นามรูปปริจเฉทญาณ หรือ สังขารปริเฉท
ญาณหรือความรู้ความเข้าใจในรูปและนาม
คือ
แยกออกด้วยความเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นรูปธรรม
อันสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย
สิ่งใดเป็นนามธรรม อันเพียงสัมผัสได้ด้วยใจอย่างถูกต้อง
เหล่านี้เป็นความเข้าใจขั้นพื้นฐาน
ในการพิจารณาธรรมให้เข้าใจยิ่งๆขึ้นไป (เป็นการเห็นด้วยปัญญาว่า สักแต่ว่า นาม กับ รูป ไม่มีตัวตนแท้จริง)
เรียกง่ายๆว่าเห็น นาม รูป
นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หรือ สัมมาทัสสนะ
ญาณที่เข้าใจในเหตุปัจจัย
คือรู้เข้าใจว่านามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย
พระอรรถกถาจารย์ในภายหลังๆเรียกว่าเป็น
"จูฬโสดาบัน" คือพระโสดาบันน้อย
ที่ถือว่าเป็นผู้มีคติหรือความก้าวหน้าอย่างแน่นอนในพระศาสนา
(เห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย)
- เห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น
สัมมสนญาณ ญาณพิจารณา
พิจารณาเห็นการเกิด
การตั้งอยู่อย่างแปรปรวน
การดับไป
คือเห็นด้วยปัญญา(ปัญญาจักขุ)ใน
ความไม่เที่ยง,แปรปรวนและดับไป
ทั้งหลายตามแนวทางพระไตรลักษณ์นั่นเอง
(เห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่า ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่เป็นแก่นแกนแท้จริง)
- เห็นพระไตรลักษณ์
สังขารปริเฉท
ญาณหรือความรู้ความเข้าใจในรูปและนาม
คือแยกออกด้วยความเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นรูปธรรม
อันสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย
สิ่งใดเป็นนามธรรม อันเพียงสัมผัสได้ด้วยใจอย่างถูกต้อง
เหล่านี้เป็นความเข้าใจขั้นพื้นฐาน
ในการพิจารณาธรรมให้เข้าใจยิ่งๆขึ้นไป (เป็นการเห็นด้วยปัญญาว่า สักแต่ว่า นาม กับ รูป ไม่มีตัวตนแท้จริง)
เรียกง่ายๆว่าเห็น นาม รูป
นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หรือ สัมมาทัสสนะ
ญาณที่เข้าใจในเหตุปัจจัย
คือรู้เข้าใจว่านามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย
พระอรรถกถาจารย์ในภายหลังๆเรียกว่าเป็น
"จูฬโสดาบัน" คือพระโสดาบันน้อย
ที่ถือว่าเป็นผู้มีคติหรือความก้าวหน้าอย่างแน่นอนในพระศาสนา
(เห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย)
- เห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น
สัมมสนญาณ ญาณพิจารณา
พิจารณาเห็นการเกิด
การตั้งอยู่อย่างแปรปรวน
การดับไป
คือเห็นด้วยปัญญา(ปัญญาจักขุ)ใน
ความไม่เที่ยง,แปรปรวนและดับไป
ทั้งหลายตามแนวทางพระไตรลักษณ์นั่นเอง
(เห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่า ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่เป็นแก่นแกนแท้จริง)
- เห็นพระไตรลักษณ์