First Man มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์ : การเดินทางที่ยาวไกลจากโลกจนถึงดวงจันทร์



สวัสดีค่ะ เมื่อวานได้มีโอกาสไปดู First Man มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์มาที่โรงหนังเมเจอร์ ปิ่นเกล้า ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะดู Star is Born แต่ปรากฏว่าไม่มีรอบฉาย มีแต่นาคี 2 กับ First Man จึงเลือกที่จะดู First Man แล้วกันค่ะ เพราะทราบมาว่า Claire Foy  ผู้รับบทควีนอลิซาเบธ ในซีรีย์เรื่อง The Crown เป็นนางเอก และมีพระเอกคือ Ryan Gosling  ซึ่งคงไม่ต้องสงสัยในฝีมือการไล่ระดับอารมณ์หรือแสดงอารมณ์ ของนักแสดงคู่นี้แน่ๆ อีกอย่างหนึ่งคือปีที่แล้วเราได้ดู La la land จากฝีมือการกำกับของผู้กำกับ DAMIEN CHAZELLE แล้ว เราไม่สามารถออกมาจากอารมณ์หนังที่เขาพยายามถ่ายทอดได้เลยจริงๆ ประมาณว่าออกมาจากโรงหนังแล้วก็ยังร้องไห้อยู่จึงคิดว่าเราควรจะไปดูเรื่องด้วยเช่นกัน

First Man เล่ามุมมองของหนังผ่านตัวละครหลัก 2 ตัว คือ นีล อาร์มสตอง นักบินอวกาศ และเจเน็ท อาร์มสตรองผู้เป็นภรรยา นีลผู้นิ่งเงียบ เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดแต่จะเน้นแสดงออกทางสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา โดยมีภรรยาของเขาคอยเฉลยทีละนิดว่าเหตุใดนิสัยของเขาเป็นเช่นนั้น ผ่านการเม้าส์กับภรรยานักบินอวกาศข้างบ้าน (เขาอยู่กันเหมือนบ้านพักสวัสดิการน่ะค่ะ) โดยที่ตัวภรรยาเองก็มีความเครียดทุกครั้งที่นีลจะต้องขึ้นไปบนอวกาศ เพราะสามีของเพื่อนบ้านเริ่มทะยอยเสียชีวิตกันไปทีละคน สองคน เราจะเห็นได้ว่ามีหลายฉากที่เธอสูบบุหรี่



ความนิ่งเงียบของตัวละครนี่แหละค่ะคือจุดที่ทำให้เราได้ยินเสียงกรนจากเก้าอี้ด้านหลัง เราเข้าใจได้นะว่าที่หลับคงเพราะไม่ได้อินอะไรมาตั้งแต่ต้น ผิดกับเราที่ค่อยๆ Deep ไปกับตัวละครที่คุ้นชินกับความตายจนมันตามหลอกหลอนตัวเขา เพื่อนนักบินที่เสียชีวิตไป 4 คนใน 1 ปี, ลูกสาว, เพื่อนที่ร่วมโครงการเจมินี่เสียชีวิตจากการทดลองความเสถียรของยาน นีลเข้าร่วมโครงการเจมินี่และอะพอลโล่ใช้เวลากว่า 7 ปีจนในที่สุดก็สำเร็จ หนังแทรกคำพูดของ JKF ที่ให้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องเป็นดวงจันทร์ เพราะทุกคนในโลกต้องการที่จะพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลก แต่เราต้องทำให้ได้มากกว่านั้นคือดวงจันทร์ แม้ว่าพวกเราก็รู้แก่ใจตัวเองอยู่แล้วอย่างไรเขาก็ทำสำเร็จ แต่มันอดเครียดตามไม่ได้เลยจริงๆ นะคะ



เนื้อเรื่องของ First man อยู่ในยุค 60s หรือยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและโซเวียตกำลังแย่งกันเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี และอวกาศ องค์การนาซ่าในตอนนั้นไม่ได้น่าเชื่อถือเหมือนกับปัจจุบันนี้ แต่เป็นองค์กรที่เพิ่งเริ่ม “หัดบิน” เหมือนกับยานอวกาศของพวกเขาที่ไร้คุณภาพ และผลาญงบประมาณ จนคนหนุ่มสาว และพวกฮิปปี้เริ่มออกมาต่อต้าน ในเมื่อมีประชาชนอีกมากมายกำลังหิวโหยด้วย มีประโยคหนึ่งในหนังที่เราชอบมากๆ คือ “จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่” ในเมื่อรัฐบาลนำเงินกว่าล้านดอลล่าไปถลุงกับโครงการที่ไม่สามารถสำเร็จได้สักที



หนังไม่ได้บอกให้เรา “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ว่าสหรัฐอเมริกาสามารถไปเหยียบดวงจันทร์ได้ ดังนั้นขอร้องผู้อ่านเลยว่าเราจะไม่คุยกันเรื่องที่มันนอกเหนือไปกว่าตัวหนัง ใจความสำคัญของเรื่อง คือ ต้องแสดงให้เห็นชีวิตและครอบครัวของผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในตำราเรียนของเราตั้งสมัยชั้นประถม เขาไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองไปเหยียบดวงจันทร์แล้วจะทำท่าไหนให้กล้องหรือจะพกอะไรตอนไปเหยียบดวงจันทร์ ในเมื่อหนทางกว่าจะถึงดวงจันทร์ได้มันช่างยาวนานและแสนที่จะแพงจากเงินภาษีของประชาชน การที่ภารกิจสำเร็จได้ก็คงจะสำคัญกว่า และแน่นอนว่านี่คือการประชดประชันรัฐบาลสหรัฐอเมริกาผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้

หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนที่ชอบหนังสายบันเทิง หลายท่านบอกว่าเป็นหนังสารคดี แต่เราว่ามันเป็นหนังดราม่าเสนอมุมมองของผู้กำกับที่เห็นอีก “ด้านหนึ่งของดวงจันทร์” มากกว่า เราให้คะแนน 9/10 ค่ะ มันตัดอะไรไม่ได้เลยอ่ะ เพราะหนังมันเก็บทุกรายละเอียด เขาไม่หลุดสักประเด็นที่ปูมาเลย

รีบไปดูกันเนอะ

Page : จะดูหนังอ่ะ
Twitter : JarDoMovie
ฝากกดติดตามด้วยนะคะ / แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่