[หนังโรงเรื่องที่ 246] First Man: โคตรความโรแมนติกแห่งการสำรวจอวกาศ
คะแนนความชอบ : A++++ (จากสเกล D-A)
(Damien Chazelle, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เปิดเผยเรื่องราวของมนุษย์โลกคนแลกที่ได้เหยียบลงบนพื้นผิวดวงจันทร์อย่าง "นีล อาร์มสตรอง" (Ryan Gosling) และเบื้องหลังความสำเร็จที่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติอย่างโครงการ Apollo 11
เราจะได้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ได้สัมผัสกับวิถีของนักบินอวกาศอย่างคร่าวๆ และสำคัญที่สุดคือเราจะได้สัมผัสถึงแรงผลักดันของนักบินอวกาศมากประสบการณ์อย่างนีล ว่าทำไมเขาถึงพาตัวเองไปได้ไกลขนาดนั้น ชีวิตก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนยังไง มาหาคำตอบไปพร้อมกันกับ "First Man"
👍 จุดที่ชอบ 👍
1.สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังก็คือ "อารมณ์ร่วม" ที่โคตรแน่น! คือผมกล้าพูดเลยว่าผู้กำกับคนนี้เป็นระดับหัตถ์พระเจ้าในดวงใจผมจริงๆ (ผลงานดังที่ผ่านมาคือ Whiplash, La La Land)
คือเขาสื่ออารมณ์ได้ดีมาก แม้หนังมันจะเป็นลักษณะกึ่งสารคดีที่ว่ากันด้วยข้อเท็จจริง (Facts) ซะส่วนมาก ไม่ค่อยเติมแต่งเท่าไร แต่กลายเป็นว่ารู้สึกตัวอีกทีเราก็อินกับตัวละครที่ชื่อว่า "นีล อาร์มสตรอง" ไปแล้ว เราเรียนวิทย์มาตั้งแต่ยังเด็ก เรารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเหยียบดวงจันทร์สำเร็จแน่ๆ แต่ให้ตายสิ พอมาอยู่บนจอหนังมันเหมือนกับเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมดเลย สุดยอดจริงๆ
2.หนังให้ความสำคัญกับ "ความสมจริง" เกี่ยวกับการสำรวจอวกาศมากๆ หนังจะประเคนศัพท์เทคนิคบ้าบออะไรทั้งหลายแหล่ที่ผมยังเรียนไม่ถึงมาแบบไม่เกรงใจคนดู พูดมา 10 ฟังออกซัก 3 คำงี้
แต่ถามว่ามันเป็นอุปสรรคในการดูหนังของผมมั้ย? ก็ไม่นะ คือด้วยความที่หนังมันใช้เวลาปูพื้นฐานได้เหมาะสมทำให้เราสามารถเข้าใจอารมณ์ของเรื่องนั้นได้โดยไม่ต้องรู้ศัพท์เฉพาะ แบบว่า "เออ อันนี้เร่งเครื่อง อันนี้ชะลอเครื่อง อันนี้กำลังลงจอด" พูดง่ายๆ คือคนดูธรรมดาก็สนุกได้ และผมเชื่อว่ายิ่งถ้าคุณเป็นติ่งจรวดอวกาศคุณจะยิ่งแฮปปี้เข้าไปอีก
3.นอกจากในแง่มุมอวกาศที่เป็นแกนหลักของเรื่องแล้ว หนังก็ยังพาเราไปสัมผัสกับ "มุมที่เป็นมนุษย์" ของคนที่ชื่อนีล อาร์มสตรองด้วย คือผมมั่นใจทุกคนรู้แหละว่าเขาคือคนที่เหยียบดวงจันทร์ แต่จะมีซักกี่คนที่ได้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเขาใช้ชีวิตมายังไง? เป็นคนนิสัยแบบไหน? แล้วครอบครัวเขาล่ะ? ข้อมูลตรงนี้มันช่วยได้จริงๆ นะ
4."ไรอัน กอสลิ่ง" คือตัวเลือกของนีลที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ ประเด็นก็คือเฮียแกมาเล่นหนังเรื่องนี้ เฮียแก "เหงา" อีกแล้ว! โว้ย ใจคอคนอะไรจะรับแต่บทเหงาเปล่าเปลี่ยวแบบนี้ นับตั้งแต่ La La Land, Blade Runner จนมาถึงเรื่องนี้ก็ยังคงเหงาอยู่ และคิดว่าจะว้าเหว่ต่อไป
แต่เอาจริงๆ ไรอันวาดภาพพัฒนาการตัวละครของนีลได้เฉียบมาก เราจะได้เห็นตัวเอกที่เริ่มจากเป็นคนที่สดใส เข้าหาเพื่อนฝูงได้อย่างเป็นธรรมชาติค่อยๆ กลายเป็นคนมุงานที่ไม่มีความสมดุลเลย จนทำให้ฉากในช่วงท้ายมัน intense ได้ขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ไรอันเล่นผมก็ไม่มั่นใจว่าอารมณ์มันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้มั้ย
5.สไตล์งานภาพเด่นมาก เหมือนผมเคยอ่านมาว่าผู้กำกับเลือกใช้ฟิล์มสามแบบในการถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ออกมา โดยในช่วงแรกๆ ภาพจะเป็นฟิล์มแบบยุคเก่าที่เน้นการโคลสอัพและมี grain ในภาพเล็กน้อย แล้วภาพมันก็ค่อยๆ เป็นโมเดิร์นขึ้นในช่วงกลางเรื่องที่เริ่มประกอบยานอวกาศกัน
และในที่สุดคือฟิล์ม IMAX ที่ถ่ายทอดความรู้สึกบนดวงจันทร์มาซึ่งมันสวยมากกกกกกก ไม่ใช่สวยแบบว้าวลืมหายใจนะ แต่มันสวยแบบเหมาะสม มันเป็นอารมณ์ที่ใช่ เป็นภาพที่เราต้องการในนาทีนั้นมากกว่า
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
"ไม่มี" คิดไม่ออก
💡 สิ่งที่สังเกตเห็น 💡
- หนังแอบแฝงอารมณ์ขันเสียดสีเข้ามาอย่างแนบเนียน อย่างเรื่องนักบินคู่ของนีลที่อาภัพไม่มีใครจดจำได้ (เพราะไม่ได้เป็นคนแรก) พอมาอยู่ในหนังเขาก็ยังขยี้จุดนี้โดยการไม่ให้ความสำคัญของตัวละครนั้นนัก กลายเป็นว่าตอนท้ายเราก็ยังจำชื่อนักบินคนที่สองไม่ได้อยู่ดี
- หนังถ่ายทอดความล้มเหลวของอะพอลโล 1 ออกมาได้น่าดูชมดี มันดูเกิดขึ้นแบบไร้ค่ามาก เป็นแค่ simple mistake ที่ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรได้เลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นความวายป่วงที่ชวนช็อกเอาเรื่อง
- ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ La La Land ในเพลงประกอบ (Soundtracks) ของหนังเรื่องนี้ ถ้าใครหูดีๆ ลองไปฟัง main theme ของเรื่องดูแล้วช่วยมาบอกผมที
- หนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีอาการ Motion Sickness หรือกลัวที่แคบ เพราะเราจะต้องไปอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวละคร นั่นก็คือยานอวกาศแคบๆ ที่หมุนติ้วตลอดเวลา แอบน่าปวดหัวอยู่นะ
#ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 246] First Man: สุดยอดความโรแมนติกแห่งการสำรวจอวกาศ by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++++ (จากสเกล D-A)
(Damien Chazelle, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เปิดเผยเรื่องราวของมนุษย์โลกคนแลกที่ได้เหยียบลงบนพื้นผิวดวงจันทร์อย่าง "นีล อาร์มสตรอง" (Ryan Gosling) และเบื้องหลังความสำเร็จที่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติอย่างโครงการ Apollo 11
เราจะได้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ได้สัมผัสกับวิถีของนักบินอวกาศอย่างคร่าวๆ และสำคัญที่สุดคือเราจะได้สัมผัสถึงแรงผลักดันของนักบินอวกาศมากประสบการณ์อย่างนีล ว่าทำไมเขาถึงพาตัวเองไปได้ไกลขนาดนั้น ชีวิตก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนยังไง มาหาคำตอบไปพร้อมกันกับ "First Man"
1.สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังก็คือ "อารมณ์ร่วม" ที่โคตรแน่น! คือผมกล้าพูดเลยว่าผู้กำกับคนนี้เป็นระดับหัตถ์พระเจ้าในดวงใจผมจริงๆ (ผลงานดังที่ผ่านมาคือ Whiplash, La La Land)
คือเขาสื่ออารมณ์ได้ดีมาก แม้หนังมันจะเป็นลักษณะกึ่งสารคดีที่ว่ากันด้วยข้อเท็จจริง (Facts) ซะส่วนมาก ไม่ค่อยเติมแต่งเท่าไร แต่กลายเป็นว่ารู้สึกตัวอีกทีเราก็อินกับตัวละครที่ชื่อว่า "นีล อาร์มสตรอง" ไปแล้ว เราเรียนวิทย์มาตั้งแต่ยังเด็ก เรารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเหยียบดวงจันทร์สำเร็จแน่ๆ แต่ให้ตายสิ พอมาอยู่บนจอหนังมันเหมือนกับเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมดเลย สุดยอดจริงๆ
2.หนังให้ความสำคัญกับ "ความสมจริง" เกี่ยวกับการสำรวจอวกาศมากๆ หนังจะประเคนศัพท์เทคนิคบ้าบออะไรทั้งหลายแหล่ที่ผมยังเรียนไม่ถึงมาแบบไม่เกรงใจคนดู พูดมา 10 ฟังออกซัก 3 คำงี้
แต่ถามว่ามันเป็นอุปสรรคในการดูหนังของผมมั้ย? ก็ไม่นะ คือด้วยความที่หนังมันใช้เวลาปูพื้นฐานได้เหมาะสมทำให้เราสามารถเข้าใจอารมณ์ของเรื่องนั้นได้โดยไม่ต้องรู้ศัพท์เฉพาะ แบบว่า "เออ อันนี้เร่งเครื่อง อันนี้ชะลอเครื่อง อันนี้กำลังลงจอด" พูดง่ายๆ คือคนดูธรรมดาก็สนุกได้ และผมเชื่อว่ายิ่งถ้าคุณเป็นติ่งจรวดอวกาศคุณจะยิ่งแฮปปี้เข้าไปอีก
3.นอกจากในแง่มุมอวกาศที่เป็นแกนหลักของเรื่องแล้ว หนังก็ยังพาเราไปสัมผัสกับ "มุมที่เป็นมนุษย์" ของคนที่ชื่อนีล อาร์มสตรองด้วย คือผมมั่นใจทุกคนรู้แหละว่าเขาคือคนที่เหยียบดวงจันทร์ แต่จะมีซักกี่คนที่ได้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเขาใช้ชีวิตมายังไง? เป็นคนนิสัยแบบไหน? แล้วครอบครัวเขาล่ะ? ข้อมูลตรงนี้มันช่วยได้จริงๆ นะ
4."ไรอัน กอสลิ่ง" คือตัวเลือกของนีลที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ ประเด็นก็คือเฮียแกมาเล่นหนังเรื่องนี้ เฮียแก "เหงา" อีกแล้ว! โว้ย ใจคอคนอะไรจะรับแต่บทเหงาเปล่าเปลี่ยวแบบนี้ นับตั้งแต่ La La Land, Blade Runner จนมาถึงเรื่องนี้ก็ยังคงเหงาอยู่ และคิดว่าจะว้าเหว่ต่อไป
แต่เอาจริงๆ ไรอันวาดภาพพัฒนาการตัวละครของนีลได้เฉียบมาก เราจะได้เห็นตัวเอกที่เริ่มจากเป็นคนที่สดใส เข้าหาเพื่อนฝูงได้อย่างเป็นธรรมชาติค่อยๆ กลายเป็นคนมุงานที่ไม่มีความสมดุลเลย จนทำให้ฉากในช่วงท้ายมัน intense ได้ขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ไรอันเล่นผมก็ไม่มั่นใจว่าอารมณ์มันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้มั้ย
5.สไตล์งานภาพเด่นมาก เหมือนผมเคยอ่านมาว่าผู้กำกับเลือกใช้ฟิล์มสามแบบในการถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ออกมา โดยในช่วงแรกๆ ภาพจะเป็นฟิล์มแบบยุคเก่าที่เน้นการโคลสอัพและมี grain ในภาพเล็กน้อย แล้วภาพมันก็ค่อยๆ เป็นโมเดิร์นขึ้นในช่วงกลางเรื่องที่เริ่มประกอบยานอวกาศกัน
และในที่สุดคือฟิล์ม IMAX ที่ถ่ายทอดความรู้สึกบนดวงจันทร์มาซึ่งมันสวยมากกกกกกก ไม่ใช่สวยแบบว้าวลืมหายใจนะ แต่มันสวยแบบเหมาะสม มันเป็นอารมณ์ที่ใช่ เป็นภาพที่เราต้องการในนาทีนั้นมากกว่า
- หนังแอบแฝงอารมณ์ขันเสียดสีเข้ามาอย่างแนบเนียน อย่างเรื่องนักบินคู่ของนีลที่อาภัพไม่มีใครจดจำได้ (เพราะไม่ได้เป็นคนแรก) พอมาอยู่ในหนังเขาก็ยังขยี้จุดนี้โดยการไม่ให้ความสำคัญของตัวละครนั้นนัก กลายเป็นว่าตอนท้ายเราก็ยังจำชื่อนักบินคนที่สองไม่ได้อยู่ดี
- หนังถ่ายทอดความล้มเหลวของอะพอลโล 1 ออกมาได้น่าดูชมดี มันดูเกิดขึ้นแบบไร้ค่ามาก เป็นแค่ simple mistake ที่ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรได้เลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นความวายป่วงที่ชวนช็อกเอาเรื่อง
- ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ La La Land ในเพลงประกอบ (Soundtracks) ของหนังเรื่องนี้ ถ้าใครหูดีๆ ลองไปฟัง main theme ของเรื่องดูแล้วช่วยมาบอกผมที
- หนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีอาการ Motion Sickness หรือกลัวที่แคบ เพราะเราจะต้องไปอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวละคร นั่นก็คือยานอวกาศแคบๆ ที่หมุนติ้วตลอดเวลา แอบน่าปวดหัวอยู่นะ
#ตั๋วหนังมันแพง