เราอยากเล่าน่ะ เผื่อเป็นไอเดียดีๆ ให้ใครบางคนได้บ้าง
เมื่อก่อนเรามีปัญหากับเจ้านาย เพราะนิสัยที่ต่างกัน เราเป็น HR ที่มีนิสัยเงียบๆ ส่วนหัวหน้าเป็นคนชอบพูด และอารมณ์เขาก็ขึ้นๆ ลงๆ อาจเพราะเขาเป็นผู้หญิงโสดที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทอง หรือเพราะเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว (แต่รุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันบอกว่าเขาเป็นคนแบบนี้ ขี้วีน ขี้เหวี่ยง ใจร้อน ชอบระแวงลูกน้อง กลัวคนอื่นจะมาตำหนิแผนกตัวเอง เยอะ บลาๆๆ) ส่วนคนอื่นๆ ในห้องมีนิสัยเฮฮาและพูดมาก เราเป็นเด็กใหม่ พูดน้อยที่สุดในห้องแล้ว ดังนั้นพอเราเป็นเงียบๆ ดูเคร่งเครียด ชอบนั่งติดโต๊ะ(เพราะมันไม่มีธุระที่เราจะต้องลุกออกไปไหน) และไม่ค่อยคุยกับหัวหน้า(ปกติลูกน้องก็ไม่ค่อยคุยกับหัวหน้าอยู่แล้ว ยกเว้นบางคนที่สนิทกับหัวหน้า) หัวหน้าก็จะมึนตึงกับเรามากเป็นพิเศษ พอเราทำผิดขึ้นมาก็จะโดนด่าหนักกว่าคนอื่นๆ เวลาเราไหว้ทักทายเขา เขาก็รับไหว้แต่ไม่มองเรา พอเราเอางานไปส่งที่โต๊ะเขา เขาก็ไม่พูดหรือหันมามองเรา และบางทีเวลาเขาจะสั่งงานเรา เขาก็ไม่พูดกับเราโดยตรง แต่ไปพูดผ่านลูกพี่เรา ให้ลูกพี่มาบอกเราแทน(เรามีรุ่นพี่ที่เป็นเหมือนผู้นำเราอีกที เรียกว่าลูกพี่ เขาเป็น HR เหมือนกัน แต่จะทำงานต่างจากเรา ตรงที่เขาเป็นคนไม่นั่งติดโต๊ะเหมือนเรา เพราะเขาต้องออกไปประสานโน่นนี่กับคนอื่น งานเขากับงานเรามันคนละแบบ แต่หัวหน้าอยากให้เราทำตัวเหมือนลูกพี่คนนี้ เราทำไม่ค่อยได้หรอก) สรุปว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหัวหน้ามันไม่ราบรื่น เขาคิดว่าเราทำตัวไม่สมกับเป็น HR ไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อคนอื่น ไม่ค่อยมีน้ำใจต่อคนอื่น ไม่กระฉับกระเฉง ทำงานไม่สมกับเป็นคนที่เรียนได้เกียรตินิยม ฯลฯ ประมาณนี้ ตอนนั้เราเครียดมาก อยากลาออกเป็นร้อยๆ ครั้ง และเราเป็นคนที่พอเครียดแล้วก็จะยิ่งทำตัวเงียบ ปกติเราก็ค่อนข้างเครียดอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องงานหรือเรื่องหัวหน้าหรอก แต่เรากำลังเรียน ป.ตรี ใบที่ 2 และอยากสอบเข้า ป.โท ด้วย เราต้องอ่านหนังสือเยอะ พักผ่อนน้อย มันเครียด และทำให้รู้สึกง่วงนอนในที่ทำงานด้วย
วันหนึ่งเราไปพบจิตแพทย์ด้วยเรื่องงาน เราได้ยาคลายกังวลมากิน และจิตแพทย์แนะนำเราว่าเราควรสื่อสารกับหัวหน้าให้มากขึ้น ถ้ามีปัญหาอะไรเราควรพูดออกไปตรงๆ กับหัวหน้า หลังจากที่เราไปพบจิตแพทย์แล้ว เรากลับมาทำงาน แล้วเราก็เผลอทำอะไรผิดอีกแล้ว ทีนี้เราโดนหัวหน้าเรียกเข้าห้องดำเลย เขาก็ตำหนิเรา ทั้งเรื่องที่เราทำผิด และเรื่องนิสัยเราที่เขาไม่ชอบ คือขุดมาพูดหมด ตอนนั้นเราจึงพูดกับหัวหน้าไปว่า เราคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงาน HR (เหมือนเราจะสื่อว่า เราคงทำงานอยู่ต่อได้อีกไม่นาน) หัวหน้าถึงได้ใจเย็นลงบ้าง เขาก็พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วสุดท้ายเขาก็บอกเราว่า อย่าทำผิดเรื่องนี้ซ้ำอีก (มันเป็นความผิดเรื่องเดิมที่เราทำผิดมามากกว่า 1 ครั้งด้วยล่ะ) ส่วนเรื่องนิสัยส่วนตัวของเรา เขาจะไม่พูดและไม่ยุ่งอีกแล้ว จากนั้นก็ออกจากห้องดำ กลับมาทำงานต่อ
หลังจากที่เราโดนเข้าห้องดำไปไม่กี่วัน เราก็ลากลับบ้านเราไป 3-4 วัน กลับไปเจอครอบครัว เราก็เล่าเรื่องหัวหน้าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็ให้คำแนะนำดีๆ มาหลายอย่าง พ่อเราเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่แล้ว พ่อก็เล่าให้เราฟังถึงเรื่องความคิดและอารมณ์ของคนที่เป็นหัวหน้าและต้องมีลูกน้อง ส่วนแม่ที่ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน(แต่ก็เคยทำงานนอกบ้านก่อนจะแต่งงานกับพ่อ) ก็แนะนำเราว่า ถ้าหัวหน้าตำหนิหรือว่าอะไรเรา ให้เราพูดตอบโต้เขาไปเลย เพราะแทบทุกคนจะมีความเกรงใจคนที่กล้าพูดกล้าตอบโต้ ส่วนเราเป็นคนเงียบๆ หัวหน้าถึงได้ทำกับเราแบบนี้ ขอให้เราอดทน สักวันนึงหัวหน้าจะรู้สึกผิดและละอายใจเองที่ทำกับเราแบบนั้น (มันก็จริงนะ เท่าที่เราสังเกตมา 20 กว่าปี คนที่แรงๆ กล้าๆ คนอื่นจะเกรงใจและไม่ค่อยกล้าทำอะไรเขา แต่คนหงิมๆ จะโดนแกล้งเยอะ) และแม่ก็พาเราไปใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้หัวหน้าเรา ส่วนเราก็มีความคิดว่าจะซื้อของกลับไปฝากหัวหน้าสักหน่อย ตอนนั้นเราคิดขำๆว่า ซื้อไปเซ่นไหว้เขา 555 หัวหน้าจะได้คิดว่า เราให้ความสำคัญกับเขา ไม่ได้เย็นชาหรือรู้สึกเกลียดชังเขา
พอกลับไปทำงาน เราก็มีของไปฝากคนที่ทำงาน (ปกติเราจะมีของฝากทุกครั้งหลังจากกลับบ้าน เป็นของกิน ซื้อมาให้กินรวมๆกัน ไม่ได้ซื้อเพื่อฝากใครเป็นพิเศษ) แต่ครั้งนี้เรามีของฝากสำหรับหัวหน้าแยกต่างหากด้วย เราก็เอาไปให้หัวหน้า บอกว่าเป็นของฝากจากเราและครอบครัว หัวหน้ายิ้มเลย บอกขอบใจและถามว่ากลับบ้านสนุกไหม และหลังจากนั้นหัวหน้าก็ปฏิบัติต่อเราดีขึ้น มึนตึงกับเราน้อยลง เป็นมิตรกับเรามากขึ้น จนแทบจะกลับไปเป็นปกติเหมือนช่วงแรกๆ ที่เราเข้ามาทำงาน ส่วนเราก็ปรับตัวเอง มีนิสัยพูดมากขึ้น แซวคนอื่นมากขึ้น จนลูกพี่เราพูดว่าเราชอบบ่นงุ้งงิ้งๆ ทั้งวัน (แต่เราก็ไม่ได้พูดมากเท่ากับคนอื่นๆ ในห้องนะ แค่พูดมากขึ้นกว่าเดิม ยิ้มและหัวเราะมากกว่าเดิม) เรื่องที่เราชอบนั่งติดโต๊ะ เราก็ยังเป็นอยู่ แต่เราพยายามลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น และก็ถามลูกพี่บ่อยขึ้นว่ามีงานอะไรให้เราช่วยไหม(ซึ่งแทบทุกครั้งเขาก็จะตอบว่าไม่มี แต่ก็ถือว่าเราได้ถามแล้ว) เราก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนไปได้ เพราะคำแนะนำของพ่อแม่ หรือเพราะยาของจิตแพทย์ หรือเพราะเรากินกาแฟทุกวัน(เมื่อก่อนเราแทบไม่กินกาแฟเลย หรือกินกาแฟซองธรรมดาๆที่ใส่ทั้งครีมและน้ำตาล กินเพื่อแก้ง่วงตอนเข้าประชุมหรือระหว่างทำงานเท่านั้น แต่ตอนนี้สามารถกินกาแฟดำได้ และก็กินทุกวันด้วย เรารู้สึกว่ามันดีกว่ากินกาแฟทั่วไปนะ) แต่บรรยากาศสำหรับเราตอนนี้มันดีขึ้นแล้ว
ส่วนเรื่องเรียน ป.ตรี ใบที่ 2 เราเลิกเรียนไปแล้ว ปลดภาระตัวเอง จะได้เครียดน้อยลง มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ส่วนเรื่องอยากเรียน ป.โท ก็ค่อยๆ อ่านหนังสือไป ไม่ต้องเคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น จะสอบเข้าได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ เราเคยถามพ่อว่า ถ้าทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จะไหวไหมเนี่ย มันต้องเครียดมากแน่ๆ พ่อบอกว่า ถ้าทำทั้ง 2 อย่างไม่ไหวก็อย่าเรียน เลือกงานไว้ก่อน แต่อย่าลาออกจากงานเพื่อมาเรียนอย่างเดียว เอวัง
เรื่องของเราก็จบลงประมาณนี้ เราไม่หวังอะไรมากมาย เท่านี้ก็พอใจแล้ว เราขอเพียงว่า ขอให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปนานๆ ขอให้เราร่าเริงแบบนี้ไปนานๆ และขอให้หัวหน้าเป็นมิตรกับเราแบบนี้ต่อไปนานๆ ขออย่าให้ต่างคนต่างกลับไปมึนตึงใส่กันอีกเลย มันแย่มาก ทรมานมาก แค่นั้นก็พอแล้ว เราเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อบอกว่า หัวหน้าเราคงมีนิสัยขี้เหงาและชอบให้คนเอาใจ ส่วนแม่ก็พูดว่าต่อจากนี้อะไรๆ ก็คงดีขึ้นแล้วล่ะ
ใครอ่านจบ ก็ขอบคุณที่อ่านจบ ใครมีปัญหากับหัวหน้า ก็ลองเอาวิธีเราไปใช้ได้ ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอก คิดว่าตัวเองคงต้องลาออกจากงานซะแล้ว แต่มันก็ได้ผล
บ่นเรื่องมีปัญหากับหัวหน้ามาหลายกระทู้ ในที่สุดตอนนี้เรากับหัวหน้าก็ดีกันแล้ว ด้วยวิธีที่ไม่ยากนัก
เมื่อก่อนเรามีปัญหากับเจ้านาย เพราะนิสัยที่ต่างกัน เราเป็น HR ที่มีนิสัยเงียบๆ ส่วนหัวหน้าเป็นคนชอบพูด และอารมณ์เขาก็ขึ้นๆ ลงๆ อาจเพราะเขาเป็นผู้หญิงโสดที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทอง หรือเพราะเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว (แต่รุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันบอกว่าเขาเป็นคนแบบนี้ ขี้วีน ขี้เหวี่ยง ใจร้อน ชอบระแวงลูกน้อง กลัวคนอื่นจะมาตำหนิแผนกตัวเอง เยอะ บลาๆๆ) ส่วนคนอื่นๆ ในห้องมีนิสัยเฮฮาและพูดมาก เราเป็นเด็กใหม่ พูดน้อยที่สุดในห้องแล้ว ดังนั้นพอเราเป็นเงียบๆ ดูเคร่งเครียด ชอบนั่งติดโต๊ะ(เพราะมันไม่มีธุระที่เราจะต้องลุกออกไปไหน) และไม่ค่อยคุยกับหัวหน้า(ปกติลูกน้องก็ไม่ค่อยคุยกับหัวหน้าอยู่แล้ว ยกเว้นบางคนที่สนิทกับหัวหน้า) หัวหน้าก็จะมึนตึงกับเรามากเป็นพิเศษ พอเราทำผิดขึ้นมาก็จะโดนด่าหนักกว่าคนอื่นๆ เวลาเราไหว้ทักทายเขา เขาก็รับไหว้แต่ไม่มองเรา พอเราเอางานไปส่งที่โต๊ะเขา เขาก็ไม่พูดหรือหันมามองเรา และบางทีเวลาเขาจะสั่งงานเรา เขาก็ไม่พูดกับเราโดยตรง แต่ไปพูดผ่านลูกพี่เรา ให้ลูกพี่มาบอกเราแทน(เรามีรุ่นพี่ที่เป็นเหมือนผู้นำเราอีกที เรียกว่าลูกพี่ เขาเป็น HR เหมือนกัน แต่จะทำงานต่างจากเรา ตรงที่เขาเป็นคนไม่นั่งติดโต๊ะเหมือนเรา เพราะเขาต้องออกไปประสานโน่นนี่กับคนอื่น งานเขากับงานเรามันคนละแบบ แต่หัวหน้าอยากให้เราทำตัวเหมือนลูกพี่คนนี้ เราทำไม่ค่อยได้หรอก) สรุปว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหัวหน้ามันไม่ราบรื่น เขาคิดว่าเราทำตัวไม่สมกับเป็น HR ไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อคนอื่น ไม่ค่อยมีน้ำใจต่อคนอื่น ไม่กระฉับกระเฉง ทำงานไม่สมกับเป็นคนที่เรียนได้เกียรตินิยม ฯลฯ ประมาณนี้ ตอนนั้เราเครียดมาก อยากลาออกเป็นร้อยๆ ครั้ง และเราเป็นคนที่พอเครียดแล้วก็จะยิ่งทำตัวเงียบ ปกติเราก็ค่อนข้างเครียดอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องงานหรือเรื่องหัวหน้าหรอก แต่เรากำลังเรียน ป.ตรี ใบที่ 2 และอยากสอบเข้า ป.โท ด้วย เราต้องอ่านหนังสือเยอะ พักผ่อนน้อย มันเครียด และทำให้รู้สึกง่วงนอนในที่ทำงานด้วย
วันหนึ่งเราไปพบจิตแพทย์ด้วยเรื่องงาน เราได้ยาคลายกังวลมากิน และจิตแพทย์แนะนำเราว่าเราควรสื่อสารกับหัวหน้าให้มากขึ้น ถ้ามีปัญหาอะไรเราควรพูดออกไปตรงๆ กับหัวหน้า หลังจากที่เราไปพบจิตแพทย์แล้ว เรากลับมาทำงาน แล้วเราก็เผลอทำอะไรผิดอีกแล้ว ทีนี้เราโดนหัวหน้าเรียกเข้าห้องดำเลย เขาก็ตำหนิเรา ทั้งเรื่องที่เราทำผิด และเรื่องนิสัยเราที่เขาไม่ชอบ คือขุดมาพูดหมด ตอนนั้นเราจึงพูดกับหัวหน้าไปว่า เราคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงาน HR (เหมือนเราจะสื่อว่า เราคงทำงานอยู่ต่อได้อีกไม่นาน) หัวหน้าถึงได้ใจเย็นลงบ้าง เขาก็พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วสุดท้ายเขาก็บอกเราว่า อย่าทำผิดเรื่องนี้ซ้ำอีก (มันเป็นความผิดเรื่องเดิมที่เราทำผิดมามากกว่า 1 ครั้งด้วยล่ะ) ส่วนเรื่องนิสัยส่วนตัวของเรา เขาจะไม่พูดและไม่ยุ่งอีกแล้ว จากนั้นก็ออกจากห้องดำ กลับมาทำงานต่อ
หลังจากที่เราโดนเข้าห้องดำไปไม่กี่วัน เราก็ลากลับบ้านเราไป 3-4 วัน กลับไปเจอครอบครัว เราก็เล่าเรื่องหัวหน้าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็ให้คำแนะนำดีๆ มาหลายอย่าง พ่อเราเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่แล้ว พ่อก็เล่าให้เราฟังถึงเรื่องความคิดและอารมณ์ของคนที่เป็นหัวหน้าและต้องมีลูกน้อง ส่วนแม่ที่ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน(แต่ก็เคยทำงานนอกบ้านก่อนจะแต่งงานกับพ่อ) ก็แนะนำเราว่า ถ้าหัวหน้าตำหนิหรือว่าอะไรเรา ให้เราพูดตอบโต้เขาไปเลย เพราะแทบทุกคนจะมีความเกรงใจคนที่กล้าพูดกล้าตอบโต้ ส่วนเราเป็นคนเงียบๆ หัวหน้าถึงได้ทำกับเราแบบนี้ ขอให้เราอดทน สักวันนึงหัวหน้าจะรู้สึกผิดและละอายใจเองที่ทำกับเราแบบนั้น (มันก็จริงนะ เท่าที่เราสังเกตมา 20 กว่าปี คนที่แรงๆ กล้าๆ คนอื่นจะเกรงใจและไม่ค่อยกล้าทำอะไรเขา แต่คนหงิมๆ จะโดนแกล้งเยอะ) และแม่ก็พาเราไปใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้หัวหน้าเรา ส่วนเราก็มีความคิดว่าจะซื้อของกลับไปฝากหัวหน้าสักหน่อย ตอนนั้นเราคิดขำๆว่า ซื้อไปเซ่นไหว้เขา 555 หัวหน้าจะได้คิดว่า เราให้ความสำคัญกับเขา ไม่ได้เย็นชาหรือรู้สึกเกลียดชังเขา
พอกลับไปทำงาน เราก็มีของไปฝากคนที่ทำงาน (ปกติเราจะมีของฝากทุกครั้งหลังจากกลับบ้าน เป็นของกิน ซื้อมาให้กินรวมๆกัน ไม่ได้ซื้อเพื่อฝากใครเป็นพิเศษ) แต่ครั้งนี้เรามีของฝากสำหรับหัวหน้าแยกต่างหากด้วย เราก็เอาไปให้หัวหน้า บอกว่าเป็นของฝากจากเราและครอบครัว หัวหน้ายิ้มเลย บอกขอบใจและถามว่ากลับบ้านสนุกไหม และหลังจากนั้นหัวหน้าก็ปฏิบัติต่อเราดีขึ้น มึนตึงกับเราน้อยลง เป็นมิตรกับเรามากขึ้น จนแทบจะกลับไปเป็นปกติเหมือนช่วงแรกๆ ที่เราเข้ามาทำงาน ส่วนเราก็ปรับตัวเอง มีนิสัยพูดมากขึ้น แซวคนอื่นมากขึ้น จนลูกพี่เราพูดว่าเราชอบบ่นงุ้งงิ้งๆ ทั้งวัน (แต่เราก็ไม่ได้พูดมากเท่ากับคนอื่นๆ ในห้องนะ แค่พูดมากขึ้นกว่าเดิม ยิ้มและหัวเราะมากกว่าเดิม) เรื่องที่เราชอบนั่งติดโต๊ะ เราก็ยังเป็นอยู่ แต่เราพยายามลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น และก็ถามลูกพี่บ่อยขึ้นว่ามีงานอะไรให้เราช่วยไหม(ซึ่งแทบทุกครั้งเขาก็จะตอบว่าไม่มี แต่ก็ถือว่าเราได้ถามแล้ว) เราก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนไปได้ เพราะคำแนะนำของพ่อแม่ หรือเพราะยาของจิตแพทย์ หรือเพราะเรากินกาแฟทุกวัน(เมื่อก่อนเราแทบไม่กินกาแฟเลย หรือกินกาแฟซองธรรมดาๆที่ใส่ทั้งครีมและน้ำตาล กินเพื่อแก้ง่วงตอนเข้าประชุมหรือระหว่างทำงานเท่านั้น แต่ตอนนี้สามารถกินกาแฟดำได้ และก็กินทุกวันด้วย เรารู้สึกว่ามันดีกว่ากินกาแฟทั่วไปนะ) แต่บรรยากาศสำหรับเราตอนนี้มันดีขึ้นแล้ว
ส่วนเรื่องเรียน ป.ตรี ใบที่ 2 เราเลิกเรียนไปแล้ว ปลดภาระตัวเอง จะได้เครียดน้อยลง มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ส่วนเรื่องอยากเรียน ป.โท ก็ค่อยๆ อ่านหนังสือไป ไม่ต้องเคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น จะสอบเข้าได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ เราเคยถามพ่อว่า ถ้าทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จะไหวไหมเนี่ย มันต้องเครียดมากแน่ๆ พ่อบอกว่า ถ้าทำทั้ง 2 อย่างไม่ไหวก็อย่าเรียน เลือกงานไว้ก่อน แต่อย่าลาออกจากงานเพื่อมาเรียนอย่างเดียว เอวัง
เรื่องของเราก็จบลงประมาณนี้ เราไม่หวังอะไรมากมาย เท่านี้ก็พอใจแล้ว เราขอเพียงว่า ขอให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปนานๆ ขอให้เราร่าเริงแบบนี้ไปนานๆ และขอให้หัวหน้าเป็นมิตรกับเราแบบนี้ต่อไปนานๆ ขออย่าให้ต่างคนต่างกลับไปมึนตึงใส่กันอีกเลย มันแย่มาก ทรมานมาก แค่นั้นก็พอแล้ว เราเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อบอกว่า หัวหน้าเราคงมีนิสัยขี้เหงาและชอบให้คนเอาใจ ส่วนแม่ก็พูดว่าต่อจากนี้อะไรๆ ก็คงดีขึ้นแล้วล่ะ
ใครอ่านจบ ก็ขอบคุณที่อ่านจบ ใครมีปัญหากับหัวหน้า ก็ลองเอาวิธีเราไปใช้ได้ ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอก คิดว่าตัวเองคงต้องลาออกจากงานซะแล้ว แต่มันก็ได้ผล