เงาจันทร์ เงาใจ

กระทู้สนทนา
.



              คืนฟ้าหม่น ดวงดาวทอแสงอ่อนล้า เศร้าหมอง…สายลมพัด คล้ายหอบกระไอน้ำตา ผ่านหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง ในเสียงราวคร่ำครวญหวนไห้กระซิบผ่านความเวิ้งว้างเปลี่ยวเหงา ของหัวใจทนทุกข์ทุรนทรมาน

              ชายหนุ่ม…หญิงสาว ต่างคนต่างเดิน…ต่างทางต่างวิถี ..มาพบกันกลางสะพานข้ามจันทร์   ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืด ทั้งสองคล้ายเดินเข้าหาแสงสว่างเบื้องหน้า ทว่าเบื้องหน้า ก็คือเบื้องหลังอันอนธการ ของแต่ละคนไม่ใช่หรือ ความมืดอำพางแสงสว่าง และแสงสว่างซ่อนรอยของความมืด

              แสงจันทร์คืนนี้ทอแสงสีเหลืองเศร้าอาบฟ้า… เงาจันทร์สั่นไหวเดียวดายในสายน้ำข้างล่าง ที่กำลังไหลเรื่อย ผ่านไปตามเส้นทางของตัวเอง

             “ภาษาของท้องฟ้า…ภาษาของดวงดาว”

             ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังเกาะราวสะพาน มองความอ้างว้างบนฟากฟ้าในความเงียบงันเนิ่นนาน  หญิงสาวเดินมาอยุด เคียงคู่กัน โดยไม่ได้นัดหมาย  ต่างคนต่างยืน ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างมอง  ต่างคนต่างใจ  ยวดยานพาหนะวิ่งผ่านไปมาด้านหลังล้วนไม่มีความหมายสำหรับคนทั้งสอง   ดึแล้ว ต่างตนคงต้องการกลับบ้าน ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ แต่บ้านก็คือบ้าน

              “คุณคิดว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเหล่านั้นกำลังพยายามบอกอะไรกับเรา”  ชายหนุ่มเอ่ยปากแผ่วเบา เหมือนพูดกับตัวเอง...ที่กำลังพูดกับตัวเอง มากกว่าจะพูดให้คนอื่นฟัง  เพียงคนอยู่ข้างกายได้ยินชัดเจน

             หญิงสาวไม่ตอบในทันที จ้องมองลงไปในเงามืด ราวค้นหาอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันเจอ…ไม่ว่าจะเป็นเงาอดีต หรือเงาใจในอนาคต สายลมกลางคืนพัดพาเรือนผมพลิ้วไสว  แต่เธอไม่สนใจ

            “ฉันอ่านภาษาดาวบนฟ้าไม่ออกหรอกค่ะ แต่คิดว่าท้องฟ้ากำลังร้องไห้ ซ่อนน้ำตาหลังกลุ่มเมฆ มากกว่าตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะ”

             “ภาษาดวงดาวเป็นภาษาสากล   มันอาจหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้มแย้ม เศร้าโศก ขึ้นอยู่กับมุมมอง และอารมณ์ของคนที่มอง  ผมคิดว่าอย่างนี้นะครับ”

            “มันอาจหัวเราะกับคนอื่น แต่กำลังร้องไห้กับฉัน”   หญิงสาวพูดเน้นเสียงช้า ๆ หันมามองคนข้างกายด้วยสายตาเป็นประกาย   “บางที…ก็กับคุณด้วย”

            “ทำไมต้องบางที และทำไมต้องเป็นผม ล่ะครับ”

            สะพานข้ามจันทร์โค้งจากเงามืดสองฝากผ่านกลางจันทร์ เหนือประทีปโคมไฟแห่งชีวิตหลากหลาย ชีวิตที่มีทั้งสุขทุกข์ปนกันไป บางคนอาจหลับไหล บางคนอาจยังตื่นอยู่ แต่บางทีอาจมีเพียงสองชีวิต ซึ่งชิดกันเกาะราวสะพานแห่งนี้เท่านั้น ที่ฉายแสงแห่งชีวิตสว่างที่สุดในเวลานี้
แสงสว่างจะกระจ่างชัดที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ในความมืดที่สุด

             "ข้างหลังของคุณคืออะไร"  ชายหนุ่มตัดสินใจถามคำถามสำคัญ

             "ตวามตาย ฉันกำลังจะตาย"    เสียงของหญิงสาวราบเรียบเหลือเกิน ราวกับไม่สนใจใยดีชีวิตของตนเอง   "แล้วคุณล่ะคะ ข้างหลังของคุณคืออะไร"

            "ความตาย ผมกำลังจะตาย"  

             หลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างเงียบไป ไม่มีใครสนใจเบื้องหลังของแต่ละฝ่าย ในเมื่อเบื้องหลังของแต่ละคนตำมิดพอกัน ก็คงไม่ต้องซักถาม ถึงรายละเอียดอันน่าสะเทือนใจ

             “เราแต่งงานกันไหมครับ”  จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา  หญิงสาวมีสีหน้ายิ้มเล็กน้อย แต่ไม่มีความรู้สึกแปลกใจเลยกับคำพูดรวบรัดของอีกฝ่าย เธอหันมามอง ถามด้วยรอยยิ้ม

             “เร็วไปไหมคะเรารู้จักกันนานเท่าไรแล้ว”

             “ประมาณยี่สิบกว่านาที”

            “ยี่สิบกว่านาที” หญิงสาวทวนคำ เงาตาฉายแววครุ่นคิดลึกซึ้ง  “ที่จริงความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและก้าวข้ามเวลาอยู่แล้ว บางคนรู้จักกันเป็นสิบปี อยู่ด้วยกันสิบปี ยังแทบไม่รู้อะไรกันเลย บางคนรู้จักกันวันเดียวก็เหมือนสิบปี แต่อะไรทำให้คุณคิดว่าเราจะแต่งงานกันได้”

             “เพราะคุณเดินมาจากความมืด เหมือนผมไง”

             หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ เป็นเสียงหัวเราะที่มีความสุขเศร้า ปนอยู่ในน้ำเสียง

             “คุณรักฉัน?”

             “ผมแน่ใจที่สุด”

             “อะไรทำให้คุณแน่ใจ”

             “คุณดูชีวิตด้านล่างโน้น”  ชายหนุ่มชี้มือ ไปในความมืดด้านล่าง หมู่ตึกบ้านเรือน สร้างดารารายโรยประดับดินแข่งดาวบนฟ้าไกล..ชีวิตมากมายหลายหลากกำลังโลดแล่น หลับไหล  ไปในเส้นทางของตัวเอง  

             “มีถนนไม่รู้กี่สาย มีคนไม่รู้กี่คน มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ต่างคนต่างเดินไปตามทางที่มุ่งมั่นของตนเอง หรือเส้นทางที่คนอื่นขีดเอาไว้ เขาเหล่านั้นอาจเหมือนคนกำลังเลี้ยวหัวมุมถนน โดยที่ไม่รู้แน่ขัดว่าอะไรรออยู่….อาจเป็นความสำเร็จ หรือความล้มเหลว ความสุขหรือความเศร้า แต่คุณกับผมต่างเดินมาพบกัน…จุดหมายเดียวกัน เราเหมือนคนกำลังเดินเข้าหากระจกเงา ต่างเหมือนเป็นเงาของอีกฝ่าย…..คงเป็นคำตอบได้แล้วใช่ไหม”

             “คุณจะเอาอะไรเป็นของหมั้นล่ะคะ”   น้ำเสียงของหญิงสาวมีรอยยิ้ม

             “ดวงจันทร์พอไหม”

             “ต้องรวมดาวทุกดวงบนท้องฟ้าด้วย”

             “เลย...ผมแถมดวงจันทร์ และเงาดวงจันทร์ข้างล่าง ให้อีกด้วยก็ได้  คุณเห็นไหม เงาจันทร์ในผืนน้ำด้านล่าง ถึงมันจะเป็นเพียงเงาจันทร์ แต่มันก็คือดวงจันทร์  เราสามารถบินไปหามันได้”

             ทั้งสองหัวเราะให้แก่กันเป็นครั้งแรก  หญิงสาวยกมือเสยผมพลิ้วไสวปรกหน้าจากแรงลมให้เปิดหน้า เพื่อสบตากับจันทราและหมู่ดวงดาว ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีดาวเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง เป็นดาวที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น

            “ตกลงค่ะ…ฉันแต่งงานกับคุณ”

             “คุณสัญญาแล้วนะ ห้ามกลับคำ”

             ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับดวงดาวและสายลมที่ร่วมเป็นสักขีพยาน  อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นการตอบรับ

             “คุณรู้ไหม นี่เป็นช่วงที่ดี และงดงามที่สุดของผม ” เสียงของชายหนุ่มมีความสุขเต็มที่

             “คุณคะ...เรายังไม่รู้กระทั่งชื่อกันและกันเลย”

             “ไม่สำคัญหรอกครับ…”    ชายหนุ่มหมายความตามคำพูดจริง ๆ   คนเราถ้าจะรักกันด้วยใจ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับคำว่า รักกัน

             “ฉันเริ่มอ่านภาษาดวงดวง ดวงจันทร์ และท้องฟ้า ออกแล้วค่ะ”

             “อ่านให้ผมฟังสักนิด”

             “บรรทัดเดียวนะคะ”

             “ครับ”

             “ฉันรักคุณค่ะ”

             ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองมีปีกแห่งรักสวยงามและมีความหมายงอกเงยจากหัวใจ  กำลังกระพือปีกเพื่อโบยบิน ขึ้นไปบนฟากฟ้า ด้วยจิตใจปลาบปลึ้มพองโต ลอยไปไล่เก็บดวงดาว เรียงร้อยเป็นมงกุฎดาว มาประดับใจเจ้าของคำพูด ทำไมคำพูดไม่กี่พยางค์จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่เหลือเกิน...รัก.. อาจเป็นเพราะชั่วชีวิตของคนบางคนไม่เคยได้รับ คำนี้ จากใจจริง ๆ ของคนพูดเลย บางคนไม่เคยแม้แต่จะได้รับ…ไม่ว่าจะออกมาจากใจจริง หรือไม่ก็ตาม กระทั่งบางคนไม่เคย แม้แต่จะมีโอกาสบอกคำ ๆ นี้ให้แก่ผู้อื่น

           อาจเป็นประโยคยิ่งใหญ่ที่สุด…เป็นที่ต้องการที่สุด งดงามที่สุด  ของมนุษย์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรืออนาคต และอาจเป็นประโยคเริ่มต้นของความสุขความเศร้าทั้งมวลเช่นกัน

          ทั้งคู่สบตากัน..ยกมือเกี่ยวก้อยกัน

         “คุณแน่ใจนะคะ”

         ชายหนุ่มถอนใจ  นัยน์ตามีแววแห่งความสุขล้ำลึกเช่นเดียวกับอีกฝ่ายหนึ่

          “ข้างหลังของผมคือความมืด ข้างหน้าก็มีความมืดรออยู่ ไม่มีครั้งไหนที่แน่ใจมากกว่าครั้งนี้  เราจะบินไปหาดวงจันทร์ด้วยกัน  ที่รัก”

           “เช่นกันค่ะ การเดินทางครั้งนี้อย่างไรก็ไม่เงียบเหงาเหมือนที่กังวลแต่แรกนะคะ  ดวงจันทร์ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า หรือเป็นเงาจันทร์ในผืนน้ำ จันทร์ก็คือจันทร์  เราจะบินไปด้วยกันนะคะ”




             บนสะพานข้ามดาว ไม่มีเงาของคนทั้งสองอีกแล้ว   เงาจันทร์สั่นพร่าไหว   คืนที่ฟากหม่นดวงดาวหมอง…   สายลมพัดหอบกระไอน้ำตาในเสียงราวคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการ

             ชายหนุ่ม…หญิงสาว ต่างคนต่างเดิน…ต่างทางต่างวิถี ..มาพบกัน..รู้จักกันกลางสะพานข้ามดาว

            ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืด

            บัดนี้มือข้างหนึ่งทั้งคู่เกาะกุมกันไว้มั่น มืออีกข้างหนึ่งกางอ้าออกราวมีปีกที่มองไม่เห็นติดอยู่  ทิ้งร่างดำดิ่งลงเงาจันทร์ในพื้นน้ำ ที่รอคอยอยู่ข้างล่างด้วยความเต็มใจ  เพียงแต่ว่ าขณะที่ร่างของทั้งสองคนกระทบผิวน้ำ  ผืนน้ำไม่มีการกระจายออกเป็นวงกว้างแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดร่วงหล่นลงไป   เงาจันทร์เงาใจไม่ว่าอยู่แห่งหนใดก็ตาม ปีกแห่งรัก ย่อมสามารถโบยบินไปถึง

           ฟากฟ้ามีดาวประดับเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวงแล้ว และดวงดาวทั้งสองดวง ประดับดวงจันทร์ ให้มีรอยยิ้มของดวงจันทร์


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่