จดหมายจากนรก...
ในวันที่ท้องฟ้าดูอึมครึมครึ้มไปด้วยพยับเมฆ มันเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะอัสดงอยู่รอมร่อ ผมเองในขณะนั้นก็กำลังขับเจ้ารีโว่คู่ใจผ่านถนนเส้นหลักเพื่อจะมุ่งไปยังจุดหมายซึ่งนั่นก็คือบ้านของตนเอง ผมเปิดเพลงฟังไปร้องตามไปอย่างสบายอารมณ์ แต่...ทันใดนั้นเอง ในขณะที่รถของผมกำลังจะโผล่ออกจากซอยแห่งหนึ่งซึ่งเบื้องหน้าเป็นทางสี่แยก ผมซึ่งขับตรงอย่างเดียวเพราะความเผลอตัวและลืมชลอรถก็เกือบจะเหยียบเบรคหยุดรถแทบไม่ทัน เพราะแยกทางด้านซ้ายมือนั้นมีรถบรรทุกสวนมาตัดหน้าไปอย่างกะทันหันรวดเร็วราวกับรีบไปตายที่ไหน ผมใจหายใจคว่ำตั้งสติเหยียบเบรคดังเอี๊ยด!!!ลั่น มันเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญสุดแสนจะน่าตกใจอยู่ไม่น้อย พอสติสัมปชัญญะสะกิดเรียกให้หายจากอาการตื่นตระหนกแล้วผมก็รีบเคลื่อนรถออกจากที่ตรงนั้นไปจนถึงบ้านอย่างรวดเร็วในทันที....
ผมลงจากรถและเดินอย่างแช่มช้าไปยังหน้าประตูบ้าน เจ้าบ๊อกบ๊อกสุนัขพันธุ์ไทยผสมที่มีท่าทางดีใจเมื่อเห็นเจ้าของกลับมาถึง กระดิกหางวิ่งวนไปมารอบๆบ้านในตอนที่รถแล่นเข้ามาจอดเมื่อหยกๆนี่เอง บัดนี้มันวิ่งมานั่งลงเห่าดักต้อนรับอยู่เบื้องหน้าผม ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประจำทุกวันจนผมชินแต่ก็เอ็นดูมันทุกครั้งที่ได้เห็นมันออกมารับเมื่อกลับมาจากทำงานในเวลาเช่นนี้ ผมหยุดเดินค่อยๆนั่งยองๆลงเอื้อมมือไปลูบหัวมันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยวพร้อมกับยิ้มและพูดทักไปเรื่อยเปื่อยตามประสา มันหลับตาพริ้มส่งเสียงกระเส่าแหบๆแฮกๆอย่างมีความสุข จนผมเองก็อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาอย่างขันๆไม่ได้เมื่อเห็นอากัปกิริยาน่ารักๆซื่อๆของมันที่ตอบสนองต่อเจ้านายสองขาอย่างผม เมื่อเห็นว่าได้ทักทายกับเจ้าเพื่อนซี้สี่ขาที่มีหน้าที่เฝ้าบ้านได้พอหอมปากหอมคอแล้วผมก็ผละจากมันมาแล้วออกเดินไปยังหน้าประตูของบ้านต่อไป
เมื่อมาถึงที่หมายผมไขกุญแจแล้วบิดลูกบิดประตูค่อยๆดันเปิดเข้าไปด้วยอาการปกติ สองเท้าก้าวเดินเข้าไปสองตาก็สอดส่ายมองไปทั่วๆบริเวณภายในบ้านอย่างปราศจากจุดประสงค์ ผมหยุดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไล่อาการตึงเครียดในสมองจากการทำงานออกไป แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ตรงมุมรับแขกของบ้านถอนหายใจพรู....ออกมายาวๆ แต่แล้ว....
"ถึงนายทรงวุฒิ ประเสริฐศักดิ์"
สายตาของผมก็พลันได้ไปสะดุดกับภาพๆหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือซองจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะรับแขกเตี้ยๆเบื้องหน้า ผมโน้มตัวไปแล้วหยิบขึ้นมาอ่านก็พบว่ามันจ่าหน้าซองถึงผม
"ใครส่งมากันนะ?" ผมเอียงคอคิดคิ้วขมวดหน้าเคร่ง
ไม่สิ!!! มันมาวางอยู่บนโต๊ะรับแขกภายในบ้านของผมได้อย่างไรกัน? ใครนำมันเข้ามาและเข้ามาได้อย่างไร? ทั้งๆที่ผมจำได้ว่าก่อนออกจากบ้านผมได้ทำการล็อคประตูและหน้าต่างของบ้านทุกบานไว้อย่างเรียบร้อยและแน่นหนาดีที่สุดแล้ว....
"หรือว่าจะเป็น....ขโมย!!!"
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ทันที ด้วยความรวดเร็วผมวิ่งไปเช็คประตูหน้าตั้งแต่ชั้นล่างในทุกๆห้องจนถึงชั้นบนของบ้านว่าจะมีร่องรอยการถูกทำลายหรือถูกงัดที่ผิดสังเกตผิดปกติให้พบเห็นหรือไม่ แต่เปล่าเลย....มันไม่มี!! ไม่มีร่องรอยของการถูกบุกรุกจากผู้ประสงค์ร้ายเข้ามาภายในบ้านให้เห็นแม้แต่สักจุดเดียว แล้ว....แล้วไอ้จดหมายบ้านั่นมันถูกนำเข้ามาได้อย่างไรกัน!!!???
ผมปวดหัวตุบๆมือกุมขมับสีหน้าเริ่มมีอาการกังวล ในใจเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับจดหมายนี้ที่ถูกส่งเข้ามา มันมาได้อย่างไร? มาได้อย่างลึกลับเสียจนน่าตกใจเสียด้วย....
สองขาเริ่มอ่อนแรงเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับหัวใจที่อยู่ในอาการตระหนกสั่นระทึก เพราะคาดไม่ถึงส่งผลให้ต้องกลับมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตรงนั้นอีกครั้ง ผมเม้มริมฝีปากอย่างหนักใจมองดูสารที่ถูกส่งมาให้จากที่มาอันน่าพิศวงนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์และไม่ไว้วางใจใดๆทั้งสิ้น จนท้ายที่สุดจนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งฉีกซองนำกระดาษที่มีข้อความอยู่ในนั้นออกมาคลี่อ่านเพื่อที่จะได้รู้กันอย่างแน่ชัดเสียทีว่าผู้ที่ส่งมันมา ส่งมาเพื่ออะไร? และเป็นใครกันแน่...?
เมื่อผมคลี่ออกอ่านดูก็ปรากฏเป็นเนื้อความที่ค่อนข้างยาวอยู่พอสมควร ลายมือของผู้เขียนนั้นก็มีการตวัดหางของตัวอักษรเล็กน้อยดูสวยเป็นระเบียบแปลกตาดีไปอีกแบบ โดยเนื้อความในจดหมายที่ถูกส่งมานั้นมีอยู่ดังนี้ครับ.....
"ถึงทรงวุฒิเพื่อนรัก... จำเราได้หรือเปล่า? เราคือเพื่อนที่นายสนิทด้วยมากที่สุดตอนสมัยเรียนไง อ้อ...อีกอย่างหนึ่งเราเคยทำงานอยู่ที่เดียวกันกับนายด้วยนะ แต่เราย้ายออกไปเมื่อสองปีที่แล้ว เราได้งานใหม่แล้วนะเพื่อน... งานนี้เนี่ยนะสบายมากเลยสนุกด้วย แต่
...ต้องอดทน
เลยว่ะ สภาพอากาศภายในที่ทำงานไม่พึงประสงค์จะให้สบายตัวนัก วันๆนะได้จับแต่คนเฮ้อ.... แต่มันก็สะใจอีกอย่างนะเว้ย...ที่ได้เห็นเลือดของคนเห็นคนทุกข์ทรมานร้องโหยหวนขอชีวิตแทบจะเป็นประสาทตายน่ะฮ่าๆๆๆ...!!"
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผมแทบอยากจะฉีกทิ้งไปในทันทีนั้น รู้สึกว่าไอ้คนที่ส่งจดหมายมานี่คงจะโรคจิตน่าดูชอบเห็นเลือดคน ชอบเห็นความทรมานของมนุษย์ เป็นเรื่องเล่นๆ งานบ้างานบออะไรของมันวะ? ผมเคยมีเพื่อนแบบนี้ซะที่ไหน...? แต่...นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะลึกๆแล้วผมอยากรู้ว่าไอ้หมอนี่มันรู้ชื่อจริงนามสกุลจริงของผมได้อย่างไร? แถมยังเขียนตัวอักษรตัวสะกดได้ถูกต้องอีกต่างหาก... ดังนั้นแล้วก็เลยต้องอดทนอ่านข้อความของมันต่อไป
"ที่ทำงานกว้างใหญ่มากนะเพื่อนรู้รึเปล่า มันมีที่ๆจะหั่นคนออกเป็นชิ้นๆ ทุบหัวให้แบะเลือดสาดกระเด็นนองเต็มพื้น ยิ่งผู้หญิงเนี่ยนะยิ่งมันส์ได้ใจเลยทรงวุฒิเอ๊ย... จับดึงลิ้นออกมาตัดแล้วเอาดาบไปจี้กับไฟร้อนๆจนเหล็กแดงพร้อมกับยัดเข้าไปในปาก เสียงร้องงี้น่าฟังโคตรจะสุนทรีย์หู พวกผู้ชายก็วิ่งไล่ทุบมันเล่นอย่างกะไล่บี้มดตัวเล็กๆ ทั้งคนแก่ทั้งเด็กวัยรุ่นเราก็ไม่เว้น แหม... ยิ่งเวลาจับไปโยนใส่หม้อต้มน้ำเดือดร้อนๆใบใหญ่ที่อยู่อีกฟากของที่อยู่หัวหน้านะ อย่างกับจับอึ่งเป็นๆหรือพวกปลาเป็นๆโยนลงน้ำร้อนเลยแกเอ๋ย...ดิ้นพราดๆร้องเสียงหลงแทบจะขาดใจ
ยิ่งพวกไหนที่ขัดคำสั่งไม่ยอมให้เราทรมานหน่อยนะ ก็จะถูกจับมาตอกตรึงขึงไว้กับไม้หลักกลางลานโล่ง แล้วปล่อยฝูงหมาที่ทั้งดุและหิวของเราไปกัดกินมันเสียให้เข็ด ฮึ!! เออแน่ะ...ลืมบอกไป เพื่อนร่วมงานของเรามีหลายคนนะ แต่ละคนก็จะมีตำแหน่งเป็นของตนเองทำหน้าที่ต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าเบื้องบนจะบัญชา
แต่...มันก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งนะคือ...เวลาทำงานเนี่ยไม่ได้หยุดพักหรอกทำกันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ จนฉันเองก็เริ่มระอาเต็มที แต่ทำไงได้ล่ะ...ก็ท่านให้เรามาทำเราก็ต้องทำไม่ทำก็ไม่ได้ขัดต่อกฏของที่ทำงานอีก
นั่นแหละเราเลยอยากจะบอกให้รู้... อีกอย่างเราก็ทรมานคนมาเยอะเลยทีเดียวแหละทั้งจับไปเลื่อยตัวให้ขาดสองท่อนบ้าง กรอกน้ำกรดเข้าปากบ้าง ทั้งทุบหัวเอย ฟันคอเอย เอาไฟเผาไรงี้...โอ้ย...สารพัดล่ะ...."
ผมส่ายหัวอย่างขันๆระคนแปลกใจเมื่ออ่านมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงบทความนี้ แหม...ไอ้นี่ท่าทางจะบ้าและโรคจิตจริงๆ งานที่ไหนมันจะมีให้มันทำแบบนี้ แต่ก็นะผมก็ถือซะว่ามีคนเขียนเรื่องแปลกๆมาให้อ่าน น่าสนใจดีถึงแม้ว่าจะไร้สาระก็เถอะ.... ฮึ..!!! อะไรเนี่ย...?
"นี่...เพื่อนเกลอ...นายรู้มั้ยว่าทำไมเราถึงส่งจดหมายนี่มาให้นาย (เออ...อยากรู้ตั้งนานละ) ก็เพราะ....เราคิดถึงนายว่ะเพื่อนอีกอย่างมันก็ถึงคิวงานของเราน่ะนะที่จะมาประสานกับนาย เพราะตอนนี้เราต้องการตัวนายมากๆเลยนะเพื่อน....(อะไรของมันวะ?)
หลังจากที่นายอ่านมาถึงตรงนี้เราอยากจะให้นายมาในที่ทำงานเราน่ะ (!!!!) แล้ว...ตอนนี้เราก็อยู่ข้างหลังนายแล้วด้วย...ไม่เชื่อก็ลองหันมาดูได้นะ หึๆๆๆ....
ด้วยรักและคิดถึง
องอาจ รักษ์สุจริตธรรม..."
ผมหัวเราะอย่างท้องคับท้องแข็งเมื่ออ่านจบ คิดในใจว่าวันนี้มันคงเป็นวันที่แปลกที่สุดแล้วกระมังสำหรับผม เพราะจู่ๆก็ดันมีคนบ้าเขียนจดหมายบรรยายเนื้อหาโรคจิตกวนประสาทแบบนี้มาให้อ่าน เหอะ....ตลกสิ้นดี... เอ๊ะ..!!! เดี๋ยวนะ!!! "องอาจ รักษ์สุจริตธรรม..." เฮ้ย...!!! บ้าน่า.... เป็นไปได้เหรอ? นี่มันอะไรกันผมต้องฝันไปแล้วแน่ๆ.... ก็ชื่อที่ลงท้ายจดหมายนี่...มัน...มันเป็นของ....ของไอ้องอาจเพื่อนสนิทของผมที่ตายไปแล้วตั้งสองปีกว่านี่....พระเจ้า..!!!บ้าไปแล้ว..!!! มันถูกปล้นและถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ผมยังจำได้อยู่เลยว่าสภาพศพมันน่าอนาถแค่ไหนทั้งรอยถูกแทงไส้ทะลัก แผลบวมฟกช้ำและแผลสดเลือดนองจากการต่อสู้ก็มีอยู่หลายจุด.. มันตายแล้วนะ...!!! ต้องมีใครมาเล่นพิเรนท์กับผมแน่ๆ!!!
"หึๆๆๆ...สวัสดี...ไอ้ทรงวุฒิเพื่อนรัก..."
มีเสียงเย็นยะเยือกห้าวต่ำดังมาจากด้านหลังของผมในขณะที่ผมกำลังเกิดอาการสับสนในหัวสมองอยู่... มันสะท้านลึกแต่ดูมีอำนาจเฉียบขาดอยู่ในที มันครอบงำจิตใจของผมได้...เสียงนั่น....เสียงของไอ้องอาจ!!!... มะ...ไม่จริงน่า....
"หันมาสิเพื่อน...หันมาหาเราหน่อยเรารอนาย...เราต้องการนายนะ....เพื่อน...หึๆๆๆๆ"
ดั่งต้องมนตร์สะกดผมค่อยๆหันไปตามคำสั่งของเจ้าของเสียงนั่นอย่างช้าๆ แข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ และเมื่อตาต่อตาประสานกันเข้า ผมก็ถึงกับปากคอแข็งเป็นใบเบื้อไปในบัดดล...!!! เพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้นั้นมันคือร่างของไอ้องอาจที่สีผิวดูเข้มคล้ายทองแดง หน้าตามันเหี้ยมขึ้นแววตาดุดัน เปลือยท่อนบน ผมยาวประบ่า ร่างกายดูกำยำน่าเกรงขาม ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนสีทองมือข้างขวากำด้ามสามง่ามที่แหลมคมน่าหวาดเสียวแนบชิดกับด้านข้างลำตัวไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นจ้องมาที่ผมอย่างมีเลศนัยพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะอ่านความรู้สึกนึกคิดออกได้ "ยมทูต!!!" ผมอุทานลั่นในใจ...
"มากับเราทรงวุฒิ...แกตายแล้วนะเพื่อน..." มันเอ่ยประโยคออกมาอีกซึ่งเป็นประโยคที่ผมไม่ต้องการจะได้ยินและไม่เชื่อหูเป็นที่สุด
"ไม่จริง....กูยังไม่ตายนะไอ้องอาจ...กูตายตอนไหนกูยังมีชีวิตยังมีลมหายใจนะโว้ย!!!" ผมเถียงกลับไปดูเหมือนจะเป็นทางกระแสจิตยืนยันหนักแน่น..ใช่...ไอ้องอาจมันเป็นยมทูต แต่มันจะเอาผมไปไม่ได้เพราะผมยังไม่ได้ตายจริงๆนี่นา....
"แกยังไม่รู้ตัวทรงวุฒิ....มองมาที่ดวงตาของเราแล้วแกจะรู้จะเห็นความจริง...."
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่จ้องตามันไม่กระพริบ เมื่อนานเข้าดูเหมือนผมถูกพลังงานบางอย่างดึงดูดให้เข้าไปในภวังค์แห่งความทรงจำ...
ผมเห็นตัวเองกำลังขับรถยนต์ส่วนตัวในเส้นทางเดิมที่คุ้นเคยผ่านถนนเส้นหลักสู่ซอยสี่แยกเล็กๆที่มันมุ่งตรงสู่ทางเข้าตัวหมู่บ้านของผม รถยนต์ที่ผมขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วโผล่ออกจากแยกนั้นมาถึงถนนเส้นกลางก็พอดีกับที่มีรถบรรทุกสวนทางเข้ามาด้านซ้ายซึ่งมาเร็วแรงไม่แพ้กัน ทำให้ประสานงากันเข้าอย่างจังจนทำให้รถยนต์ของผมกระเด็นไปอีกฟากหมุนคว้างหลายรอบ พลิกคว่ำหงายท้องไปมาหลายตลบเศษชิ้นส่วนรถยนต์กระจัดกระจายไม่มีชิ้นดีรถผมพังยับเยิน รถบรรทุกคันนั้นก็เสียหลักไปชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางจนด้านหน้ารถเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน เมื่อทุกอย่างสงบลง ผมก็ต้องถึงกับไม่เชื่อสายตาของตนเอง เพราะบัดนี้ภายในรถของผมที่หงายท้องล้อหมุนครืดๆอยู่นั้น พบว่า...ร่างของผมเองก็เละไม่เหลือสภาพความเป็นมนุษย์อยู่เลยในเบาะทางฝั่งคนขับนั้น เลือดหลั่งนองไปกับเบาะและบริเวณบางส่วนภายในรถแดงฉาน
จากนั้นภาพนิมิตอันชวนสยองใจก็ดับวูบลงไป ณ ที่ฉากนั้นทำให้ผมรู้สึกตัวกลับมาอยู่ที่บ้านซึ่งกำลังประจัญหน้ากับเจ้ายมทูตองอาจเพื่อนของผมเช่นเดิม.... ผมน้ำตาคลอจุกแน่นพูดอะไรไม่ออกร่ำไห้เสียดายชีวิตที่มาดับสิ้นลงไปโดยที่ไม่รู้ตัวและยังไม่ถึงวัยอันควร ผม...ผมยังไม่พร้อมที่จะตาย...ได้โปรด...อย่าเอาวิญญาณกูไปเลยนะไอ้องอาจกูขอร้อง!!
"คนจะตายมันต่อรองและห้ามกันไม่ได้หรอกนะทรงวุฒิ...นายมากับเราซะดีๆหมดเวลาของนายแล้ว...ไปลงนรก!!!"
ก่อนที่ผมจะถูกบ่วงของมัจจุราชคล้องคอแล้วกระชากเพื่อนำดวงวิญญาณไปสู่นรกภูมินั้น ผมไม่มีคำจะโต้แย้งและคิดจะขัดขืนอะไรได้เลยทั้งสิ้นนอกจากกรีดร้องราวกับคนที่เสียสติอย่างสุดเสียง มันก้องไปทั่วบริเวณบ้านเลยก็ว่าได้...
"ม่ายยยยยยยยยยยยย..!!!!!"
จบบริบูรณ์
ธีร์ วรรณกร...
เรื่องสั้นขวัญผวา....ตอน:The Letter "จดหมายจากนรก" โดย:ธีร์ วรรณกร
ในวันที่ท้องฟ้าดูอึมครึมครึ้มไปด้วยพยับเมฆ มันเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะอัสดงอยู่รอมร่อ ผมเองในขณะนั้นก็กำลังขับเจ้ารีโว่คู่ใจผ่านถนนเส้นหลักเพื่อจะมุ่งไปยังจุดหมายซึ่งนั่นก็คือบ้านของตนเอง ผมเปิดเพลงฟังไปร้องตามไปอย่างสบายอารมณ์ แต่...ทันใดนั้นเอง ในขณะที่รถของผมกำลังจะโผล่ออกจากซอยแห่งหนึ่งซึ่งเบื้องหน้าเป็นทางสี่แยก ผมซึ่งขับตรงอย่างเดียวเพราะความเผลอตัวและลืมชลอรถก็เกือบจะเหยียบเบรคหยุดรถแทบไม่ทัน เพราะแยกทางด้านซ้ายมือนั้นมีรถบรรทุกสวนมาตัดหน้าไปอย่างกะทันหันรวดเร็วราวกับรีบไปตายที่ไหน ผมใจหายใจคว่ำตั้งสติเหยียบเบรคดังเอี๊ยด!!!ลั่น มันเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญสุดแสนจะน่าตกใจอยู่ไม่น้อย พอสติสัมปชัญญะสะกิดเรียกให้หายจากอาการตื่นตระหนกแล้วผมก็รีบเคลื่อนรถออกจากที่ตรงนั้นไปจนถึงบ้านอย่างรวดเร็วในทันที....
ผมลงจากรถและเดินอย่างแช่มช้าไปยังหน้าประตูบ้าน เจ้าบ๊อกบ๊อกสุนัขพันธุ์ไทยผสมที่มีท่าทางดีใจเมื่อเห็นเจ้าของกลับมาถึง กระดิกหางวิ่งวนไปมารอบๆบ้านในตอนที่รถแล่นเข้ามาจอดเมื่อหยกๆนี่เอง บัดนี้มันวิ่งมานั่งลงเห่าดักต้อนรับอยู่เบื้องหน้าผม ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประจำทุกวันจนผมชินแต่ก็เอ็นดูมันทุกครั้งที่ได้เห็นมันออกมารับเมื่อกลับมาจากทำงานในเวลาเช่นนี้ ผมหยุดเดินค่อยๆนั่งยองๆลงเอื้อมมือไปลูบหัวมันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยวพร้อมกับยิ้มและพูดทักไปเรื่อยเปื่อยตามประสา มันหลับตาพริ้มส่งเสียงกระเส่าแหบๆแฮกๆอย่างมีความสุข จนผมเองก็อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาอย่างขันๆไม่ได้เมื่อเห็นอากัปกิริยาน่ารักๆซื่อๆของมันที่ตอบสนองต่อเจ้านายสองขาอย่างผม เมื่อเห็นว่าได้ทักทายกับเจ้าเพื่อนซี้สี่ขาที่มีหน้าที่เฝ้าบ้านได้พอหอมปากหอมคอแล้วผมก็ผละจากมันมาแล้วออกเดินไปยังหน้าประตูของบ้านต่อไป
เมื่อมาถึงที่หมายผมไขกุญแจแล้วบิดลูกบิดประตูค่อยๆดันเปิดเข้าไปด้วยอาการปกติ สองเท้าก้าวเดินเข้าไปสองตาก็สอดส่ายมองไปทั่วๆบริเวณภายในบ้านอย่างปราศจากจุดประสงค์ ผมหยุดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไล่อาการตึงเครียดในสมองจากการทำงานออกไป แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ตรงมุมรับแขกของบ้านถอนหายใจพรู....ออกมายาวๆ แต่แล้ว....
"ถึงนายทรงวุฒิ ประเสริฐศักดิ์"
สายตาของผมก็พลันได้ไปสะดุดกับภาพๆหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือซองจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะรับแขกเตี้ยๆเบื้องหน้า ผมโน้มตัวไปแล้วหยิบขึ้นมาอ่านก็พบว่ามันจ่าหน้าซองถึงผม
"ใครส่งมากันนะ?" ผมเอียงคอคิดคิ้วขมวดหน้าเคร่ง
ไม่สิ!!! มันมาวางอยู่บนโต๊ะรับแขกภายในบ้านของผมได้อย่างไรกัน? ใครนำมันเข้ามาและเข้ามาได้อย่างไร? ทั้งๆที่ผมจำได้ว่าก่อนออกจากบ้านผมได้ทำการล็อคประตูและหน้าต่างของบ้านทุกบานไว้อย่างเรียบร้อยและแน่นหนาดีที่สุดแล้ว....
"หรือว่าจะเป็น....ขโมย!!!"
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ทันที ด้วยความรวดเร็วผมวิ่งไปเช็คประตูหน้าตั้งแต่ชั้นล่างในทุกๆห้องจนถึงชั้นบนของบ้านว่าจะมีร่องรอยการถูกทำลายหรือถูกงัดที่ผิดสังเกตผิดปกติให้พบเห็นหรือไม่ แต่เปล่าเลย....มันไม่มี!! ไม่มีร่องรอยของการถูกบุกรุกจากผู้ประสงค์ร้ายเข้ามาภายในบ้านให้เห็นแม้แต่สักจุดเดียว แล้ว....แล้วไอ้จดหมายบ้านั่นมันถูกนำเข้ามาได้อย่างไรกัน!!!???
ผมปวดหัวตุบๆมือกุมขมับสีหน้าเริ่มมีอาการกังวล ในใจเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับจดหมายนี้ที่ถูกส่งเข้ามา มันมาได้อย่างไร? มาได้อย่างลึกลับเสียจนน่าตกใจเสียด้วย....
สองขาเริ่มอ่อนแรงเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับหัวใจที่อยู่ในอาการตระหนกสั่นระทึก เพราะคาดไม่ถึงส่งผลให้ต้องกลับมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตรงนั้นอีกครั้ง ผมเม้มริมฝีปากอย่างหนักใจมองดูสารที่ถูกส่งมาให้จากที่มาอันน่าพิศวงนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์และไม่ไว้วางใจใดๆทั้งสิ้น จนท้ายที่สุดจนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งฉีกซองนำกระดาษที่มีข้อความอยู่ในนั้นออกมาคลี่อ่านเพื่อที่จะได้รู้กันอย่างแน่ชัดเสียทีว่าผู้ที่ส่งมันมา ส่งมาเพื่ออะไร? และเป็นใครกันแน่...?
เมื่อผมคลี่ออกอ่านดูก็ปรากฏเป็นเนื้อความที่ค่อนข้างยาวอยู่พอสมควร ลายมือของผู้เขียนนั้นก็มีการตวัดหางของตัวอักษรเล็กน้อยดูสวยเป็นระเบียบแปลกตาดีไปอีกแบบ โดยเนื้อความในจดหมายที่ถูกส่งมานั้นมีอยู่ดังนี้ครับ.....
"ถึงทรงวุฒิเพื่อนรัก... จำเราได้หรือเปล่า? เราคือเพื่อนที่นายสนิทด้วยมากที่สุดตอนสมัยเรียนไง อ้อ...อีกอย่างหนึ่งเราเคยทำงานอยู่ที่เดียวกันกับนายด้วยนะ แต่เราย้ายออกไปเมื่อสองปีที่แล้ว เราได้งานใหม่แล้วนะเพื่อน... งานนี้เนี่ยนะสบายมากเลยสนุกด้วย แต่...ต้องอดทนเลยว่ะ สภาพอากาศภายในที่ทำงานไม่พึงประสงค์จะให้สบายตัวนัก วันๆนะได้จับแต่คนเฮ้อ.... แต่มันก็สะใจอีกอย่างนะเว้ย...ที่ได้เห็นเลือดของคนเห็นคนทุกข์ทรมานร้องโหยหวนขอชีวิตแทบจะเป็นประสาทตายน่ะฮ่าๆๆๆ...!!"
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผมแทบอยากจะฉีกทิ้งไปในทันทีนั้น รู้สึกว่าไอ้คนที่ส่งจดหมายมานี่คงจะโรคจิตน่าดูชอบเห็นเลือดคน ชอบเห็นความทรมานของมนุษย์ เป็นเรื่องเล่นๆ งานบ้างานบออะไรของมันวะ? ผมเคยมีเพื่อนแบบนี้ซะที่ไหน...? แต่...นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะลึกๆแล้วผมอยากรู้ว่าไอ้หมอนี่มันรู้ชื่อจริงนามสกุลจริงของผมได้อย่างไร? แถมยังเขียนตัวอักษรตัวสะกดได้ถูกต้องอีกต่างหาก... ดังนั้นแล้วก็เลยต้องอดทนอ่านข้อความของมันต่อไป
"ที่ทำงานกว้างใหญ่มากนะเพื่อนรู้รึเปล่า มันมีที่ๆจะหั่นคนออกเป็นชิ้นๆ ทุบหัวให้แบะเลือดสาดกระเด็นนองเต็มพื้น ยิ่งผู้หญิงเนี่ยนะยิ่งมันส์ได้ใจเลยทรงวุฒิเอ๊ย... จับดึงลิ้นออกมาตัดแล้วเอาดาบไปจี้กับไฟร้อนๆจนเหล็กแดงพร้อมกับยัดเข้าไปในปาก เสียงร้องงี้น่าฟังโคตรจะสุนทรีย์หู พวกผู้ชายก็วิ่งไล่ทุบมันเล่นอย่างกะไล่บี้มดตัวเล็กๆ ทั้งคนแก่ทั้งเด็กวัยรุ่นเราก็ไม่เว้น แหม... ยิ่งเวลาจับไปโยนใส่หม้อต้มน้ำเดือดร้อนๆใบใหญ่ที่อยู่อีกฟากของที่อยู่หัวหน้านะ อย่างกับจับอึ่งเป็นๆหรือพวกปลาเป็นๆโยนลงน้ำร้อนเลยแกเอ๋ย...ดิ้นพราดๆร้องเสียงหลงแทบจะขาดใจ
ยิ่งพวกไหนที่ขัดคำสั่งไม่ยอมให้เราทรมานหน่อยนะ ก็จะถูกจับมาตอกตรึงขึงไว้กับไม้หลักกลางลานโล่ง แล้วปล่อยฝูงหมาที่ทั้งดุและหิวของเราไปกัดกินมันเสียให้เข็ด ฮึ!! เออแน่ะ...ลืมบอกไป เพื่อนร่วมงานของเรามีหลายคนนะ แต่ละคนก็จะมีตำแหน่งเป็นของตนเองทำหน้าที่ต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าเบื้องบนจะบัญชา
แต่...มันก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งนะคือ...เวลาทำงานเนี่ยไม่ได้หยุดพักหรอกทำกันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ จนฉันเองก็เริ่มระอาเต็มที แต่ทำไงได้ล่ะ...ก็ท่านให้เรามาทำเราก็ต้องทำไม่ทำก็ไม่ได้ขัดต่อกฏของที่ทำงานอีก
นั่นแหละเราเลยอยากจะบอกให้รู้... อีกอย่างเราก็ทรมานคนมาเยอะเลยทีเดียวแหละทั้งจับไปเลื่อยตัวให้ขาดสองท่อนบ้าง กรอกน้ำกรดเข้าปากบ้าง ทั้งทุบหัวเอย ฟันคอเอย เอาไฟเผาไรงี้...โอ้ย...สารพัดล่ะ...."
ผมส่ายหัวอย่างขันๆระคนแปลกใจเมื่ออ่านมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงบทความนี้ แหม...ไอ้นี่ท่าทางจะบ้าและโรคจิตจริงๆ งานที่ไหนมันจะมีให้มันทำแบบนี้ แต่ก็นะผมก็ถือซะว่ามีคนเขียนเรื่องแปลกๆมาให้อ่าน น่าสนใจดีถึงแม้ว่าจะไร้สาระก็เถอะ.... ฮึ..!!! อะไรเนี่ย...?
"นี่...เพื่อนเกลอ...นายรู้มั้ยว่าทำไมเราถึงส่งจดหมายนี่มาให้นาย (เออ...อยากรู้ตั้งนานละ) ก็เพราะ....เราคิดถึงนายว่ะเพื่อนอีกอย่างมันก็ถึงคิวงานของเราน่ะนะที่จะมาประสานกับนาย เพราะตอนนี้เราต้องการตัวนายมากๆเลยนะเพื่อน....(อะไรของมันวะ?)
หลังจากที่นายอ่านมาถึงตรงนี้เราอยากจะให้นายมาในที่ทำงานเราน่ะ (!!!!) แล้ว...ตอนนี้เราก็อยู่ข้างหลังนายแล้วด้วย...ไม่เชื่อก็ลองหันมาดูได้นะ หึๆๆๆ....
ด้วยรักและคิดถึง
องอาจ รักษ์สุจริตธรรม..."
ผมหัวเราะอย่างท้องคับท้องแข็งเมื่ออ่านจบ คิดในใจว่าวันนี้มันคงเป็นวันที่แปลกที่สุดแล้วกระมังสำหรับผม เพราะจู่ๆก็ดันมีคนบ้าเขียนจดหมายบรรยายเนื้อหาโรคจิตกวนประสาทแบบนี้มาให้อ่าน เหอะ....ตลกสิ้นดี... เอ๊ะ..!!! เดี๋ยวนะ!!! "องอาจ รักษ์สุจริตธรรม..." เฮ้ย...!!! บ้าน่า.... เป็นไปได้เหรอ? นี่มันอะไรกันผมต้องฝันไปแล้วแน่ๆ.... ก็ชื่อที่ลงท้ายจดหมายนี่...มัน...มันเป็นของ....ของไอ้องอาจเพื่อนสนิทของผมที่ตายไปแล้วตั้งสองปีกว่านี่....พระเจ้า..!!!บ้าไปแล้ว..!!! มันถูกปล้นและถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ผมยังจำได้อยู่เลยว่าสภาพศพมันน่าอนาถแค่ไหนทั้งรอยถูกแทงไส้ทะลัก แผลบวมฟกช้ำและแผลสดเลือดนองจากการต่อสู้ก็มีอยู่หลายจุด.. มันตายแล้วนะ...!!! ต้องมีใครมาเล่นพิเรนท์กับผมแน่ๆ!!!
"หึๆๆๆ...สวัสดี...ไอ้ทรงวุฒิเพื่อนรัก..."
มีเสียงเย็นยะเยือกห้าวต่ำดังมาจากด้านหลังของผมในขณะที่ผมกำลังเกิดอาการสับสนในหัวสมองอยู่... มันสะท้านลึกแต่ดูมีอำนาจเฉียบขาดอยู่ในที มันครอบงำจิตใจของผมได้...เสียงนั่น....เสียงของไอ้องอาจ!!!... มะ...ไม่จริงน่า....
"หันมาสิเพื่อน...หันมาหาเราหน่อยเรารอนาย...เราต้องการนายนะ....เพื่อน...หึๆๆๆๆ"
ดั่งต้องมนตร์สะกดผมค่อยๆหันไปตามคำสั่งของเจ้าของเสียงนั่นอย่างช้าๆ แข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ และเมื่อตาต่อตาประสานกันเข้า ผมก็ถึงกับปากคอแข็งเป็นใบเบื้อไปในบัดดล...!!! เพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้นั้นมันคือร่างของไอ้องอาจที่สีผิวดูเข้มคล้ายทองแดง หน้าตามันเหี้ยมขึ้นแววตาดุดัน เปลือยท่อนบน ผมยาวประบ่า ร่างกายดูกำยำน่าเกรงขาม ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนสีทองมือข้างขวากำด้ามสามง่ามที่แหลมคมน่าหวาดเสียวแนบชิดกับด้านข้างลำตัวไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นจ้องมาที่ผมอย่างมีเลศนัยพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะอ่านความรู้สึกนึกคิดออกได้ "ยมทูต!!!" ผมอุทานลั่นในใจ...
"มากับเราทรงวุฒิ...แกตายแล้วนะเพื่อน..." มันเอ่ยประโยคออกมาอีกซึ่งเป็นประโยคที่ผมไม่ต้องการจะได้ยินและไม่เชื่อหูเป็นที่สุด
"ไม่จริง....กูยังไม่ตายนะไอ้องอาจ...กูตายตอนไหนกูยังมีชีวิตยังมีลมหายใจนะโว้ย!!!" ผมเถียงกลับไปดูเหมือนจะเป็นทางกระแสจิตยืนยันหนักแน่น..ใช่...ไอ้องอาจมันเป็นยมทูต แต่มันจะเอาผมไปไม่ได้เพราะผมยังไม่ได้ตายจริงๆนี่นา....
"แกยังไม่รู้ตัวทรงวุฒิ....มองมาที่ดวงตาของเราแล้วแกจะรู้จะเห็นความจริง...."
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่จ้องตามันไม่กระพริบ เมื่อนานเข้าดูเหมือนผมถูกพลังงานบางอย่างดึงดูดให้เข้าไปในภวังค์แห่งความทรงจำ...
ผมเห็นตัวเองกำลังขับรถยนต์ส่วนตัวในเส้นทางเดิมที่คุ้นเคยผ่านถนนเส้นหลักสู่ซอยสี่แยกเล็กๆที่มันมุ่งตรงสู่ทางเข้าตัวหมู่บ้านของผม รถยนต์ที่ผมขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วโผล่ออกจากแยกนั้นมาถึงถนนเส้นกลางก็พอดีกับที่มีรถบรรทุกสวนทางเข้ามาด้านซ้ายซึ่งมาเร็วแรงไม่แพ้กัน ทำให้ประสานงากันเข้าอย่างจังจนทำให้รถยนต์ของผมกระเด็นไปอีกฟากหมุนคว้างหลายรอบ พลิกคว่ำหงายท้องไปมาหลายตลบเศษชิ้นส่วนรถยนต์กระจัดกระจายไม่มีชิ้นดีรถผมพังยับเยิน รถบรรทุกคันนั้นก็เสียหลักไปชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางจนด้านหน้ารถเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน เมื่อทุกอย่างสงบลง ผมก็ต้องถึงกับไม่เชื่อสายตาของตนเอง เพราะบัดนี้ภายในรถของผมที่หงายท้องล้อหมุนครืดๆอยู่นั้น พบว่า...ร่างของผมเองก็เละไม่เหลือสภาพความเป็นมนุษย์อยู่เลยในเบาะทางฝั่งคนขับนั้น เลือดหลั่งนองไปกับเบาะและบริเวณบางส่วนภายในรถแดงฉาน
จากนั้นภาพนิมิตอันชวนสยองใจก็ดับวูบลงไป ณ ที่ฉากนั้นทำให้ผมรู้สึกตัวกลับมาอยู่ที่บ้านซึ่งกำลังประจัญหน้ากับเจ้ายมทูตองอาจเพื่อนของผมเช่นเดิม.... ผมน้ำตาคลอจุกแน่นพูดอะไรไม่ออกร่ำไห้เสียดายชีวิตที่มาดับสิ้นลงไปโดยที่ไม่รู้ตัวและยังไม่ถึงวัยอันควร ผม...ผมยังไม่พร้อมที่จะตาย...ได้โปรด...อย่าเอาวิญญาณกูไปเลยนะไอ้องอาจกูขอร้อง!!
"คนจะตายมันต่อรองและห้ามกันไม่ได้หรอกนะทรงวุฒิ...นายมากับเราซะดีๆหมดเวลาของนายแล้ว...ไปลงนรก!!!"
ก่อนที่ผมจะถูกบ่วงของมัจจุราชคล้องคอแล้วกระชากเพื่อนำดวงวิญญาณไปสู่นรกภูมินั้น ผมไม่มีคำจะโต้แย้งและคิดจะขัดขืนอะไรได้เลยทั้งสิ้นนอกจากกรีดร้องราวกับคนที่เสียสติอย่างสุดเสียง มันก้องไปทั่วบริเวณบ้านเลยก็ว่าได้...
"ม่ายยยยยยยยยยยยย..!!!!!"
จบบริบูรณ์
ธีร์ วรรณกร...