รีวิวไม่สปอยล์ Rise is good, Dawn of the Planet of the Apes is better

Dawn of the Planet of the Apes (2014)


ปกติแล้วผมค่อนข้างหวาดระแวงหนังแฟรนไชส์ที่เปลี่ยนผู้กำกับภาคต่อ เพราะมันให้ความรู้สึกว่าหนังกำลังเปลี่ยนวิสัยทัศน์ไปเลย แต่การเปลี่ยนตัวจาก Rupert Wyatt ผู้กำกับภาคแรกมาเป็น Matt Reeves มันกลับยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ผมว่าหนังจะต้องไปได้สวยแน่นอน และบอกได้เลยว่า "ไม่ผิดหวังที่ไว้ใจ"

ก่อนหน้านี้ผมเคยดูผลงานของแมทท์ รีฟส์ก็คือ Cloverfield ซึ่งเป็นหนังที่มีวิสัยทัศน์ดีมาก หนังมีมุมมองในการเล่นใหญ่ด้วยพล็อตสัตว์ประหลาดถล่มโลก แต่ทำตัวเล็กด้วยการโฟกัสอยู่แค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามเอาตัวรอดจากหายนะ และอีกเรื่องก็คือ Let Me In ซึ่งเขาไม่พยายามเดินตามรอยเดิมของต้นฉบับ แต่เลือกจะเพิ่มปมปัญหาที่โรงเรียน และโดยส่วนตัวผมว่ามันให้ความรู้สึกเหงาอ้างว้างมากกว่าต้นฉบับที่มีความสยองขวัญเยือกเย็นสูงกว่า จะเห็นว่าทั้งสองเรื่องเขามีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม



หนังเปิดเรื่องด้วยการเล่าถึงช่วงล่มสลายของมนุษย์ เหลือมนุษย์เพียงหยิบมือที่มีชีวิตอยู่รอดเพราะภูมิคุ้มกัน พวกเขาต้องการพลังงานจากเขื่อนเพื่อใช้สร้างไฟฟ้าต่ออายุการใช้ชีวิต แต่ว่าเขื่อนนั้นเป็นบ้านของเหล่าวานรที่นำโดย 'ซีซ่าร์' (Andy Serkis)

ความเจ๋งของหนังมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ฉากเปิดหนังเหล่าฝูงวานรออกล่าสัตว์แล้วครับ มุมกล้องจากพื้นดินเหมือนคนแหงนมองฟ้า พร้อมฝูงวานรห้อยโหนเต็มป่าไปหมด ฉากนี้เท่เป็นบ้าเลยครับ เปิดหนังแค่นี้ก็รู้ชะตากรรมหนังแล้วว่าสดใสแน่นอน



ธีมหนังคือเรื่องของความขัดแย้งเกี่ยวกับทัศนคติ
• ซีซ่าร์หัวหน้าฝูงวานรเชื่อว่าการยอมให้มนุษย์มาซ่อมเขื่อนให้ใช้งานได้อีกครั้งคือการสร้างสันติ เพราะถ้าบีบให้มนุษย์ไม่มีทางเลือกก็จะเกิดสงคราม เมื่อเกิดสงครามแม้วานรอาจชนะแต่ก็อาจต้องสูญเสียวานรไปหลายตัว ทางเลือกคือการสร้างสันติย่อมเหมาะสมกว่า
• ขณะเดียวกัน 'โคบา' มือขวาผู้นำวานรมีอคติในใจว่าไม่สามารถไว้ใจมนุษย์ได้ ยิ่งเมื่อสะกดรอยไปเจอมนุษย์กำลังซ้อมใช้งานอาวุธก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อของตัวเองว่าควรปราบมนุษย์ให้สิ้นซากเพื่อคงเหลือเผ่าพันธุ์เดียว เขาจึงมีความเห็นแตกต่างจากซีซ่าร์จนกลายเป็นความขัดแย้งที่นำมาซึ่งสงครามระหว่างวานร vs. มนุษย์



เมื่อคุณได้ธีมหนังที่แข็งแรงแล้วทีนี้ก็นำไปเดินเรื่องต่อได้สบายแล้วครับ ลำดับการเล่าเรื่องได้เยี่ยมมาก แรงจูงใจของแต่ละตัวละครที่น่าเชื่อถือทำให้เราเชื่อในการตัดสินใจและความเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง ทั้งหมดบอกเล่าผ่านการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าโดยไม่ต้องใช้บทสนทนาใด ๆ เข้าช่วยด้วยซ้ำ

ที่ผมชอบอีกอย่างคือวานรพูดน้อยมาก ซึ่งมันก็ควรเป็นแบบนี้แหละคือพูดเท่าที่จำเป็น แล้ววิธีพูดก็จะผิดแกรมม่าผิดไวยากรณ์ แล้วเวลาพูดแต่ละฉากนี่มันมีพลังมากกกกกกก (ชอบภาคต้นฉบับ 1968 และ 2011 ก็ตอนฉากพูดครั้งแรกเหมือนกัน) อาจจะเพราะมันเล่นกับความเงียบเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยปากพูดก็ได้ ฮ่าๆๆ



ฉากแอ็คชั่นถือว่าเด็ดมาก เด็ดทั้งตอนวานรสู้กันเองและตอนวานรทำสงครามกับมนุษย์ ตอนวานรสู้กันเองนี่มันให้ความรู้สึกของสัตว์ป่ากำลังห้ำหั่นกัน ชอบเหมือนที่เคยชอบ Godzilla ว่าท่วงท่าการต่อสู้มันจำลองมาจากสัตว์ป่าปะทะกัน ขณะเดียวกันตอนที่สู้กับมนุษย์นี่ก็ถือว่ามีทีเด็ดในความอลังการเหมือนหนังสงครามเรื่องอื่น เพียงแต่ว่านี่เป็นสงครามระหว่างฝูงวานรกับมนุษย์ติดอาวุธเพียงหยิบมือ

ที่น่าทึ่งคือหนังเรื่องนี้ไม่ใช้ visual effects วานรเลยครับ แต่เขาเอาวานรมาเล่นจริง ๆ แล้วพากย์เสียงพูดทับเท่านั้นเอง โหย เทพมากเลยครับแหม่ คิดว่ายังไงก็คงได้เข้าชิงออสการ์สาขา visual effects แบบนอนมาอยู่ละ แต่จะไปถึงฝั่งฝันไหมแค่นั้นเอง



ขอยกให้เป็นหนัง blockbuster ที่เยี่ยมที่สุดของปี 2014
ขอยกให้เป็นหนึ่งในหนัง sci-fi ชั้นดี และเป็นการคืนชีพให้ Planet Apes กลับมาโลดแล่นน่าจดจำอีกครั้งครับ

เอ๋ วิ่งดิเอ๋ หนังโปรดการันตีว่าควรเสียเงินดูอย่างยิ่งครับ



Director: Matt Reeves
Novel "La Planete des Singes": Pierre Boulle
Screenplay: Rick Jaffa, Amanda Silver, Mark Bomback
characters: Rick Jaffa, Amanda Silver

Genre: Action, Drama, Sci-fi, Thriller
9/10



ติดตามรีวิวหนังได้ที่: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่