http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3842
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่เปลี่ยนมือเจ้าของใหม่ จากกลุ่มบุรพชัยศรี มาเป็นตระกูลวิทยาธร และเปลี่ยนชื่อจากบริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ METRO มาเป็น บริษัทพริ้นซิเพิล แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC มีตัวเลขขาดทุนสุทธิต่อเนื่องมา 3 ปีต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นยังยืนอยู่เหนือ 4.50 บาท ไม่ยอมลง แม้ว่ายังไม่สามารถหาค่าพี/อีได้ แถมยังมีขาดทุนสะสมอีกกว่า 800 ล้านบาทให้เห็น
เหตุผลมีสตอรี่ที่หลายคนเชื่อว่าจะทำให้อนาคตของบริษัทนี้ สวยหรู
ภาพความหลังในอดีตครั้งที่ตระกูลวิทยาธร นำโดยนายสาธิต วิทยาธร เข้าฟื้นฟูกิจการของโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่เคยมีปัญหาการเงินรุนแรงในอดีตยุคแรก จนฟื้นคืนมีกำไร แล้วนำเข้าจดทะเบียนในตลาดก่อนขายทิ้งให้กลุ่มปราสาททองโอสถ หอบกำไรกลับไปหลายเท่า ยังมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเชื่อมั่นว่าตระกูลวิทยาธรจะทำได้อีกครั้ง ในลักษณะประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
จริงหรือไม่ ยากจะสรุปฟันธงได้ในยามนี้ จนกว่าผลประกอบการจะยืนยัน ซึ่งต้องการเวลาพอสมควร เนื่องจากกลุ่มตระกูลวิทยาธรไม่ได้เข้ามาเทกโอเวอร์เฉยๆเพื่อสานต่อธุรกิจเดิม แต่ขับเคลื่อนย้ายธุรกิจจากพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลท์แคร์ อันเป็นงานถนัดที่เคยสร้างตำนานมาแล้ว
แผนเคลื่อนย้ายธุรกิจเดินหน้ามาตั้งแต่ 2 ปีก่อน โดยเริ่มต้นด้วยการโตทางลัด ซื้อกิจการโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งพร้อมกัน เริ่มต้นจากต่างจังหวัด แล้วเคลื่อนย้ายมายังปริมณฑลของ กทม.จนล่าสุดมีกลุ่มโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่ายที่เปิดให้บริการแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลปากน้ำโพ 1 โรงพยาบาลปากน้ำโพ 2 จังหวัดนครสวรรค์ โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลสหเวช จังหวัดพิจิตร และโรงพยาบาลพริ้นซ์ ฮอสพิทอล สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ และเตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ฮอสพิทอล อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และโรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปี 2562
โรงพยาบาลเครือข่ายนี้ยังเป็นแค่เรื่มต้น เพราะ PRINC ระบุในแผนธุรกิจว่าจะเดินหน้าขยายโรงพยาบาลใหม่ 20 แห่ง ภายใน 5 ปี กับงบประมาณการลงทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการลงทุนในโรงพยาบาลขนาด 150 เตียง จำนวน 5 แห่ง มูลค่าการลงทุนแห่งละประมาณ 1,500 ล้านบาท และการลงทุนในโรงพยาบาลขนาด 59 เตียง จำนวน 15 แห่ง มูลค่าการลงทุนแห่งละประมาณ 300 ล้านบาท
แผนการนี้ หากบรรลุ จะกลายเป็นกลุ่มโฮลดิ้งด้านโรงพยาบาลที่มีขนาดเตียงรวม กว่า 1,640 เตียง เป็นระดับหัวแถวเลยทีเดียว
เนื่องจากการเติบโตทางลัดเช่นนี้ มีต้นทุนสูงกว่าปกติ แต่ผู้บริหาร PRINC ระบุว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะ คาดว่าจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินประมาณ 40% เท่านั้น ส่วนที่เหลือ 50% จะมาจากการร่วมลงทุนจากพันธมิตรต่างชาติ ที่มีโนว์ฮาวด้านเฮลท์แคร์
มองจากแผนธุรกิจที่เอ่ยมา จะเห็นได้ชัดว่า PRINC ต้องพึ่งพาวิศวกรรมการเงินมากเป็นพิเศษในการระดมทุนกับพันธมิตรในบริษัทย่อยใต้ร่มธง หรือในบริษัทแม่ในหลายปีนี้
นั่นหมายความว่า บนเส้นทางของการสร้างสินทรัพย์ให้เติบโตจากนี้ไป ความผันผวนของราคาหุ้นจะต้องเกิดขึ้น ทั้งขาขึ้นและขาลง ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ขวัญอ่อน
มองในด้านวิสัยทัศน์ การเปลี่ยนจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบ "สร้างเพื่อให้เช่า" ที่ METRO ทำมาแต่เดิม มีข้อสรุปว่า คืนผลตอบแทนต่ำและช้าเกินไป การเคลื่อนย้ายไปสู่ธุรกิจใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อของเดิมบางส่วนน่าจะราบรื่นดี หลังจากพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปแล้ว
ในธุรกิจเดิมที่ตกค้างมาถึงปัจจุบัน PRINC เป็นเจ้าของโครงการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ โรงแรมแมริออท เอ็คเซ็คคิวทีฟ อพาร์ทเม้นท์ สาทร วิสต้า-กรุงเทพฯ โครงการซัมเมอร์เซ้ท เอกมัยแบงค็อก มูลค่าลงทุน 2,450 ล้านบาท อาคารสำนักงานบางกอกบิสซิเนสเซ็นเตอร์ ขนาด 88 ยูนิต ที่ซอยสุขุมวิท 63 มูลค่า 510.7 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินในจังหวัดต่างๆ หลายแปลง อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ สระบุรี อ่างทอง ระยอง และอุดรธานี ที่สามารถนำที่ดินมาพัฒนาเป็นโรงพยาบาลในต่างจังหวัดได้ แต่การประกาศเข้มมุ่งใหม่ น่าจะทำให้มีการผ่องถ่ายกิจการหรือที่ดินบางรายการออกไปเพื่อเติมสภาพคล่องทางการเงิน
ในแง่วิสัยทัศน์ก้าวย่างย้ายไปสู่ธุรกิจใหม่มีเหตุผลไม่น้อย เพราะปัจจุบันธุรกิจสุขภาพ หรือ เฮลท์แคร์ ในไทยมีมูลค่ากว่า 5-6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 5-6% ของ GDP และแต่ละปีก็มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของ GDP เพราะเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น รวมถึงวิทยาการทางการแพทย์ที่เจริญก้าวล้ำ ส่งผลให้คนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ก้าวสู่ยุคสังคมผู้สูงวัย จึงมีอุปสงค์ดีมานด์มหาศาล
โรงพยาบาลเอกชนในประเทศซึ่งเป็นแกนหลักของธุรกิจสุขภาพ จึงขนาดใหญ่และเติบโตต่อเนื่องด้วย และเริ่มมีบริษัทยักษ์ใหญ่เบนเข็มเข้ามาทำธุรกิจเฮลท์แคร์ เป็นระยะๆ สะท้อนว่ายังเป็นธุรกิจขาขึ้น แต่ไม่ใช่ใครๆก็ทำได้ เพราะถือเป็นธุรกิจปราบเซียนแหล่งหนึ่ง
ล่าสุด ความคืบหน้าของแผนเคลื่อนย้ายธุรกิจก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 17 ต.ค. 2561 มีมติทำการโอนกิจการทั้งหมดของโรงพยาบาลเอกชนในภาคเหนือ ประกอบด้วย ที่ดินรวม 2 แปลง พร้อมอาคารโรงพยาบาล อาคารสนับสนุน 9 หลังและอุปกรณ์การแพทย์ ไม่มีภาระผูกพัน เนื้อที่ 11 ไร่-0-6.5 ไร่ และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงพยาบาล จำนวน 59 เตียง มูลค่า 120 ล้านบาท จากบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ - XXX จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดย PRINC จะชำระราคาเป็นเงินสด ซึ่งแหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและหรือเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
การเติมสินทรัพย์ให้ PRINC ดังกล่าวจะช่วยให้ทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกแหล่งรายได้ส่วนใหญ่โดยตรงประมาณ 75% มาจากธุรกิจการแพทย์ ไม่ต้องรับรู้ผ่านบริษัทลูก หลังจากที่ผ่านมาปล่อยให้สินทรัพย์โตเร็ว ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท กว่ารายได้ที่มีแค่ต่ำกว่าปีละ 3 พันล้านบาทมากมาย
ที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือในการประชุมครั้งเดียวกันนี้ มีมติชัดเจนว่า PRINC จะมุ่งขยายตัวในธุรกิจด้านโรงพยาบาลเป็นหลักและหยุดขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะไม่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมจากปัจจุบัน สำหรับที่ดินรอการพัฒนา หากมีโอกาสเหมาะสมและเป็นประโยชน์ บริษัทฯ พร้อมจะขายให้แก่นักลงทุนที่สนใจ เพื่อนำมาเป็นแหล่งเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจทางการแพทย์ต่อไป เว้นแต่ที่ดินรอการพัฒนาที่มีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนารองรับธุรกิจการแพทย์ในอนาคต
ทิศทางที่ชัดเจนเช่นนี้ มีมุมมอง 2 มุมคือ ไม่ให้เกิดความสับสนในเป้าหมายของบริษัท และเตรียมการย้ายกลุ่มจากกระดานกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีค่าพี/อีเฉลี่ยไม่เกิน 15 เท่า ไปอยู่ในกลุ่มสุขภาพที่มีค่าพี/อีเฉลี่ยมากกว่า 35 เท่า
หากเป็นมุมมองที่สอง ถือว่ามติบอร์ดดังกล่าวลึกล้ำเกินคาดจริงๆ เหนือชั้นตามสไตล์วิทยาธร แม้ว่า PRINC ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ไม่มีแนวโน้มว่าจะมีค่าพี/อีเอาเสียเลย (เว้นแต่ลดทุน ลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสมให้หมดเสียก่อน เพราะมีไม่มากมายแค่ 320 ล้านบาทแค่นั้น)
บรรดาแมงเม่าที่ชอบหุ้นเทิร์นอะราวด์ กระดี๊กระด๊ารับมติบอร์ดกันยกใหญ่ ฝันหวานกันเป็นทิวแถว
ติดตามคำขอย้ายกลุ่มไปเป็นหุ้นโรงพยาบาลของ PRINC ให้ดีก็แล้วกัน ว่าตลาดฯกับ ก.ล.ต.จะว่าอย่างไร
งานนี้เหนือเมฆจริงๆ
////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com
PRINC แผนลึกย้ายกลุ่ม โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade)
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่เปลี่ยนมือเจ้าของใหม่ จากกลุ่มบุรพชัยศรี มาเป็นตระกูลวิทยาธร และเปลี่ยนชื่อจากบริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ METRO มาเป็น บริษัทพริ้นซิเพิล แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC มีตัวเลขขาดทุนสุทธิต่อเนื่องมา 3 ปีต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นยังยืนอยู่เหนือ 4.50 บาท ไม่ยอมลง แม้ว่ายังไม่สามารถหาค่าพี/อีได้ แถมยังมีขาดทุนสะสมอีกกว่า 800 ล้านบาทให้เห็น
เหตุผลมีสตอรี่ที่หลายคนเชื่อว่าจะทำให้อนาคตของบริษัทนี้ สวยหรู
ภาพความหลังในอดีตครั้งที่ตระกูลวิทยาธร นำโดยนายสาธิต วิทยาธร เข้าฟื้นฟูกิจการของโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่เคยมีปัญหาการเงินรุนแรงในอดีตยุคแรก จนฟื้นคืนมีกำไร แล้วนำเข้าจดทะเบียนในตลาดก่อนขายทิ้งให้กลุ่มปราสาททองโอสถ หอบกำไรกลับไปหลายเท่า ยังมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเชื่อมั่นว่าตระกูลวิทยาธรจะทำได้อีกครั้ง ในลักษณะประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
จริงหรือไม่ ยากจะสรุปฟันธงได้ในยามนี้ จนกว่าผลประกอบการจะยืนยัน ซึ่งต้องการเวลาพอสมควร เนื่องจากกลุ่มตระกูลวิทยาธรไม่ได้เข้ามาเทกโอเวอร์เฉยๆเพื่อสานต่อธุรกิจเดิม แต่ขับเคลื่อนย้ายธุรกิจจากพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลท์แคร์ อันเป็นงานถนัดที่เคยสร้างตำนานมาแล้ว
แผนเคลื่อนย้ายธุรกิจเดินหน้ามาตั้งแต่ 2 ปีก่อน โดยเริ่มต้นด้วยการโตทางลัด ซื้อกิจการโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งพร้อมกัน เริ่มต้นจากต่างจังหวัด แล้วเคลื่อนย้ายมายังปริมณฑลของ กทม.จนล่าสุดมีกลุ่มโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่ายที่เปิดให้บริการแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลปากน้ำโพ 1 โรงพยาบาลปากน้ำโพ 2 จังหวัดนครสวรรค์ โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลสหเวช จังหวัดพิจิตร และโรงพยาบาลพริ้นซ์ ฮอสพิทอล สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ และเตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ฮอสพิทอล อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และโรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปี 2562
โรงพยาบาลเครือข่ายนี้ยังเป็นแค่เรื่มต้น เพราะ PRINC ระบุในแผนธุรกิจว่าจะเดินหน้าขยายโรงพยาบาลใหม่ 20 แห่ง ภายใน 5 ปี กับงบประมาณการลงทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการลงทุนในโรงพยาบาลขนาด 150 เตียง จำนวน 5 แห่ง มูลค่าการลงทุนแห่งละประมาณ 1,500 ล้านบาท และการลงทุนในโรงพยาบาลขนาด 59 เตียง จำนวน 15 แห่ง มูลค่าการลงทุนแห่งละประมาณ 300 ล้านบาท
แผนการนี้ หากบรรลุ จะกลายเป็นกลุ่มโฮลดิ้งด้านโรงพยาบาลที่มีขนาดเตียงรวม กว่า 1,640 เตียง เป็นระดับหัวแถวเลยทีเดียว
เนื่องจากการเติบโตทางลัดเช่นนี้ มีต้นทุนสูงกว่าปกติ แต่ผู้บริหาร PRINC ระบุว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะ คาดว่าจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินประมาณ 40% เท่านั้น ส่วนที่เหลือ 50% จะมาจากการร่วมลงทุนจากพันธมิตรต่างชาติ ที่มีโนว์ฮาวด้านเฮลท์แคร์
มองจากแผนธุรกิจที่เอ่ยมา จะเห็นได้ชัดว่า PRINC ต้องพึ่งพาวิศวกรรมการเงินมากเป็นพิเศษในการระดมทุนกับพันธมิตรในบริษัทย่อยใต้ร่มธง หรือในบริษัทแม่ในหลายปีนี้
นั่นหมายความว่า บนเส้นทางของการสร้างสินทรัพย์ให้เติบโตจากนี้ไป ความผันผวนของราคาหุ้นจะต้องเกิดขึ้น ทั้งขาขึ้นและขาลง ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ขวัญอ่อน
มองในด้านวิสัยทัศน์ การเปลี่ยนจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบ "สร้างเพื่อให้เช่า" ที่ METRO ทำมาแต่เดิม มีข้อสรุปว่า คืนผลตอบแทนต่ำและช้าเกินไป การเคลื่อนย้ายไปสู่ธุรกิจใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อของเดิมบางส่วนน่าจะราบรื่นดี หลังจากพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปแล้ว
ในธุรกิจเดิมที่ตกค้างมาถึงปัจจุบัน PRINC เป็นเจ้าของโครงการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ โรงแรมแมริออท เอ็คเซ็คคิวทีฟ อพาร์ทเม้นท์ สาทร วิสต้า-กรุงเทพฯ โครงการซัมเมอร์เซ้ท เอกมัยแบงค็อก มูลค่าลงทุน 2,450 ล้านบาท อาคารสำนักงานบางกอกบิสซิเนสเซ็นเตอร์ ขนาด 88 ยูนิต ที่ซอยสุขุมวิท 63 มูลค่า 510.7 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินในจังหวัดต่างๆ หลายแปลง อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ สระบุรี อ่างทอง ระยอง และอุดรธานี ที่สามารถนำที่ดินมาพัฒนาเป็นโรงพยาบาลในต่างจังหวัดได้ แต่การประกาศเข้มมุ่งใหม่ น่าจะทำให้มีการผ่องถ่ายกิจการหรือที่ดินบางรายการออกไปเพื่อเติมสภาพคล่องทางการเงิน
ในแง่วิสัยทัศน์ก้าวย่างย้ายไปสู่ธุรกิจใหม่มีเหตุผลไม่น้อย เพราะปัจจุบันธุรกิจสุขภาพ หรือ เฮลท์แคร์ ในไทยมีมูลค่ากว่า 5-6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 5-6% ของ GDP และแต่ละปีก็มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของ GDP เพราะเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น รวมถึงวิทยาการทางการแพทย์ที่เจริญก้าวล้ำ ส่งผลให้คนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ก้าวสู่ยุคสังคมผู้สูงวัย จึงมีอุปสงค์ดีมานด์มหาศาล
โรงพยาบาลเอกชนในประเทศซึ่งเป็นแกนหลักของธุรกิจสุขภาพ จึงขนาดใหญ่และเติบโตต่อเนื่องด้วย และเริ่มมีบริษัทยักษ์ใหญ่เบนเข็มเข้ามาทำธุรกิจเฮลท์แคร์ เป็นระยะๆ สะท้อนว่ายังเป็นธุรกิจขาขึ้น แต่ไม่ใช่ใครๆก็ทำได้ เพราะถือเป็นธุรกิจปราบเซียนแหล่งหนึ่ง
ล่าสุด ความคืบหน้าของแผนเคลื่อนย้ายธุรกิจก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 17 ต.ค. 2561 มีมติทำการโอนกิจการทั้งหมดของโรงพยาบาลเอกชนในภาคเหนือ ประกอบด้วย ที่ดินรวม 2 แปลง พร้อมอาคารโรงพยาบาล อาคารสนับสนุน 9 หลังและอุปกรณ์การแพทย์ ไม่มีภาระผูกพัน เนื้อที่ 11 ไร่-0-6.5 ไร่ และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงพยาบาล จำนวน 59 เตียง มูลค่า 120 ล้านบาท จากบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ - XXX จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดย PRINC จะชำระราคาเป็นเงินสด ซึ่งแหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและหรือเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
การเติมสินทรัพย์ให้ PRINC ดังกล่าวจะช่วยให้ทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกแหล่งรายได้ส่วนใหญ่โดยตรงประมาณ 75% มาจากธุรกิจการแพทย์ ไม่ต้องรับรู้ผ่านบริษัทลูก หลังจากที่ผ่านมาปล่อยให้สินทรัพย์โตเร็ว ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท กว่ารายได้ที่มีแค่ต่ำกว่าปีละ 3 พันล้านบาทมากมาย
ที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือในการประชุมครั้งเดียวกันนี้ มีมติชัดเจนว่า PRINC จะมุ่งขยายตัวในธุรกิจด้านโรงพยาบาลเป็นหลักและหยุดขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะไม่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมจากปัจจุบัน สำหรับที่ดินรอการพัฒนา หากมีโอกาสเหมาะสมและเป็นประโยชน์ บริษัทฯ พร้อมจะขายให้แก่นักลงทุนที่สนใจ เพื่อนำมาเป็นแหล่งเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจทางการแพทย์ต่อไป เว้นแต่ที่ดินรอการพัฒนาที่มีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนารองรับธุรกิจการแพทย์ในอนาคต
ทิศทางที่ชัดเจนเช่นนี้ มีมุมมอง 2 มุมคือ ไม่ให้เกิดความสับสนในเป้าหมายของบริษัท และเตรียมการย้ายกลุ่มจากกระดานกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีค่าพี/อีเฉลี่ยไม่เกิน 15 เท่า ไปอยู่ในกลุ่มสุขภาพที่มีค่าพี/อีเฉลี่ยมากกว่า 35 เท่า
หากเป็นมุมมองที่สอง ถือว่ามติบอร์ดดังกล่าวลึกล้ำเกินคาดจริงๆ เหนือชั้นตามสไตล์วิทยาธร แม้ว่า PRINC ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ไม่มีแนวโน้มว่าจะมีค่าพี/อีเอาเสียเลย (เว้นแต่ลดทุน ลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสมให้หมดเสียก่อน เพราะมีไม่มากมายแค่ 320 ล้านบาทแค่นั้น)
บรรดาแมงเม่าที่ชอบหุ้นเทิร์นอะราวด์ กระดี๊กระด๊ารับมติบอร์ดกันยกใหญ่ ฝันหวานกันเป็นทิวแถว
ติดตามคำขอย้ายกลุ่มไปเป็นหุ้นโรงพยาบาลของ PRINC ให้ดีก็แล้วกัน ว่าตลาดฯกับ ก.ล.ต.จะว่าอย่างไร
งานนี้เหนือเมฆจริงๆ
////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com