ อย่างหนังเรื่อง Blade Runner, The Matrix, Metropolis, V for Vendetta เเละอย่างในลิสต์นี้ก็ Snowpiercer, Mad Max: Fury Road ที่เรียกได้ว่าเป็นหนังดิสโทเปียนด้วยเช่นกัน...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

10. The Rover (2014)

โลกหลังยุคล่มสลายของหนังถูกเซ็ทตัวขึ้นที่ออสเตรเลีย ผืนแผ่นดินสีส้มที่เต็มไปด้วยเม็ดทราย ความแห้งแล้ง ความร้อนระอุ สภาพผู้คนที่เปรอะเปื้อน และแววตาอันสิ้นหวัง โดยขับเคลื่อนตัวหนังไปข้างแบบโร้ดมูฟวี่ ผ่านจังหวะนิ่งๆสไตล์หนังอาร์ทฝั่งยุโรป โดยเล่าถึงชาย 2 คนที่ออกเดินทางตามหากลุ่มคนที่ขโมยรถ ซึ่งคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน เสมือนคนกร้านโลกที่ผ่านอะไรมาเยอะมีจิตใจเข้มแข็งและการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว กับอีกคนเป็นหนุ่มวัยรุ่น ที่จิตใจดูจะล่องลอยไปกับโลกที่ล่มสลาย

9. I Am Legend (2007)

เมืองร้าง ซากปะหลักหักพัง ภายใต้บรรยากาศเหงาๆกับชายผิวสีพร้อมหมาคู่ใจ ที่รอดชีวิตจากไวรัสร้ายที่กลืนกินมนุษย์และแปรเปลี่ยนเป็นเหล่าซอมบี้ที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด ตัวหนังถูกเล่าในธีมโพสต์อะพอคคาลิปส์ติค โดยไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเดินทางเพื่อแสวงหาอารยธรรมใหม่ หรือค้นหาความหมายของการมีชีวิต เหมือนตัวละครส่วนใหญ่ในหนังแนวนี้ที่ชีวิตล่องลอยไปกับโลกที่ล่มสลาย ต่างจากตัวเอกของเรื่องนี้ที่ชีวิตยังมีเป้าหมายให้พุ่งชน เขาพยายามคิดค้นยาต้านไวรัสเพื่อหยุดต้นตอของปัญหา และยังหวังด้วยว่าบนโลกนี้อาจมีคนที่รอดชีวิตเหมือนกับเขาอยู่

8. The Road (2009)

วิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ สงครามนิวเคลียร์ หรือภัยพิบัติอะไรก็ตามแต่ ที่นำมาสู่สภาพโลกที่ล่มสลาย เต็มไปด้วยเศษซากอารยธรรม บรรยากาศขมุกขมัว หนาวเหน็บ ไร้ซึ่งอาหาร เส้นทางชีวิตของใครหลายคนดับสูญ ผู้คนมากมายจึงเลือกจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเพื่ออะไร และนั่นก็เป็นหัวใจสำคัญของหนังในการค้นหาความหมายของการมีชีวิตในวันที่โลกล่มสลายลง ผ่านเรื่องราวของคู่พ่อลูกที่ยังคงดิ้นรน แสวงหนทางแห่งแสงสว่าง ด้วยการเดินทาง ฝ่าฟันอุปสรรค และเผชิญหน้ากับสิ่งอันตรายที่สุดอย่างมนุษย์ด้วยกันเอง ที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน สัญชาตญาณดิบในการเอาตัวรอด พร้อมจะทำทุกอย่างโดยละทิ้งศีลธรรมและความถูกต้อง

7. Snowpiercer (2013)

หนึ่งในผู้กำกับทรงอิทธิพลแห่งเกาหลี Bong Joon-ho ที่เคยสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพอย่าง Memories of Murder, The Host, Mother และโอกาสได้พิสูจน์ฝีมือในระดับสากลจากเหล่านายทุนฝั่งฮอลลีวู้ดใน Snowpiercer หนังที่เล่าเรื่องราวในปี 2031 เมื่อโลกถูกปกคลุมด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ ผู้คนต่างต้องใช้ชีวิตบนขบวนรถไฟที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยหนังจะเล่นประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมและโฟกัสถึงการปฏิวัติการปกครองที่นำโดยกลุ่มคนชั้นล่างที่อาศัยอยู่ท้ายขบวน ที่พยายามวางแผน ปลุกระดม และต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคในแต่ละด่านที่ค่อยๆเพิ่มความอันตรายเพื่อไปยังหัวขบวน

6. 28 Days Later... (2002)

อีกหนึ่งในหนังซอมบี้ตัวท็อปแห่งยุคภายใต้การกำกับของ Danny Boyle ที่เล่าถึงกลุ่มนักอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่บุกทลายห้องแล็ปและได้ปล่อยลิงจำนวนหนึ่งที่มีเชื้อไวรัสอันตราย ซึ่งจุดเด่นของหนังคือวิสัยทัศน์ของโลกหลังยุคล่มสลาย ที่มนุษย์ต่างต้องดิ้นรนเพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ และตัวหนังก็โฟกัสไปยังชายคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาหลัง 28 วันที่เชื้อไวรัสได้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยความเงียบสงัด แม้เสียงลมพัดก็แทบไม่ยิน มันเป็นความเงียบที่ไม่น่าไว้วางใจ แฝงด้วยอันตรายทั้งจากกลุ่มซอมบี้ที่รวดเร็วและดุดัน รวมไปถึงจิตใจที่แปรปรวน สัญชาตญาณดิบของมนุษย์ด้วยกันเอง

5. 10 Cloverfield Lane (2016)

ภาคต่อของหนังแนวอะพอคคาลิปส์ติคอย่าง Cloverfield เมื่อการบุกโลกของเหล่าเอเลี่ยนและได้สร้างผลกระทบร้ายแรงบางอย่างไว้ ซึ่งในภาคนี้มีการโฟกัสให้แคบลง เล่าในรูปแบบทริลเลอร์เชิงจิตวิทยา แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาของโลกหลังการล่มสลาย กับเหตุการณ์ที่หญิงสาวคนหนึ่งตื่นขึ้นมาภายในบังเกอร์หลบภัยและได้พบกับชายสองคน ที่หนึ่งในนั้นเป็นชายรูปร่างอ้วน ผู้ซึ่งพาเธอมายังสถานที่แห่งนี้ และจุดสำคัญของหนังคือการเล่นกับความไม่รู้และพาไปค้นหาคำตอบ เมื่อคนดูและตัวละครสาวถูกป้อนความเชื่อจากชายรูปร่างอ้วนว่าเหตุการณ์ภายนอกเต็มไปด้วยอันตราย บรรยากาศปนเปื้อนด้วยเชื้อโรค แต่ขณะเดียวกันด้วยพฤติกรรม คำพูดคำจาที่น่าสงสัยก็ได้สร้างความเคลือบแคลงใจ ว่าแท้จริงแล้วชายคนนี้เป็นคนดีหรือไม่ และจุดประสงค์โดยแท้ของเขาคืออะไร

4. A Quiet Place (2018)

การสร้างเงื่อนไขของหนังสยองขวัญในรูปแบบคล้ายคลึงกับ Don't Breathe หนังที่คนดูต้องเอาใจช่วยแก๊งโจรวัยรุ่นให้หนีรอดจากเจ้าของบ้านสุดโหดซึ่งเป็นชายตาบอด แน่นอนว่าหัวใจสำคัญคือเรื่องเสียง เงียบคือรอด หากมีเสียงก็เท่ากับตาย โดย A Quiet Place ก็มีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันที่โลกของหนังถูกคุกคามด้วยเหล่าเอเลี่ยนซึ่งมีประสาทสัมผัสไวต่อเสียง พวกมันได้ฆ่ามนุษย์โลกไปจำนวนมาก และเมืองก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด โดยหนังได้โฟกัสไปยังครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในฟาร์มข้าวโพด และเล่นกับบรรยากาศอันตึงเครียด ความตื่นตระหนก พร้อมทั้งสร้างเหตุบังเอิญ สถานการณ์ก่อเกิดเสียง เพื่อเล่นกับความลุ้นระทึกเอาใจช่วยตัวละคร

3. War for the Planet of the Apes (2017)

หนังไตรภาคที่มีการจัดสรรเนื้อเรื่องแต่ภาคได้ดีเยี่ยม และอาจเรียกได้ว่าเป็นหนังไตรภาคดีที่สุดนับตั้งแต่ The Dark Knight Trilogy โดยปฐมบทอย่าง Rise ได้แสดงถึงจุดกำเนิดของไวรัส ส่วน Dawn แสดงปมความขัดแย้งก่อนจะนำไปสู่สงครามที่ทิ้งบาดแผลในใจระหว่างมนุษย์กับวานร ซึ่งนำไปต่อยอดในภาคจบอย่าง War โลกที่แทบไม่มีมนุษย์ลงเหลืออยู่ ฝั่งวานรที่นำโดยซีซาร์ก็พาพวกพ้องไปหลบหนีอยู่ในป่าลึกหวังใช้ชีวิตอย่างสันติสุข ทว่ากลับถูกคุมคามโดยเหล่ามนุษย์และเกิดการสูญเสียครั้งสำคัญที่ทำให้ความเชื่อใจ ยึดมั่นคุณงามความดีของซีซาร์ที่มีต่อมนุษย์สูญสิ้นไป จนนำไปสู่เผชิญหน้าครั้งสุดท้ายของมนุษย์กับวานรที่เป็นการปิดไตรภาคอย่างสมบูรณ์แบบ

2. Mad Max: Fury Road (2015)

ทะเลทรายอันร้อนระอุ ไร้ต้นไม้ใบ้หญ้า ผู้คนขาดแคลนน้ำและอาหาร ประชากรเพศหญิงที่เหลือน้อยเต็มที เป็นสภาพโลกหลังการล่มสลายที่อาจเกิดจากภัยพิบัติบางอย่าง ภายใต้โลกดิสโทเปียกับการปกครองที่มีเหล่าวอร์บอย เป็นตัวคุมกฎและทรัพยากรต่างๆไว้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อมีการเซ็ทเค้าโครงที่ดีทาง George Miller นำไปขยายต่อด้วยประเด็นการแย่งชิงทรัพยากรอาหาร น้ำ และผู้หญิงที่ในเรื่องเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ มีความสำคัญในการดํารงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็นำไปสู่การใส่ซีนแอคชั่นเข้ามาแบบนอนสต็อป ที่มีทั้งความรุนแรง รวดเร็ว และเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นหนังแอคชั่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21

1. Children of Men (2006)

โลกอนาคตปี 2027 เพศหญิงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ข่าวการตายของเด็กที่อายุน้อยที่สุด และกว่า 18 ปีของการมีลูกไม่ได้ของมนุษย์ ทำให้หลายประเทศได้ล่มสลายลง นั่นเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่หนังได้ป้อนให้กับคนดูและเล่าผ่านประเทศอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน เมืองที่ยังเหลือรอด และได้กำเนิดแสงแห่งความหวังให้กับมนุษยชาตินั่นก็คือเด็กสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ทางผู้กำกับ Alfonso Cuarón จึงได้วางมิชชั่นของหนังไปที่ภารกิจคุ้มกันเด็กสาวและพาเธอไปส่งยังเป้าหมาย ที่ถูกรองรับด้วยสถานการณ์แห่งโลกที่ล่มสลายทั้งความอดอยาก การดิ้นรน ความขัดแย้ง ตลอดจนสภาวะสงคราม
.
.
.
.
.
.
.