พอดีได้แรงบันดาลใจในการเขียนกระทู้
https://ppantip.com/topic/41542436 เรื่องการเดินโคลงเคลง จึงอยากมาแชร์ประสบการณ์การรักษาของตัวเองเผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่ประสบปัญหาเดียวกันครับ
ส่วนตัวผมอายุ 35 ปี มีอาการมึนงง เดินโคลงเคลงมาตลอด 7 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 **ไม่มีบ้านหมุน* โดยรักษาตัวมาตลอด 7 เดือน จนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ ได้ชีวิตคืนมา 80-90% จะขอแชร์ประสบการณ์ตามนี้ครับ
อาการแรกเริ่ม 1 (ช่วงเดือนตุลา 2565-พฤศจิ 2565) : มีอาการเดินเซซ้ายนิดหน่อย ตอนนอนมีความรู้สึกอยู่บนเรือนิดๆ แต่ไม่ถึงกับรบกวนชีวิตประจำวัน นั่งเล่นมือถือพอได้แต่ถ้าเดินเล่นมือถือเมื่อไรมีสะเทือน มีอาการเหล่านี้อยู่ประมาณ 10 วันจึงไปหาหมอ ได้พบแผนกหู คอ จมูก ตอนแรกๆก็งงๆว่าทำไมถึงมาแผนกนี้ มารู้ทีหลังว่า เส้นประสาทการทรงตัวจะอยู่ตรงหูชั้นใน หรือ โรคหินปูนหลุดก็มีผลให้เสียการทรงตัว จึงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมพยาบาลถึงแนะนำให้มาแผนกนี้ แต่ว่าตรวจหู ตรวจการได้ยิน การหมุนคอ ไม่เจออะไร หมอจึงให้ยาเกี่ยวกับแก้เวียนหัวมาดังนี้ : betaserc (เพิ่มการไหลเวียนเลือดในหูชั้นใน)กับ flunarizine (แก้เวียนหัว) พร้อมๆกับแนะนำให้ทำกายภาพการทรงตัว (ทำที่บ้านได้)
หลังจากกินยาและกายภาพไป 2-3 week : รู้สึกทรงตัวดีขึ้น แต่ว่ามีเสียงในหูเพิ่มขึ้นมา ไม่รู้ว่าเกิดจากออกกำลังกาย หรือ กายภาพท่าไหนรึเปล่า ทำให้มีปัญหาการนอนพอสมควรเพราะเสียงค่อนข้างดังพอสมควร อดหลับไป 3-4 วันได้ จนต้องไปขอยานอนหลับจากคลีนิค ทำให้สามารถหลับได้อีกครั้ง
อาการทรุด 2 (กลางพฤศจิ 2565 –กลางธันวา 2565) : หลังจากได้รับยานอนหลับ ลดความเครียด เสียงในหูเริ่มเบาลงจนพอเริ่มหลับเองได้บ้างในบางคืน แต่อาการมึนหัวกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกคือกินอาหารเยอะเมื่อไรก็จะมึนหัว หรือถ้าพูดเยอะๆก็ต้องหยุดเพราะมึนหัว เริ่มเครียดมากขึ้นทุกวันจากอาการมึนหัวที่มากขึ้น ยิ่งเครียด ก็ยิ่งมีผลทำให้โคลงเคลงมากขึ้น จนถึงจุดพีคคือยกขาแทบไม่ขึ้น เดินได้แบบช้าๆ เดินได้ทีละไม่เกิน 20-30 ก้าว จึงกลับไปหาหมออีกครั้ง
การตรวจวินิจฉัย : มีการตรวจหู ตรวจการได้ยิน ตรวจหินปูนเหมือนเดิม เอาแว่นมาครอบตาเพื่อดูการขยับตาดำมากขึ้น แต่ก็ไม่เจออะไรเหมือนเดิม หมอจึงสั่ง MRI ด่วน ได้ตรวจภายใน 1-2 week แต่ว่าไม่เจออะไรเหมือนเดิม ท้อส่วนหนึ่ง แต่หมอก็ปลอบใจว่าอย่างน้อยสมองก็ไม่ผิดปกติอะไร
การรักษา : กินยา betaserc , flunarizine , sermoin (เพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง) เหมือนเดิม + กายภาพ อาการดีขึ้นแบบช้าๆ ใช้เวลา 2 week จนสามารถเดินได้ และสามารถกลับไปทำงานได้อีกครั้ง
อาการใหม่ (ช่วงกลางธันวา 2565 – กลางมกราคม 2566) : เป็นอาการที่ไม่เกี่ยวกับการทรงตัว เป็นอาการปวดหูด้านนอกแถวๆรูหู จากในรูปคือแอ่งหู อาการตอนแรกคือคันไม่ทราบสาเหตุ ถึงขนาดตื่นมากลางดึกเพราะคัน และมีปัญหาถึงขนาดนอนตะแคงไม่ได้เพราะไปทับแอ่งหูทำให้เจ็บ แต่พอให้หมอดูก็ไม่เจออะไรผิดปกติ แต่หมออีกคนหนึ่งทักว่าอาจจะมีสาเหตุมาจากกรามก็ได้ แม้ว่าตัวเองจะไม่เคยมีปัญหาเรื่องกรามมาก่อน แต่พอลองอ้าปากขยับๆตามที่หมอทัก ก็รู้สึกว่าแถวจุดแอ่งหู มันปวดขึ้นนิดๆจริงๆ จึงกินโจ๊กและอาหารนิ่มอยู่เกือบ 2 เดือน และนอนหงาย ทำให้อาการตรงจุดนี้ดีขึ้น ก็งงเหมือนกันว่าอาการนี้มันมาได้ไง เหมือนระบบประสาทมันรวนไปหมด ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆมันทำงานผิดปกติ
อาการทรุด 3 (ต้นกุมภา – ต้นมีนาคม 2566) : หลังจากอาการดีขึ้นหลังจากที่เดินแทบไม่ได้ตอนเดือนพฤศจิ-ธันวา ก็พยายามใช้ชีวิตปกติมากขึ้น กินยาเหมือนเดิมทุกวันคือเหลือตัวเดียวคือ betaserc (หยุด sermion เพราะเหมือนมึนมากขึ้น + หมอทักว่าไม่ควรกินคู่กันเท่าไร เพราะออกฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนเลือดคล้ายกัน) แต่อาการเหมือนมันทรุดลงเล็กๆทีละนิด ทีละนิด เรื่อยๆทุกวัน เริ่มมีปัญหานอนน้อยเหลือ 5-6 ชั่วโมง และ มีอาการตื่นกลางดึกมากขึ้น รวมถึงเริ่มมีอาการเมื่อยหรืออาการชาตามแขนและขาเวลานอน ไม่รู้เพราะหยุดยานอนหลับด้วยรึเปล่า โดยตอนนั้นส่วนตัวกิน diazepam 2.5-5 mg เอามาช่วยคุมเสียงในหูทำให้เสียงลดลง ซึ่งก็ไม่ได้กินทุกวัน และหยุดยาเพราะรู้สึกว่าเสียงในหูลดลงในระดับที่ตัวเองใช้ชีวิตประจำวันได้แบบไม่มีปัญหา และจากการพักผ่อนที่ไม่ดีเท่าไร ทำให้อาการมึนหัวแย่ลงอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมสายตาด้วย สายตารู้สึก ล้าๆ มองอะไรนานๆไม่ได้ รวมถึงรู้สึกภาพขยับซ้าย ขวานิดๆ ยิ่งทำให้ปวดตา และ รู้สึกเส้นเลือดตุบๆตรงเปลือกตาด้านบน ซึ่งมีผลทำให้แค่นั่งยังรู้สึกมึนหัว ต้องนอนทั้งวัน ขนาดนอนพัก 3-4 วันอย่างเดียวก็ยังไม่ฟื้น เดินได้ทีละไม่เกิน 200 เมตร รวมถึงมีอาการจุกคอนิดๆ มีความรู้สึกเส้นเลือดแถวคอมันเกร็งๆจุกๆแต่ไม่ถึงขนาดกลืนไม่ได้ น้ำหนักลดลง 8 โล ภายในเวลา 5 เดือน
การรักษาสุดท้าย – ปัจจุบัน : ช่วงระหว่างป่วย ผมก็หาข้อมูลเรื่องมึนหัวมาตลอด แต่ว่าข้อมูลในไทยหายากเหลือเกิน และค่อนข้างถอดใจกับยาที่กินอยู่ปัจจุบันด้วยเพราะไม่ดีขึ้นเลย สุดท้ายจึงต้องพึ่งข้อมูลจาก community reddit ซึ่งมีกลุ่มที่ชื่อ dizziness สมาชิกเกือบ 2,000 คนอยู่ในนั้น
เป็นกลุ่มมึนหัวไม่ทราบสาเหตุ อาการก็จะแตกต่างกันไปแต่ละคน แต่ที่เหมือนกันคือไม่มีสาเหตุ ซึ่งมีข้อมูลคนที่ success ในการรักษาพอสมควร (ส่วนใหญ่ไม่ 100% มักกลับมาประมาณ 80-99%) จนค้นพบว่าการรักษาหลักๆที่เจอคือ ใช้ยาซึมเศร้าประเภท SSRI , SNRI หรือ การบริการคอ รวมถึงการกายภาพ ซึ่งตัวผมนั้นกายภาพเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหลือทางเลือกเดียวคือไปยาซึมเศร้าหรือยาคลายเครียด
การใช้ยาคลายเครียดสู้กับการเวียนหัว นั้นเป็นเพราะว่า ความรุนแรงของอาการเวียนหัวขึ้นกับความเครียด ยิ่งเครียด ยิ่งเวียนหัว การใช้ยาเหมือนไปช่วยไปเป็นตัวกรอง filter ทำให้ความเครียดปกติที่เราทำกิจกรรมหรือทำงานสักอย่างจาก 100 เหลือสัก 40-50 เมื่อความเครียดรุนแรงน้อยลง ก็ส่งผลให้ไปกระตุ้นประสาทสักจุดที่มันทำงานไม่ถูกต้องน้อยลง เลยทำให้เวียนหัวน้อยลง ตอนแรกเริ่มผมกินยาประเภท SSRI โดสต่ำสุด แต่ว่ากินต่อไม่ไหว เพราะเสียงในหูที่เคยสงบกลับถูกกระตุ้นขึ้นมา ทำให้มีปัญหาชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงเหลือ SNRI เป็นทางเลือกสุดท้าย ต้องบอกเลยว่าเวลานั้นคือจุดแทบจะต่ำสุดของชีวิตเลย เพราะ ใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ กินอะไรก็ลำบาก ไม่รู้ความหมายที่จะใช้ชีวิตต่อเลย มองหาอนาคตไม่เจอ ถ้ายา SNRI ไม่ได้ผล แทบไม่อยากคิดต่อ ซึ่งต้องบอกว่าผมโชคดีมากที่ยาตัวนี้ได้ผล โดยผมกิน clorazepate ควบคู่ไปด้วยอย่างละ 1 เม็ด ทุกวัน จนอาการเริ่มฟื้นขึ้นมาภายใน 10 วัน จนผ่านมา 4-5 สัปดาห์ ผมจึงเหลือแต่ Effexor ตัวเดียว (ยา SNRI ใช้เวลาออกฤทธิ์ 4-6 week) โดย clorazepate กินเป็นบางวัน และ ปัจจุบันมีใช้ Cpap (เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก) ตอนนอน เพราะตอนต้นกุมภาฯ ตรวจพบค่าหยุดหายใจตอนนอน AHI 52 ครั้งต่อชั่วโมงทำให้หลับพักผ่อนดีขึ้น มีอาการตื่นตอนนอนน้อยลง และนอนได้มากขึ้นเป็น 7-8 ชั่วโมง แต่ยังคงมีง่วงระหว่างวันบ้าง (ส่วนตัวอาการดีขึ้นจากกินยาก่อนเริ่มใช้ Cpap)
สรุปปัจจุบัน
การดูแลตัวเองและยาที่กิน : อาการดีขึ้นมา 80-90% แม้จะกินได้มากขึ้นทั้งของคาวและของหวาน แต่ก็พยายามคุมอาหาร กินโจ๊กวันละมื้อเกือบทุกวันเหมือนเดิม แต่ก็มีปล่อยๆกินตามใจปากบ้างเป็นบางวัน ส่วนยาตอนนี้กินแต่ Effexor วันละ 1 เม็ด 37.5 mg และ Clorazepate เป็นบางวัน ส่วนการนอนหลับมีใช้เครื่อง Cpap ทำให้หลับได้ดีขึ้น นอนได้นานขึ้น ล่าสุดพึ่งตรวจ VNG (การเคลื่อนไหวดวงตา) และ VEMP (การตรวจการทรงตัวโดยการวัดกล้ามเนื้อคอ) ไป (เดือนเมษายน 2566) ก็ปกติครับ และ ผลตรวจเลือด (กุมภาพันธ์ 2566) ปกติทุกอย่าง
อาการปัจจุบัน : สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ ทำงานได้ประมาณ 90% ส่วนชีวิตประจำวัน 80-90% ยังคงมีอาการตาล้าๆอยู่บ้าง ถ้าออกกำลังกายจะรู้สึกปวดหัวแบบบีบๆ ไม่รู้ว่าอาการบีบๆมันคือปวดแบบไมเกรนรึเปล่า เลยหยุดออกกำลังกายไปเหลือแต่เดินประมาณ 15 นาทีแทน อาการเดินเซเหลือน้อยลงพอสมควร อาการจุกคอหายไป 70-80% ยังคงมีอาการปวดตรงแอ่งหูอยู่บ้าง (หาวิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อรักษากันต่อไป) ส่วนความรู้สึกตอนนอนเหมือนอยู่บนเรือไม่มีแล้วสุดท้ายก็หวังว่าประสบการณ์การรักษาของผมจะมีประโยชน์กับคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน และ ขอให้ท่านและตัวเอง(ด้วย) หายไวๆครับ ขอบคุณครับ
แชร์ประสบการณ์อาการ "เดินโคลงเคลง" มึนหัว และ การรักษาตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนตัวผมอายุ 35 ปี มีอาการมึนงง เดินโคลงเคลงมาตลอด 7 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 **ไม่มีบ้านหมุน* โดยรักษาตัวมาตลอด 7 เดือน จนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ ได้ชีวิตคืนมา 80-90% จะขอแชร์ประสบการณ์ตามนี้ครับ
อาการแรกเริ่ม 1 (ช่วงเดือนตุลา 2565-พฤศจิ 2565) : มีอาการเดินเซซ้ายนิดหน่อย ตอนนอนมีความรู้สึกอยู่บนเรือนิดๆ แต่ไม่ถึงกับรบกวนชีวิตประจำวัน นั่งเล่นมือถือพอได้แต่ถ้าเดินเล่นมือถือเมื่อไรมีสะเทือน มีอาการเหล่านี้อยู่ประมาณ 10 วันจึงไปหาหมอ ได้พบแผนกหู คอ จมูก ตอนแรกๆก็งงๆว่าทำไมถึงมาแผนกนี้ มารู้ทีหลังว่า เส้นประสาทการทรงตัวจะอยู่ตรงหูชั้นใน หรือ โรคหินปูนหลุดก็มีผลให้เสียการทรงตัว จึงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมพยาบาลถึงแนะนำให้มาแผนกนี้ แต่ว่าตรวจหู ตรวจการได้ยิน การหมุนคอ ไม่เจออะไร หมอจึงให้ยาเกี่ยวกับแก้เวียนหัวมาดังนี้ : betaserc (เพิ่มการไหลเวียนเลือดในหูชั้นใน)กับ flunarizine (แก้เวียนหัว) พร้อมๆกับแนะนำให้ทำกายภาพการทรงตัว (ทำที่บ้านได้)
หลังจากกินยาและกายภาพไป 2-3 week : รู้สึกทรงตัวดีขึ้น แต่ว่ามีเสียงในหูเพิ่มขึ้นมา ไม่รู้ว่าเกิดจากออกกำลังกาย หรือ กายภาพท่าไหนรึเปล่า ทำให้มีปัญหาการนอนพอสมควรเพราะเสียงค่อนข้างดังพอสมควร อดหลับไป 3-4 วันได้ จนต้องไปขอยานอนหลับจากคลีนิค ทำให้สามารถหลับได้อีกครั้ง
อาการทรุด 2 (กลางพฤศจิ 2565 –กลางธันวา 2565) : หลังจากได้รับยานอนหลับ ลดความเครียด เสียงในหูเริ่มเบาลงจนพอเริ่มหลับเองได้บ้างในบางคืน แต่อาการมึนหัวกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกคือกินอาหารเยอะเมื่อไรก็จะมึนหัว หรือถ้าพูดเยอะๆก็ต้องหยุดเพราะมึนหัว เริ่มเครียดมากขึ้นทุกวันจากอาการมึนหัวที่มากขึ้น ยิ่งเครียด ก็ยิ่งมีผลทำให้โคลงเคลงมากขึ้น จนถึงจุดพีคคือยกขาแทบไม่ขึ้น เดินได้แบบช้าๆ เดินได้ทีละไม่เกิน 20-30 ก้าว จึงกลับไปหาหมออีกครั้ง
การตรวจวินิจฉัย : มีการตรวจหู ตรวจการได้ยิน ตรวจหินปูนเหมือนเดิม เอาแว่นมาครอบตาเพื่อดูการขยับตาดำมากขึ้น แต่ก็ไม่เจออะไรเหมือนเดิม หมอจึงสั่ง MRI ด่วน ได้ตรวจภายใน 1-2 week แต่ว่าไม่เจออะไรเหมือนเดิม ท้อส่วนหนึ่ง แต่หมอก็ปลอบใจว่าอย่างน้อยสมองก็ไม่ผิดปกติอะไร
การรักษา : กินยา betaserc , flunarizine , sermoin (เพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง) เหมือนเดิม + กายภาพ อาการดีขึ้นแบบช้าๆ ใช้เวลา 2 week จนสามารถเดินได้ และสามารถกลับไปทำงานได้อีกครั้ง
อาการใหม่ (ช่วงกลางธันวา 2565 – กลางมกราคม 2566) : เป็นอาการที่ไม่เกี่ยวกับการทรงตัว เป็นอาการปวดหูด้านนอกแถวๆรูหู จากในรูปคือแอ่งหู อาการตอนแรกคือคันไม่ทราบสาเหตุ ถึงขนาดตื่นมากลางดึกเพราะคัน และมีปัญหาถึงขนาดนอนตะแคงไม่ได้เพราะไปทับแอ่งหูทำให้เจ็บ แต่พอให้หมอดูก็ไม่เจออะไรผิดปกติ แต่หมออีกคนหนึ่งทักว่าอาจจะมีสาเหตุมาจากกรามก็ได้ แม้ว่าตัวเองจะไม่เคยมีปัญหาเรื่องกรามมาก่อน แต่พอลองอ้าปากขยับๆตามที่หมอทัก ก็รู้สึกว่าแถวจุดแอ่งหู มันปวดขึ้นนิดๆจริงๆ จึงกินโจ๊กและอาหารนิ่มอยู่เกือบ 2 เดือน และนอนหงาย ทำให้อาการตรงจุดนี้ดีขึ้น ก็งงเหมือนกันว่าอาการนี้มันมาได้ไง เหมือนระบบประสาทมันรวนไปหมด ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆมันทำงานผิดปกติ
อาการทรุด 3 (ต้นกุมภา – ต้นมีนาคม 2566) : หลังจากอาการดีขึ้นหลังจากที่เดินแทบไม่ได้ตอนเดือนพฤศจิ-ธันวา ก็พยายามใช้ชีวิตปกติมากขึ้น กินยาเหมือนเดิมทุกวันคือเหลือตัวเดียวคือ betaserc (หยุด sermion เพราะเหมือนมึนมากขึ้น + หมอทักว่าไม่ควรกินคู่กันเท่าไร เพราะออกฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนเลือดคล้ายกัน) แต่อาการเหมือนมันทรุดลงเล็กๆทีละนิด ทีละนิด เรื่อยๆทุกวัน เริ่มมีปัญหานอนน้อยเหลือ 5-6 ชั่วโมง และ มีอาการตื่นกลางดึกมากขึ้น รวมถึงเริ่มมีอาการเมื่อยหรืออาการชาตามแขนและขาเวลานอน ไม่รู้เพราะหยุดยานอนหลับด้วยรึเปล่า โดยตอนนั้นส่วนตัวกิน diazepam 2.5-5 mg เอามาช่วยคุมเสียงในหูทำให้เสียงลดลง ซึ่งก็ไม่ได้กินทุกวัน และหยุดยาเพราะรู้สึกว่าเสียงในหูลดลงในระดับที่ตัวเองใช้ชีวิตประจำวันได้แบบไม่มีปัญหา และจากการพักผ่อนที่ไม่ดีเท่าไร ทำให้อาการมึนหัวแย่ลงอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมสายตาด้วย สายตารู้สึก ล้าๆ มองอะไรนานๆไม่ได้ รวมถึงรู้สึกภาพขยับซ้าย ขวานิดๆ ยิ่งทำให้ปวดตา และ รู้สึกเส้นเลือดตุบๆตรงเปลือกตาด้านบน ซึ่งมีผลทำให้แค่นั่งยังรู้สึกมึนหัว ต้องนอนทั้งวัน ขนาดนอนพัก 3-4 วันอย่างเดียวก็ยังไม่ฟื้น เดินได้ทีละไม่เกิน 200 เมตร รวมถึงมีอาการจุกคอนิดๆ มีความรู้สึกเส้นเลือดแถวคอมันเกร็งๆจุกๆแต่ไม่ถึงขนาดกลืนไม่ได้ น้ำหนักลดลง 8 โล ภายในเวลา 5 เดือน
การรักษาสุดท้าย – ปัจจุบัน : ช่วงระหว่างป่วย ผมก็หาข้อมูลเรื่องมึนหัวมาตลอด แต่ว่าข้อมูลในไทยหายากเหลือเกิน และค่อนข้างถอดใจกับยาที่กินอยู่ปัจจุบันด้วยเพราะไม่ดีขึ้นเลย สุดท้ายจึงต้องพึ่งข้อมูลจาก community reddit ซึ่งมีกลุ่มที่ชื่อ dizziness สมาชิกเกือบ 2,000 คนอยู่ในนั้น เป็นกลุ่มมึนหัวไม่ทราบสาเหตุ อาการก็จะแตกต่างกันไปแต่ละคน แต่ที่เหมือนกันคือไม่มีสาเหตุ ซึ่งมีข้อมูลคนที่ success ในการรักษาพอสมควร (ส่วนใหญ่ไม่ 100% มักกลับมาประมาณ 80-99%) จนค้นพบว่าการรักษาหลักๆที่เจอคือ ใช้ยาซึมเศร้าประเภท SSRI , SNRI หรือ การบริการคอ รวมถึงการกายภาพ ซึ่งตัวผมนั้นกายภาพเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหลือทางเลือกเดียวคือไปยาซึมเศร้าหรือยาคลายเครียด
การใช้ยาคลายเครียดสู้กับการเวียนหัว นั้นเป็นเพราะว่า ความรุนแรงของอาการเวียนหัวขึ้นกับความเครียด ยิ่งเครียด ยิ่งเวียนหัว การใช้ยาเหมือนไปช่วยไปเป็นตัวกรอง filter ทำให้ความเครียดปกติที่เราทำกิจกรรมหรือทำงานสักอย่างจาก 100 เหลือสัก 40-50 เมื่อความเครียดรุนแรงน้อยลง ก็ส่งผลให้ไปกระตุ้นประสาทสักจุดที่มันทำงานไม่ถูกต้องน้อยลง เลยทำให้เวียนหัวน้อยลง ตอนแรกเริ่มผมกินยาประเภท SSRI โดสต่ำสุด แต่ว่ากินต่อไม่ไหว เพราะเสียงในหูที่เคยสงบกลับถูกกระตุ้นขึ้นมา ทำให้มีปัญหาชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงเหลือ SNRI เป็นทางเลือกสุดท้าย ต้องบอกเลยว่าเวลานั้นคือจุดแทบจะต่ำสุดของชีวิตเลย เพราะ ใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ กินอะไรก็ลำบาก ไม่รู้ความหมายที่จะใช้ชีวิตต่อเลย มองหาอนาคตไม่เจอ ถ้ายา SNRI ไม่ได้ผล แทบไม่อยากคิดต่อ ซึ่งต้องบอกว่าผมโชคดีมากที่ยาตัวนี้ได้ผล โดยผมกิน clorazepate ควบคู่ไปด้วยอย่างละ 1 เม็ด ทุกวัน จนอาการเริ่มฟื้นขึ้นมาภายใน 10 วัน จนผ่านมา 4-5 สัปดาห์ ผมจึงเหลือแต่ Effexor ตัวเดียว (ยา SNRI ใช้เวลาออกฤทธิ์ 4-6 week) โดย clorazepate กินเป็นบางวัน และ ปัจจุบันมีใช้ Cpap (เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก) ตอนนอน เพราะตอนต้นกุมภาฯ ตรวจพบค่าหยุดหายใจตอนนอน AHI 52 ครั้งต่อชั่วโมงทำให้หลับพักผ่อนดีขึ้น มีอาการตื่นตอนนอนน้อยลง และนอนได้มากขึ้นเป็น 7-8 ชั่วโมง แต่ยังคงมีง่วงระหว่างวันบ้าง (ส่วนตัวอาการดีขึ้นจากกินยาก่อนเริ่มใช้ Cpap)
สรุปปัจจุบัน
การดูแลตัวเองและยาที่กิน : อาการดีขึ้นมา 80-90% แม้จะกินได้มากขึ้นทั้งของคาวและของหวาน แต่ก็พยายามคุมอาหาร กินโจ๊กวันละมื้อเกือบทุกวันเหมือนเดิม แต่ก็มีปล่อยๆกินตามใจปากบ้างเป็นบางวัน ส่วนยาตอนนี้กินแต่ Effexor วันละ 1 เม็ด 37.5 mg และ Clorazepate เป็นบางวัน ส่วนการนอนหลับมีใช้เครื่อง Cpap ทำให้หลับได้ดีขึ้น นอนได้นานขึ้น ล่าสุดพึ่งตรวจ VNG (การเคลื่อนไหวดวงตา) และ VEMP (การตรวจการทรงตัวโดยการวัดกล้ามเนื้อคอ) ไป (เดือนเมษายน 2566) ก็ปกติครับ และ ผลตรวจเลือด (กุมภาพันธ์ 2566) ปกติทุกอย่าง
อาการปัจจุบัน : สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ ทำงานได้ประมาณ 90% ส่วนชีวิตประจำวัน 80-90% ยังคงมีอาการตาล้าๆอยู่บ้าง ถ้าออกกำลังกายจะรู้สึกปวดหัวแบบบีบๆ ไม่รู้ว่าอาการบีบๆมันคือปวดแบบไมเกรนรึเปล่า เลยหยุดออกกำลังกายไปเหลือแต่เดินประมาณ 15 นาทีแทน อาการเดินเซเหลือน้อยลงพอสมควร อาการจุกคอหายไป 70-80% ยังคงมีอาการปวดตรงแอ่งหูอยู่บ้าง (หาวิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อรักษากันต่อไป) ส่วนความรู้สึกตอนนอนเหมือนอยู่บนเรือไม่มีแล้วสุดท้ายก็หวังว่าประสบการณ์การรักษาของผมจะมีประโยชน์กับคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน และ ขอให้ท่านและตัวเอง(ด้วย) หายไวๆครับ ขอบคุณครับ