สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ปิดเทอมเลยมีเวลาว่างมาแชร์เรื่องสุขภาพใกล้ตัวกันนิดนึง ซึ่งมันเกิดขึ้นกับเราเอง เรื่องมันเริ่มจากกลางดึกคืนหนึ่งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราตื่นขึ้นมากลางดึก ทันทีที่ลืมตาก็พบกับอาการบ้านหมุน ซึ่งมันหมุนอย่างแรงมาก เราซึ่งกำลังสะลืมสะลือ ตอนนั้นตกใจมากค่ะ ความรู้สึกแรกคือ เอ๊ะ นี่แผ่นดินไหวหรือเกิดอะไรรึเปล่า รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเครื่องซักผ้า หาจุดตำแหน่งตัวเองไม่เจอ เราได้แต่พยายามหลับตาไว้ มือก็ควานหาอะไรก็ตาที่เป็นหลักยึดให้ได้สักอย่าง ซึ่งก็คว้าได้แต่ผ้าห่มและเราก็จับมันไว้แน่นกลัวมันจะปลิวหายไป ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะ
ในใจได้แต่ภาวนาให้มันอาการนี้มันหยุดสักทีๆ จนสักพักเรารู้สึกว่ามันหมุนช้าลง เราก็เลยค่อยๆลืมตา เห็นแอร์ที่อยู่มุมห้องยังคงหมุนตีลังกาแบบทวนเข็มแต่มันหมุนช้าลงมากแล้ว อาการตอนนั้นคือมือเย็น เหงื่อแตกไปทั้งตัว พอเริ่มหยุดหมุนอาการต่อมาที่เป็นแบบทิ่มทะลุขึ้นมาเลยก็คือ อาการคลื่นไส้แบบทนไม่ไหวเลยค่ะ เรารีบวิ่งไปห้องห้องน้ำและอาเจียนแบบสุดแรงเกิด ระหว่างนั้นก็ทั้งตกใจ ทั้งงง ว่านี่เราเป็นอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับเรา
พอสักพักดีขึ้นเราก็คาดเดาว่าตัวเองน่าจะอาหารเป็นพิษรึเปล่า เพราะเมื่อตอนเย็นทานอาหารรสจัด และคิดไปว่าผักที่ทานล้างไม่สะอาดรึเปล่า สารพัดจะตั้งสาเหตุค่ะตอนนั้น แต่คิดไปคิดมา ก็ใช่ว่าเราจะไม่เคยเป็นอาหารเป็นพิษนะ แต่อาหารเป็นพิษมันไม่มีอาการบ้านหมุนติ้วๆอย่างที่เราเป็นนี่นา ละนี่เราเป็นอะไรเนี่ย ในระหว่างที่ตกใจ สงสัยอยู่ตอนนั้น เราก็คลื่นไส้อาเจียนอยู่ตลอดเวลานะคะ อาการตอนนั้นคือ แปบๆก็เหมือนจะปกตินะ แต่พอขยับนิดนึงก็มึนๆ คลื่นไส้มาอีกละ
สุดท้าย ไม่ไหวจริงๆ ขอที่บ้านขับรถไปส่งโรงพยาบาลหน่อย เราไม่ไหวจริงๆออกบ้านทั้งชุดนอนแบบไม่ใส่อะไรข้างในไปแบบนั้นล่ะค่ะ (ตอนนั้นไม่สนใดๆทั้งสิ้น คิดแต่จะไปถึงโรงพยาบาลไวๆ แต่พอมานึกดูนี่ช้านนนนไปทั้งอย่างนั้นอ่ะนะ ไม่อายผีสางเทวดาเลย) ซึ่งระยะทางจากบ้านไปโรงพยาบาลก็ร้อยกว่าโลค่ะ ระหว่างทางเราต้องแวะข้างทางเป็นระยะอาเจียนตลอด แต่ตอนแวะปั๊มเข้าห้องน้ำ เราก้มลงมองพื้นนิดเดียวเท่านั้นค่ะ รู้ตัวอีกทีคือล้มลงไปกับพื้นแบบไม่รู้ตัวเลย เรายิ่งตกใจว่านี่ชั้นเป็นอะไรไปเนี่ย พอสักพักพยุงตัวได้มาขึ้นรถเราก็นั่งนิ่งๆ จนถึงโรงพยาบาลค่ะ พอถึงโรงพยาบาลเราเข้าไปให้หมอตรวจอาการที่ห้องฉุกเฉิน คุณหมอซักอาการว่าน่าจะไม่ใช่อาการจากความผิดปกติทางสมอง คุณหมอเลยฉีดยาให้เราเข็มนึงซึ่งน่าจะเป็นยาแก้วิงเวียนและเราให้เรานอนบนเตียงในห้องฉุกเฉินเพื่อรอตรวจอีกทีในตอนเช้า เรานอนสักพักก็หลับไปค่ะ
พอเช้าเราตื่นขึ้นมาเพราะคุณหมอท่านเดิมมาตรวจถามอาการพร้อมคุณหมอที่น่าจะมีเวรเช้ามาซักถามอาการเราอีกสองท่าน(คุณหมอยังเด็กๆอยู่เลย แต่ดูแลเราดีมากและน่ารักมากๆ ขอบคุณคุณหมอด้วยนะคะ) คุณหมอถามอาการว่ายังเวียนหัวอยู่ไหม เราเลยลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เท่านั้นล่ะ มันหมุนแบบบ้าคลั่งอีกครั้งเลยค่ะ จนเราต้องไปอาเจียนอีกรอบซึ่งก็ไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมาแล้วอ่ะ พอกลับมาได้ยินคุณหมอคุยกันว่าน่าจะเป็นเกี่ยวกับหูแน่ๆ เดี๋ยวให้เรารอใบตรวจไปยื่นตรวจกับหมอหูตอนเช้า ตอนนั้นเราก็งงๆ เอ๊ะ อาการวิงเวียนแบบนี้มันไปเกี่ยวกับหูยังไง แต่ก็รอตรวจกับคุณหมอหูอีกท่านตอน 9 โมงค่ะ
พอถึงเวลาตรวจ คุณหมอตรวจเช็คอาการเบื้อต้นเรา ท่านก็บอกว่าเราน่าจะเป็นอาการหินปูนในหูหลุด ตอนได้ยินเราก็งงนะคะ อ๊ะ ในหูเรามันมีหินปูนด้วยเหรอ มันไม่ได้มีแค่ในปากเหรอ แล้วรักษายังไง ต้องขูดหินปูนออกเหมือนเวลาไปหาหมอฟันรึเปล่า คุณหมอบอกว่า การรักษาก็แค่กลิ้งหินปูนกลับเข้าไปแค่นั้นเอง หูยย คุณหมอพูดดูชิลๆมากเลยค่ะ แต่คุณหมอดูอาการเราแล้วก็ถามว่าพร้อมจะให้หมอกลิ้งหินปูนให้มั้ย ถ้าพร้อมหมอก็จะทำให้เลย แต่การกลิ้งหินปูนกลับเข้าไปมันจะทำให้เรามึนหัวและคลื่นไส้มากนะ และต้องทำหลายครั้งจนกว่าหินจะกลับเข้าไป ห๊ะ ตอนนั้นคิดเลย นี่จะต้องกลับไปบ้านหมุนติ้วๆๆแล้วอาเจียนอีกอ่ะนะ หมอขา หนูไม่พร้อมมมมม หมอก็เลยบอกว่าให้ยากลับมาทานก่อนค่ะ แต่มันก็จะยังไม่หายแต่ดูท่าถ้าเรายังไม่ไหวก็กลับมาอีกให้หมอกลิ้งหินปูนให้อีกครั้งก็ได้
แน่นอนสิคะว่าเราเลือกกินยาแล้วกลับบ้าน กลับไปนอนบ้านได้คืนเดียว ไม่ไหวค่ะ จะนอน จะนั่ง จะขยับตัว เราเหมือนเป็นแก้วน้ำที่มีทรายอยู่ก้นแก้วอ่ะค่ะ ขยับแรงๆ ทรายมันฟุ้งขึ้นมาเราก็จะมีอาการบ้านหมุนๆๆๆ มึนหัวและอาเจียนทันที กลับไปโรงพยาบาลสิคะทีนี้
พอไปถึงโรงพยาบาลเราก็ถูกส่งตรวจกับคุณหมอระบบสมองด้วยค่ะ เนื่องจากเราเคยมีประวัติรักษาอาการปวดหัว และพึ่งจะ MRI ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนค่ะ ก็เลยตรวจเช็คเพื่อความแน่ใจ ทีนี้คุณหมอก็บอกอีกว่าไม่มีปัญหาอะไรกับระบบสมอง แต่เป็นอาการหินปูนในหลุด และให้เราแอดมิทรอคุณหมอหูอีกท่านมาตรวจให้ตอนเย็น อ่ะ ตกลงก็เปลี่ยนที่นอนกันไปค่ะคืนนั้น
ตอนคุณหมอหูมาดูอาการก็ลองทำกายภาพ โดยให้เรานั่งห้อยขาข้างเตียง ซึ่งการทำกายภาพจะมีลักษณะตามคลิปข้างล่างนี้เลยนะคะ คุณหมอบอกว่ายิ่งทำกายภาพบ่อย เราก็มีโอกาสสหายเร็วขึ้น ในบางรายสามารถหายจากอาการถึง 90%หลังจากการกายภาพครั้งแรก แต่สำหรับเราครั้งแรกนั้นทรมานมากค่ะ คุณหมอจับตะแคงซ้ายขวา และดูอาการแบอกเราว่าเราเป็นค่อนข้างแรง ต้องทำกายภาพอีกหลายครั้ง ถ้าวิงเวียนมากก็ทานยาแก้วิงเวียนค่ะ หมดสภาพเลยค่ะเราวันนั้น คุณหมอแจ้งว่าอาการที่เราเป็นคือออการของโรค BPPV หรือโรคหินปูนในหูชั้นในหลุด ซึ่งทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ และเมื่อเป็นแล้วก็มีโอกาสเป็นซ้ำสูง
เรานี่รีบเข้า google หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ทันที ก็พบว่าจริงๆแล้วคนที่ป่วยด้วยอาการนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยนะคะ แต่เราทำไมกลับไม่เคยได้ยินอาการโรคนี้มาก่อนเลย จะเคยได้ยินผ่านๆมาก็คืออาการของน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่อาการโรคหินปูนในหูชั้นในหลุด นี่ไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ ตอนเราโทรไปลางาน เพื่อนที่ทำงานรวมถึงหัวหน้าก็ไม่เคยได้ยินโรคนี้เหมือนกัน
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด(BPPv) โดยทั่วไปผู้ป่วยจะรู้สึกวิงเวียน โคลงเคลง เสียการทรงตัว และรู้สึกเหมือนสิ่งแวดล้อมภายนอกเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะอย่างรวดเร็ว เช่น ก้มตัวลง เงยหน้า หรือเอียงคอ และนอกเหนือจากอาการบ้านหมุน บางรายก็อาจมีคลื่นไส้อาเจียนด้วย อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นไม่นาน คือราวๆ 1 นาที แล้วจะค่อยๆ เบาลง แต่จะเป็นๆ หายๆ เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะก็จะเกิดอาการขึ้นอีก บางทีอาจเกิดซ้ำๆ กันนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ได้ ซึ่งสาเหตุถ้าไม่ได้รับการกรรระทบกระเทือนแรงๆ ก็เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ หรือก็ไม่มีสาเหตุเช่นในกรณีของเรานี่แหละค่ะ ซึ่งข้อมูลของโรค BPPV นั้นมีมากมายลองหาอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ
https://www.honestdocs.co/benign-paroxysmal-positional-vertigo-bppv
หรือลองดูตามคลิปด้านล่างนี้เลยก็ได้ค่ะถึงสาเหตู อาการ และการรักษา เข้าใจในคลิปเดียวเลย
จริงๆ ตอนนั้นเราไม่ต้องแอทมิทก็ได้นะคะ สามารถกลับบ้านได้แค่ต้องระมัดระวังไม่เคลื่อนไหวร่างกายแรงๆ แต่ตอนนั้นเราอยากอยู่ใกล้หมอไว้ก่อนค่ะ อุ่นใจ อิอิ ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 4 เดือนแล้วตั้งแต่เรามีอาการาครั้งแรก ตอนนี้ก็ยังไม่หาย 100% นะคะ ถ้าหันแรงๆ หรือก้มหน้า เงยหน้าลงไปกะทันหัน เราก็จะมึนและหมุนอยู่ค่ะ แต่เป็นไม่นานไม่กี่วินาทีก็หายไป เราไม่สามารถนอนหมอนต่ำ หรือนอนหงายราบกับพื้นได้แล้วค่ะ จะมึนหัว เวลาจะนอนตะแคงเปลี่ยนข้างต้องค่อยๆพลิกตัว บางวันพลิกตัวแรงๆ หรือล้มตัวนอนเร็วๆ นี่มีบ้านหมุนติ้วๆๆทันทีเลยค่ะ เราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นเลย ไม่นอนดึก ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟนี่ลดลงไปเยอะเลยค่ะ ช่วงแรกๆนี่ไม่สามารถขับรถได้เลย เพราะแค่หันซ้าย ขวา ก้มหน้าลงมองเกียร์รถ มันก็หมุนติ้วๆแล้วค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะหมุนไม่นานแต่ก็อันตราย และต้องดูแลตัวเองอย่างที่หมอบอกว่ามีโอกาสเป็นซ้ำสูงซึ่งมันจะกลับมาเป็นซ้ำตอนไหนไม่รู้นี่สิคะ
เอาเป็นว่า วันนี้มาแชร์ประสบการณ์เล็กน้อยๆที่ขอบอกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างน้อยถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์เล็กน้อยๆนะคะ
แชร์ประสบการณ์ ผ่านมา 3 เดือนกับอาการบ้านหมุน โรคBPPV โรคหินปูนในหูชั้นใน
ในใจได้แต่ภาวนาให้มันอาการนี้มันหยุดสักทีๆ จนสักพักเรารู้สึกว่ามันหมุนช้าลง เราก็เลยค่อยๆลืมตา เห็นแอร์ที่อยู่มุมห้องยังคงหมุนตีลังกาแบบทวนเข็มแต่มันหมุนช้าลงมากแล้ว อาการตอนนั้นคือมือเย็น เหงื่อแตกไปทั้งตัว พอเริ่มหยุดหมุนอาการต่อมาที่เป็นแบบทิ่มทะลุขึ้นมาเลยก็คือ อาการคลื่นไส้แบบทนไม่ไหวเลยค่ะ เรารีบวิ่งไปห้องห้องน้ำและอาเจียนแบบสุดแรงเกิด ระหว่างนั้นก็ทั้งตกใจ ทั้งงง ว่านี่เราเป็นอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับเรา
พอสักพักดีขึ้นเราก็คาดเดาว่าตัวเองน่าจะอาหารเป็นพิษรึเปล่า เพราะเมื่อตอนเย็นทานอาหารรสจัด และคิดไปว่าผักที่ทานล้างไม่สะอาดรึเปล่า สารพัดจะตั้งสาเหตุค่ะตอนนั้น แต่คิดไปคิดมา ก็ใช่ว่าเราจะไม่เคยเป็นอาหารเป็นพิษนะ แต่อาหารเป็นพิษมันไม่มีอาการบ้านหมุนติ้วๆอย่างที่เราเป็นนี่นา ละนี่เราเป็นอะไรเนี่ย ในระหว่างที่ตกใจ สงสัยอยู่ตอนนั้น เราก็คลื่นไส้อาเจียนอยู่ตลอดเวลานะคะ อาการตอนนั้นคือ แปบๆก็เหมือนจะปกตินะ แต่พอขยับนิดนึงก็มึนๆ คลื่นไส้มาอีกละ
สุดท้าย ไม่ไหวจริงๆ ขอที่บ้านขับรถไปส่งโรงพยาบาลหน่อย เราไม่ไหวจริงๆออกบ้านทั้งชุดนอนแบบไม่ใส่อะไรข้างในไปแบบนั้นล่ะค่ะ (ตอนนั้นไม่สนใดๆทั้งสิ้น คิดแต่จะไปถึงโรงพยาบาลไวๆ แต่พอมานึกดูนี่ช้านนนนไปทั้งอย่างนั้นอ่ะนะ ไม่อายผีสางเทวดาเลย) ซึ่งระยะทางจากบ้านไปโรงพยาบาลก็ร้อยกว่าโลค่ะ ระหว่างทางเราต้องแวะข้างทางเป็นระยะอาเจียนตลอด แต่ตอนแวะปั๊มเข้าห้องน้ำ เราก้มลงมองพื้นนิดเดียวเท่านั้นค่ะ รู้ตัวอีกทีคือล้มลงไปกับพื้นแบบไม่รู้ตัวเลย เรายิ่งตกใจว่านี่ชั้นเป็นอะไรไปเนี่ย พอสักพักพยุงตัวได้มาขึ้นรถเราก็นั่งนิ่งๆ จนถึงโรงพยาบาลค่ะ พอถึงโรงพยาบาลเราเข้าไปให้หมอตรวจอาการที่ห้องฉุกเฉิน คุณหมอซักอาการว่าน่าจะไม่ใช่อาการจากความผิดปกติทางสมอง คุณหมอเลยฉีดยาให้เราเข็มนึงซึ่งน่าจะเป็นยาแก้วิงเวียนและเราให้เรานอนบนเตียงในห้องฉุกเฉินเพื่อรอตรวจอีกทีในตอนเช้า เรานอนสักพักก็หลับไปค่ะ
พอเช้าเราตื่นขึ้นมาเพราะคุณหมอท่านเดิมมาตรวจถามอาการพร้อมคุณหมอที่น่าจะมีเวรเช้ามาซักถามอาการเราอีกสองท่าน(คุณหมอยังเด็กๆอยู่เลย แต่ดูแลเราดีมากและน่ารักมากๆ ขอบคุณคุณหมอด้วยนะคะ) คุณหมอถามอาการว่ายังเวียนหัวอยู่ไหม เราเลยลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เท่านั้นล่ะ มันหมุนแบบบ้าคลั่งอีกครั้งเลยค่ะ จนเราต้องไปอาเจียนอีกรอบซึ่งก็ไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมาแล้วอ่ะ พอกลับมาได้ยินคุณหมอคุยกันว่าน่าจะเป็นเกี่ยวกับหูแน่ๆ เดี๋ยวให้เรารอใบตรวจไปยื่นตรวจกับหมอหูตอนเช้า ตอนนั้นเราก็งงๆ เอ๊ะ อาการวิงเวียนแบบนี้มันไปเกี่ยวกับหูยังไง แต่ก็รอตรวจกับคุณหมอหูอีกท่านตอน 9 โมงค่ะ
พอถึงเวลาตรวจ คุณหมอตรวจเช็คอาการเบื้อต้นเรา ท่านก็บอกว่าเราน่าจะเป็นอาการหินปูนในหูหลุด ตอนได้ยินเราก็งงนะคะ อ๊ะ ในหูเรามันมีหินปูนด้วยเหรอ มันไม่ได้มีแค่ในปากเหรอ แล้วรักษายังไง ต้องขูดหินปูนออกเหมือนเวลาไปหาหมอฟันรึเปล่า คุณหมอบอกว่า การรักษาก็แค่กลิ้งหินปูนกลับเข้าไปแค่นั้นเอง หูยย คุณหมอพูดดูชิลๆมากเลยค่ะ แต่คุณหมอดูอาการเราแล้วก็ถามว่าพร้อมจะให้หมอกลิ้งหินปูนให้มั้ย ถ้าพร้อมหมอก็จะทำให้เลย แต่การกลิ้งหินปูนกลับเข้าไปมันจะทำให้เรามึนหัวและคลื่นไส้มากนะ และต้องทำหลายครั้งจนกว่าหินจะกลับเข้าไป ห๊ะ ตอนนั้นคิดเลย นี่จะต้องกลับไปบ้านหมุนติ้วๆๆแล้วอาเจียนอีกอ่ะนะ หมอขา หนูไม่พร้อมมมมม หมอก็เลยบอกว่าให้ยากลับมาทานก่อนค่ะ แต่มันก็จะยังไม่หายแต่ดูท่าถ้าเรายังไม่ไหวก็กลับมาอีกให้หมอกลิ้งหินปูนให้อีกครั้งก็ได้
แน่นอนสิคะว่าเราเลือกกินยาแล้วกลับบ้าน กลับไปนอนบ้านได้คืนเดียว ไม่ไหวค่ะ จะนอน จะนั่ง จะขยับตัว เราเหมือนเป็นแก้วน้ำที่มีทรายอยู่ก้นแก้วอ่ะค่ะ ขยับแรงๆ ทรายมันฟุ้งขึ้นมาเราก็จะมีอาการบ้านหมุนๆๆๆ มึนหัวและอาเจียนทันที กลับไปโรงพยาบาลสิคะทีนี้
พอไปถึงโรงพยาบาลเราก็ถูกส่งตรวจกับคุณหมอระบบสมองด้วยค่ะ เนื่องจากเราเคยมีประวัติรักษาอาการปวดหัว และพึ่งจะ MRI ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนค่ะ ก็เลยตรวจเช็คเพื่อความแน่ใจ ทีนี้คุณหมอก็บอกอีกว่าไม่มีปัญหาอะไรกับระบบสมอง แต่เป็นอาการหินปูนในหลุด และให้เราแอดมิทรอคุณหมอหูอีกท่านมาตรวจให้ตอนเย็น อ่ะ ตกลงก็เปลี่ยนที่นอนกันไปค่ะคืนนั้น
ตอนคุณหมอหูมาดูอาการก็ลองทำกายภาพ โดยให้เรานั่งห้อยขาข้างเตียง ซึ่งการทำกายภาพจะมีลักษณะตามคลิปข้างล่างนี้เลยนะคะ คุณหมอบอกว่ายิ่งทำกายภาพบ่อย เราก็มีโอกาสสหายเร็วขึ้น ในบางรายสามารถหายจากอาการถึง 90%หลังจากการกายภาพครั้งแรก แต่สำหรับเราครั้งแรกนั้นทรมานมากค่ะ คุณหมอจับตะแคงซ้ายขวา และดูอาการแบอกเราว่าเราเป็นค่อนข้างแรง ต้องทำกายภาพอีกหลายครั้ง ถ้าวิงเวียนมากก็ทานยาแก้วิงเวียนค่ะ หมดสภาพเลยค่ะเราวันนั้น คุณหมอแจ้งว่าอาการที่เราเป็นคือออการของโรค BPPV หรือโรคหินปูนในหูชั้นในหลุด ซึ่งทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ และเมื่อเป็นแล้วก็มีโอกาสเป็นซ้ำสูง
เรานี่รีบเข้า google หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ทันที ก็พบว่าจริงๆแล้วคนที่ป่วยด้วยอาการนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยนะคะ แต่เราทำไมกลับไม่เคยได้ยินอาการโรคนี้มาก่อนเลย จะเคยได้ยินผ่านๆมาก็คืออาการของน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่อาการโรคหินปูนในหูชั้นในหลุด นี่ไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ ตอนเราโทรไปลางาน เพื่อนที่ทำงานรวมถึงหัวหน้าก็ไม่เคยได้ยินโรคนี้เหมือนกัน
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด(BPPv) โดยทั่วไปผู้ป่วยจะรู้สึกวิงเวียน โคลงเคลง เสียการทรงตัว และรู้สึกเหมือนสิ่งแวดล้อมภายนอกเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะอย่างรวดเร็ว เช่น ก้มตัวลง เงยหน้า หรือเอียงคอ และนอกเหนือจากอาการบ้านหมุน บางรายก็อาจมีคลื่นไส้อาเจียนด้วย อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นไม่นาน คือราวๆ 1 นาที แล้วจะค่อยๆ เบาลง แต่จะเป็นๆ หายๆ เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะก็จะเกิดอาการขึ้นอีก บางทีอาจเกิดซ้ำๆ กันนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ได้ ซึ่งสาเหตุถ้าไม่ได้รับการกรรระทบกระเทือนแรงๆ ก็เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ หรือก็ไม่มีสาเหตุเช่นในกรณีของเรานี่แหละค่ะ ซึ่งข้อมูลของโรค BPPV นั้นมีมากมายลองหาอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ https://www.honestdocs.co/benign-paroxysmal-positional-vertigo-bppv
หรือลองดูตามคลิปด้านล่างนี้เลยก็ได้ค่ะถึงสาเหตู อาการ และการรักษา เข้าใจในคลิปเดียวเลย
จริงๆ ตอนนั้นเราไม่ต้องแอทมิทก็ได้นะคะ สามารถกลับบ้านได้แค่ต้องระมัดระวังไม่เคลื่อนไหวร่างกายแรงๆ แต่ตอนนั้นเราอยากอยู่ใกล้หมอไว้ก่อนค่ะ อุ่นใจ อิอิ ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 4 เดือนแล้วตั้งแต่เรามีอาการาครั้งแรก ตอนนี้ก็ยังไม่หาย 100% นะคะ ถ้าหันแรงๆ หรือก้มหน้า เงยหน้าลงไปกะทันหัน เราก็จะมึนและหมุนอยู่ค่ะ แต่เป็นไม่นานไม่กี่วินาทีก็หายไป เราไม่สามารถนอนหมอนต่ำ หรือนอนหงายราบกับพื้นได้แล้วค่ะ จะมึนหัว เวลาจะนอนตะแคงเปลี่ยนข้างต้องค่อยๆพลิกตัว บางวันพลิกตัวแรงๆ หรือล้มตัวนอนเร็วๆ นี่มีบ้านหมุนติ้วๆๆทันทีเลยค่ะ เราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นเลย ไม่นอนดึก ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟนี่ลดลงไปเยอะเลยค่ะ ช่วงแรกๆนี่ไม่สามารถขับรถได้เลย เพราะแค่หันซ้าย ขวา ก้มหน้าลงมองเกียร์รถ มันก็หมุนติ้วๆแล้วค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะหมุนไม่นานแต่ก็อันตราย และต้องดูแลตัวเองอย่างที่หมอบอกว่ามีโอกาสเป็นซ้ำสูงซึ่งมันจะกลับมาเป็นซ้ำตอนไหนไม่รู้นี่สิคะ
เอาเป็นว่า วันนี้มาแชร์ประสบการณ์เล็กน้อยๆที่ขอบอกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างน้อยถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์เล็กน้อยๆนะคะ