10+(1) หนังภัยพิบัติ (Disaster Film) แห่งศตวรรษที่ 21 ที่คุณไม่ควรพลาด


หนังภัยพิบัติ(Disaster Film) พูดถึงภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือการสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และอาจมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสภาพเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยลักษณะของหนังมุ่งเน้นไปยังตัวละครที่พยายามหลีกเลี่ยง หาทางรับมือกับเหตุการณ์ หรือต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดหลังต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ซึ่งหนังประเภทนี้แบ่งกว้างๆได้ 2 ประเภทคือภัยพิบัติจากธรรมชาติ และภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์ อีกทั้งจาก 2 ประเภทสามารถแยกย่อยได้อีกมากมาย อาทิเช่น
***สำหรับ 10 เรื่องในลิสต์จะโฟกัสเฉพาะภัยพิบัติที่สเกลไม่กว้างมาก เกิดขึ้นเฉพาะสถานที่หนึ่ง เมืองหนึ่ง กลุ่มบุคคลหนึ่ง ไม่ได้ขยายสเกลเป็นภัยพิบัติระดับโลกที่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังวันสิ้นโลก หรือ Apocalyptic Film

ไวรัส/โรคระบาด/ซอมบี้ > Contagion (2011), Perfect Sense (2011), World War Z (2013)
แผ่นดินไหว/ดินถล่ม/ภูเขาไฟระเบิด/อุกกาบาตชนโลก > Armageddon (1998), Deep Impact (1998), San Andreas (2015), Aftershock (2010), 2012 (2009), The 33 (2015),
เปลวเพลิง > The Towering Inferno (1974), The Tower (2012), Only the Brave (2017), Ladder 49 (2004)
พายุถล่ม > Twister (1996), Into the Storm (2014)
สภาพอากาศเปลี่ยน > The Day After Tomorrow (2004), Sunshine (2007)
คลื่นยักษ์ถล่ม > The Poseidon Adventure (1972), The Impossible (2012), The Wave (2016)

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

10. World Trade Center (2006)

เหตุการณ์ 9/11 นับเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สุดของสหรัฐ เมื่อกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ได้ทำการจี้เครื่องบิน ซึ่งสองในสี่ลำได้พุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีหนังหลายเรื่องที่หยิบยกไปเล่าและอ้างอิงถึงผลกระทบโดยผ่านมุมมองที่ต่างกันไปทั้ง United 93, Reign Over Me, Extremely Loud & Incredibly Close และหนังเรื่องนี้ของ Oliver Stone ก็เช่นกัน ที่นำเสนอโดยเน้นโทนดราม่า เร้าอารมณ์ผ่านตัวละครที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติตึกถล่ม โดยเล่าผ่านทีมตำรวจนิวยอร์กผู้กล้าที่อาสาจะเข้าไปช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่ในตึก แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจนกลุ่มของตำรวจนายสิบและลูกน้องต้องติดอยู่ในซากปรักหักพังของตึก








9. The Flu (2013)

หนังภัยพิบัติจากโรคระบาดลักษณะเดียวกับ Contagion ทั้งระดับของความรุนแรงและความเร็วในการแพร่กระจาย แต่ต่างกันที่ The Flu มีการเล่าในสเกลที่เล็กลงมาก เนื่องด้วยระบบการจัดการที่เด็ดขาดของรัฐบาลเกาหลีที่ร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติที่ทำให้เชื้อโรคมีการแพร่กระจายแค่ในเมืองๆหนึ่ง ไม่ได้ขยายสเกลจนเป็นภัยพิบัติระดับโลก โดยหนังเปิดเรื่องด้วยการลักลอบขนส่งแรงงานผิดกฎหมายเข้ามายังเกาหลีที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแหล่งแพร่พันธุ์เชื้อ จนนำไปสู่เหตุจลาจลกลางเมืองและมีผู้คนเสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่จำนวนมาก โดยหนังโฟกัสไปที่หนุ่มกู้ภัยที่ต้องคอยปกป้องช่วยเหลือเด็กสาวที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และตัวแม่ของเธอให้ปลอดภัยภายในค่ายกักกันที่ผู้คนต่างปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด








8. The Finest Hours (2016)

เรื่องจริงในหน้าประวัติศาสตร์ที่เรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำได้ถูกคลื่นพายุซัดขาดเป็นสองท่อนและอับปางลง ภายใต้ความหวังที่ค่อยๆริบหรี่ของเหล่าลูกเรือก็ได้กำเนิดวีรบุรุษผู้กล้าแห่งท้องทะเล โดยช่วงแรกของหนังได้โฟกัสไปยัง 'เบอร์นาร์ด ซี. เว็บเบอร์' ยามชายฝั่งที่เป็นฮีโร่ของเหตุการณ์นี้ เพื่อไปสำรวจบุคลิก อุปนิสัยและปมภายในใจที่ถูกเก็บซ่อนไว้ ก่อนนำไปสู่การตัดสลับถึง 2 เหตุการณ์สำคัญได้อย่างลุ้นระทึก หนึ่งคือเรือบรรทุกน้ำมันต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ที่ทางกัปตันต้องหลอมรวมพลังใจเหล่าลูกเรือและดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อยื้อเวลาเรือที่ค่อยๆจมลงสู่ก้นทะเล สองคือหน่วยกู้ภัยที่นำโดยเบอร์นาร์ด ต้องต่อสู้กับคลื่นพายุที่โหมกระหน่ำเพื่อมุ่งไปสู่เหล่าลูกเรือที่กำลังรอคอยความช่วยเหลือจากใครสักคนอย่างมีความหวัง








7. The Wave (2015)

ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นหนังภัยพิบัติคุณภาพดีที่ถูกพูดถึงวงกว้างจากฝั่งยุโรป โดยหนังสัญชาตินอร์วีเจียนเรื่องนี้มีจุดแข็งด้วยกัน 2 ประการ หนึ่งคืองานภาพโดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติที่โดดเด่นสวยงาม รวมถึงเทคนิควิชวลเอฟเฟกต์ที่รังสรรค์ซีนมหันตภัยคลื่นยักษ์ได้อย่างสมจริง สองคือการลงรายละเอียดของเหตุการณ์และปูความสัมพันธ์ของตัวละครได้น่าเชื่อถือ โดยหนังโฟกัสไปยังนักธรณีวิทยาที่ได้พบข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติของการยุบตัวชั้นหินที่ไกแรงเกอร์ฟยอร์ด ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวภายในครอบครัวเพื่อให้คนดูเกิดความผูกพันกับตัวละคร ก่อนนำไปสู่การเผชิญหน้ากับมหันตภัยคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเรื่อง ขณะที่ครึ่งหลังของหนังจะพูดถึงโมเม้นท์ของการค้นหาและช่วยเหลือที่อาจทำให้ครอบครัวของตัวละครได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง








6. Everest (2015)

การพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันของบรรดานักปีนเขาหรือผู้ที่รักความท้าทายอยากจะทำมันให้สำเร็จสักครั้งในชีวิต และผู้คนมากมายก็กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติ แม้รู้ดีว่าบทเรียนของคนพ่ายแพ้นั้นหมายถึงชีวิตของพวกเขาเอง ซึ่งหนังสร้างจากเรื่องจริงของโศกนาฏกรรมบนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ในปี 1996 โดยโฟกัสไปยังภารกิจของหัวหน้าไกด์ที่ต้องพาสมาชิกในทริปไปสู่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์และกลับลงมาอย่างปลอดภัย ซึ่งช่วงแรกจะพูดถึงการเซ็ทร่างกายและเตรียมความพร้อมตลอด 40 วัน พร้อมรับรู้ถึงแรงจูงใจต่างๆของเหล่าสมาชิก ก่อนจะพาพวกเขาไปต่อสู้ ดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากความโหดร้ายของธรรมชาติ








5. Deepwater Horizon (2016)

เหตุระเบิดแท่นขุดเจาะน้ำมัน 'ดีพวอเทอร์ ฮอไรซัน' กลางอ่าวแม็กซิโกเมื่อปี 2010 เรียกได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมกลางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดนับจากเหตุการณ์เรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งเมื่อปี 1912 โดยทางตัวหนังโฟกัสไปยังหนุ่มวิศวกรพร้อมกับทีมงานที่เข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อย และได้พบว่าแท่นขุดเจาะน้ำแห่งนี้ถูกควบคุมโดยหัวหน้าที่เห็นแค่เงินเป็นเรื่องสำคัญ มองข้ามเรื่องความปลอดภัยของระบบและอุปกรณ์การทำงานที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน ซึ่งทาง Peter Berg ใช้เวลากว่าครึ่งเรื่องในการปูพื้นตัวละครและนำเสนอความผิดปกติของแท่นขุดเจาะน้ำมัน ก่อนนำไปสู่ช่วงไคลแม็กซ์ที่เล่าได้อย่างลุ้นระทึกสุดขีดโดยตัดสลับไปมาระหว่างภาพของเหตุระเบิดกับโมเม้นท์การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของเหล่าลูกเรือ








4. Tunnel (2016)

หนังภัยพิบัติอุโมงค์ถล่มจากเกาหลี ที่เล่นกับสถานการณ์ติดแหง็กของตัวละครที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดและติดต่อกับผู้คนภายนอกให้เข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของ Buried แต่ขยายขอบเขตโดยเล่นกับประเด็นเรื่องสื่อโทรทัศน์และวิธีการจัดการของรัฐบาล ซึ่งหนังเปิดปมด้วยชายหนุ่มที่กำลังขับรถกลับบ้านเพื่อไปหาภรรยาแต่ต้องพบกับเหตุอุโมงค์ถล่ม จนทำให้เขาต้องติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง แน่นอนว่าหนังโฟกัสไปยังชายผู้โชคร้ายที่พยายามตั้งสติเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งการติดต่อขอความช่วยเหลือ และการบริหารจัดการน้ำและอาหารที่มีอยู่เพื่อต่อลมหายใจให้ได้นานที่สุด ขณะที่ฝั่งทีมกู้ภัยก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าไปช่วยเหลือชายรายนี้ แต่ต้องเจอกับอุปสรรคทั้งเรื่องของงบประมาณและความยากลำบากของสภาพแวดล้อม








3. Aftershock (2010)

โศกนาฏกรรมจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนในปี 1976 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 200,000 ราย และอีกกว่าแสนรายสูญหายอยู่ใต้ผืนแผ่นดิน โดยหนังหยิบยกเหตุวิปโยคของคนถังซานและคนจีนทั้งประเทศมานำเสนอผ่านครอบครัวหนึ่งที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียและการพลัดพราก ตัวหนังเปิดเรื่องด้วยเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ผู้คนต่างดิ้นรน วิ่งหนีตายกันอย่างโกลาหล หลังเหตุการณ์สงบลงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หญิงสาวรายหนึ่งที่เพิ่งสูญเสียสามีต้องเผชิญกับการตัดสินใจอันบีบคั้น เมื่อต้องเลือกระหว่างชีวิตลูกสาวกับลูกชายคนใดคนหนึ่งที่ถูกทับอยู่ใต้ซากตึก โดยตัวหนังเกือบตลอดทั้งเรื่องโฟกัสไปยังเรื่องราวหลังวันนั้น ที่ผู้เป็นแม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับบาดแผลในใจที่ไม่มีวันลบเลือน








2. Only the Brave (2017)

เรื่องจริงของเหล่าฮีโร่นักผจญเพลิงผู้มีหัวใจที่กล้าแกร่งดุจหินผา ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องเมืองจากวิกฤตไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ซึ่งหนังได้ถูกทำออกมาเพื่อยกย่องเชิดชูเหล่าวีรบุรุษผู้เสียสละผ่านข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทีมดับไฟป่า Granite Mountain Hotshots โดยหนังมีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกฝนที่เข้มข้นและวิธีปฏิบัติที่เปรียบได้กับหน่วยซีลของวงการดับเพลิง และที่สำคัญหนังมีการวางรากฐานความสัมพันธ์ที่หนาแน่น โดยพยายามกระจายบทของตัวละครให้ทั่วถึง พาคนดูไปสำรวจบุคลิกและอุปนิสัยของสมาชิกในทีม เพื่อให้คนดูรู้สึกผูกพันและมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะโมเม้นท์ของวีรบุรุษที่อาจทำให้คนดูต้องเสียน้ำตากับความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา








1. The Impossible (2012)

ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิถล่ม 6 จังหวัดชายฝั่งอันดามันเมื่อปี 2004 เป็นหนึ่งในความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดสำหรับคนไทย ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไปกว่าหนึ่งหมื่นราย โดยหนังเรื่องนี้ได้หยิบยกเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ที่ใช้เวลาในช่วงวันหยุดคริสต์มาสในเมืองไทย และการเปิดเรื่องด้วยความสวยงามของธรรมชาติและภาพความสุขแห่งการเฉลิมฉลอง ก่อนที่คลื่นยักษ์สึนามิจะเข้ามาถล่มอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะเดียวกันหนังก็มีการจับภาพวินาทีชีวิตที่เกิดขึ้นกับบุคคล วัตถุโดยรอบและฉายภาพมุมกว้างเพื่อให้คนดูได้รับรู้ถึงความรุนแรงและการสูญเสีย จนนำไปสู่ปมสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งการเสียสละและการช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ที่ทำให้ครอบครัวหนึ่งที่แยกจากกันได้มาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง








+(1) หนังเเนะนำ Adrift (2018)
(เข้าฉายในไทยฉาย 26 กรกฎาคมนี้)

สร้างเรื่องจริงของคู่รักที่ออกเดินเรือข้ามมหาสมุทรและต้องเผชิญกับพายุเฮอริเคนลูกยักษ์ โดยหนังถูกนำเสนอผ่าน Baltasar Kormákur ที่เคยพาคนดูไปสำรวจความจริงของโศกนาฏกรรมบนยอดเขาที่เคยถูกขนานนามว่าสูงที่สุดในโลกจากหนังเรื่อง Everest ขณะที่หนังเรื่องนี้เล่าผ่านแง่มุมของการผู้ประสบภัยที่ใช้พลังของความรักแปรเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจในการข้ามผ่านอุปสรรค ฝั่งฮีโร่สาวซึ่งรับบทโดย Shailene Woodley แม้ต้องเจอกับภัยพิบัติอันเลวร้าย แต่เธอก็พยายามตั้งสติ ทำจิตใจให้เข้มแข็ง และทำทุกวิถีทางเพื่อพาเรือกลับเข้าฝั่ง ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลหนุ่มคนรักที่บาดเจ็บสาหัสท่ามกลางท้องทะเลอันเคว้งคว้างถึง 41 วัน ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

ตัวอย่างซับไทย
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่