วันของการจากลา

29 กรกฏาคม 2558
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยหญิง อายุ 50ปี ป่วยเป็นเนื้องอกในสมองผ่าตัดไปแล้ว ถูกส่งมาจากรพ.ศูนย์ด้วยเรื่อง ไม่รู้สึกตัว ปอดบวม และ มีแผลงูสวัดที่ต้นขา ส่งมาเพื่อรักษาแบบประคับประคอง ได้คุยกับญาติ ซึ่งเป็นสามี และลูกชาย บอกว่า คนไข้ไม่รู้สึกตัว มา3เดือนแล้ว คงไม่อยากทำอะไรเพิ่ม ถ้าคนไข้หัวใจหยุดเต้นก็ปล่อยให้ไปสบาย ไม่ต้องปั้มหัวใจ ถ้าหอบก็ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

พอผ่านไป5วัน อาการคนไข้เริ่มทรุดลง แขนขาบวมมากขึ้น จากที่เคยให้น้ำเกลือทางเส้นได้ ก็หาเส้นไม่ได้แล้ว เสมหะก็มากขึ้นทุกวันๆ จนต้องพ่นยา สลับกับให้ออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจตลอด ทั้งที่พยายามเคาะปอด แต่เสมหะก็ไม่มีท่าจะลดลงเลย คนไข้ก็ยังคงนอนลืมตา ไม่รับรู้อะไร ยาฆ่าเชื้อที่เคยให้ทางเส้นเลือดได้ ปัจจุบันก็ให้ไม่ได้แล้ว เลยต้องเปลี่ยนเป็นยากินแทน แถมยังตรวจพบเบาหวานเพิ่มอีก ได้คุยเรื่องภาวะแทรกซ้อนของโรคกับลูกชาย ซึ่งสลับกันมาเฝ้ากับพ่อ ลูกชายเข้าใจ รับได้

เมื่อคืน ตอนตี1 คนไข้อาการแย่ลง เริ่มหายใจดังครืดคราดในคอตลอดเวลา ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ความดันก็ต่ำลงเรื่อยๆ พร้อมที่จะจากไปได้ตลอดเวลา เลยพยายามฉีดยาให้คนไข้สงบ เสียงครืดคราดก็น้อยลง แต่ คนไข้ยังคงหายใจเร็ว เหมือนเดิม และนอนลืมตาเหมือนไม่รับรู้อะไรเหมือนเดิม

พอตอนตี5 คนไข้เริ่มกลับมาหายใจครืดคราดอีกครั้ง ความดันเริ่มต่ำมาก จนวัดแทบไม่ได้ สามีซึ่งเป็นคนเฝ้า เปลี่ยนใจบอกว่า จะใส่ท่อช่วยหายใจ เลยถามเหตุผลว่าทำไม สามีบอกว่า " วันนี้ ที่วัดมีงานศพอยู่ ไม่อยากให้แกเสียวันนี้ อยากให้แกเสียวันเสาร์ หมอช่วยพยุงอาการแกไว้ก่อนได้ไหม " เราเห็นสภาพคนไข้นอนลืมตาไม่รับรู้อะไร อีกทั้งมีภาวะแทรกซ้อนเต็มไปหมด แผลติดเชื้อเต็มตัว อาการที่ดูท่าทางแล้วไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เลยบอกอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นให้แกรับรู้ และ อาการแสดงของแก เหมือนบอกให้รับรู้แล้วว่าแกกำลังจะจากไป การใส่ท่อช่วยหายใจ อาจจะไม่ได้ยื้อชีวิตแก อาจทำได้แค่ยืดระยะเวลาความทรมาน สามีฟังแล้วเข้าใจ เลยถามว่าแกจะอยู่ได้ถึงวันเสาร์ไหม เราเลยตอบได้เพียงว่า ไม่มีใครรู้ แต่สภาพแกตอนนี้ บ่งบอกถึงว่าแกกำลังจะจากเราไป พอสิ้นเสียงแค่นั้น พยาบาลออกจากห้องมาตามเราบอกว่า คนไข้วัดความดันไม่ได้แล้ว

จากที่นอนลืมตาไม่รับรู้อะไร ตาท้งสองข้างของคนไข้ ค่อยๆ ปิดตาลงอย่างสนิทเอง ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไร สามีบอกเราให้ช่วยยื้อคนไข้ไว้ก่อนจนกว่าลูกชายจะมาถึง เลยฉีดยากระตุ้นหัวใจให้ และนำambu bag มาช่วยพยุงการหายใจ สามีเอื้อมมือมาจับตรงหน้าผากคนไข้ พร้อมเสียงสวดมนต์ สุดท้ายเหมือนกับเป็นการลาจาก และบอกลาภรรยา เป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่เราพยายามบีบambu bag เพื่อช่วยการหายใจสักพักหนึ่ง ลูกชายก็มาถึง ทั้งน้ำตาและกอดกับร่างของแม่ ผมบอกให้เขาบอกลา บอกกับเขาว่า การได้ยินของคนเราเป็นส่ิงสุดท้ายที่จะสูญเสียไป อยากบอกอะไรแม่ให้บอกเลย ลูกชายบอกแม่ว่า " แม่ไม่ต้องห่วงนะ แม่เหนื่อยมามากแล้ว ทรมานมามากแล้ว ต่อไปไม่ต้องเหนื่อยแล้วนะ ไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปผมจะดูแลทางบ้านต่อเอง เรื่องปริญญาเอกไม่ต้องห่วงนะ แม่นะ ผมทำได้แน่ๆ แม่ไม่ต้องห่วงนะ แม่ไปสบายนะ ชาติหน้าเกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีกนะ แต่อย่านอนนานแบบนี้นะ คุยกันเยอะๆ " พร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ลูกสาวและป้า ซึ่งน่าจะมาไม่ทันดูใจครั้งสุดท้ายแล้ว ผมก็ให้เขาโทรศัพท์ไปและเอามือถือมาวางที่ข้างหู และบอกลา เป็นครั้งสุดท้าย " เฟือเอย สิ้นกรรมกันซักทีนะ ไปสบายนะ เรื่องทางบ้านไม่ต้องห่วงแล้วนะ หมดทุกข์หมดโศกกันเสียที อะไรที่ขุ่นข้องหมองใจกัน อโหสินะ " ด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงการลาจาก ทั้งน้ำตา หลังจากการสั่งเสีย และบอกลาของญาติ ชีพจรคนไข้ไม่เต้นแล้ว เหมือนกับแกได้ฟังทุกอย่างครบถ้วยแล้ว ผมค่อยๆ เอาambu bag ออก แล้วพูดกับสามีและลูกชายว่า คุณแม่แกไปสบายแล้วนะ แกไม่ทรมานแล้ว และปล่อยให้สามีและลูกชาย อยู่ในห้องกับแกโดยลำพัง จนช่วงสุดท้าย

ผมเดินออกมาเขียนใบแจ้งตายข้างนอก พอนึกย้อนกลับไป ก็ชวนให้สะท้อนใจว่า การอยู่กับคนไข้จนถึงวาระสุดท้าย ของชีวิต มันรู้สึกแบบนี้ เอง น่าอิจฉาแค่ไหน ตอนก่อนที่เราจะจากไป อยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนที่เรารัก ได้ลาจาก อโหสิ จนถึงวันสุดท้ายที่ลาจาก ยังทิ้งไว้ซึ่งความทรงจำอันสวยงาม เทียบกับหลายคน ที่ยื้อยุดชีวิตไว้ด้วย เครื่องช่วยหายใจ กับร่างที่ไร้วิญญาณ มีเพียงเครื่องที่คอยตีลมเข้าออกวันแล้ววันเล่า ป้าเฟื้อจากไปอย่างสง่างามกว่ามากครับ ขอให้ป้าไปสู่สุขคตินะครับ หลับให้สบายนะครับป้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่