.
.
Penguin-mounted video shows
penguins eating jellyfish
.
.
1.
.
ในอดีต นักชีววิทยาทางทะเลเชื่อว่า
แมงกะพรุนมีแคลลอรี่น้อยมาก
จึงไม่น่าจะเป็นอาหารหลัก
ในห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำในท้องทะเล
© Hassan Ammar/Associated Press
.
.
นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานไว้นานแล้วว่า
มีสัตว์น้ำจำนวนน้อยชนิดมากที่กิน
แมงกะพรุน เป็นอาหาร
แต่ผลการวิจัยล่าสุดนี้มีข้อมูลบ่งชี้ว่า
แมงกะพรุนอาจจะเป็นแหล่งอาหารสำคัญ
ของสัตว์น้ำต่าง ๆ ในมหาสมุทร
เพราะโดยสภาพทั่ว ๆ ไปแล้ว
สำหรับพวกปลานักล่าที่หิวโหยแล้ว
การหาแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดหวังได้อย่างมาก
แม้ว่าตัวแมงกะพรุนประกอบด้วยน้ำถึง 95%
และมีแคลลอรี่เพียง 5 แคลลอรี่เท่านั้น
หรือ ราว 1/3 ของปริมาณผักชีฝรั่งหนึ่งถ้วย
จากข้อมูลดังกล่าวเบื้องต้น
ทำให้นักชีววิทยาทางทะเลต่างคิดว่า
แมงกะพรุนจึงเป็นแหล่งอาหาร
ที่ไม่สำคัญของสัตว์น้ำในมหาสมุทร
เพราะคิดว่าสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ
อาจจะไม่ค่อยใส่ใจกินพวกแมงกะพรุน
แต่ความคิดนี้ต้องสิ้นสุดลงแล้ว
เพราะพวกแมงกะพรุนคือ
ห่วงโซ่อาหารที่สำคัญในมหาสมุทร
" ในอดีตแมงกะพรุนมักจะถูกละเลยไป
แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า
เรื่องนี้เป็นมุมมองที่ผิดพลาด
เพราะพวกปลาทูน่าหลายชนิด
แม้แต่พวกนกเพนกวินหลายชนิด
ต่างพากันเสาะหาแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
ยิ่งเราเพ่งดูสังเกตดูมากเท่าไร
แมงกะพรุนยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งจริง ๆ "
Thomas K. Doyle นักชีววิทยาทางทะเล
University College Cork ใน
Ireland
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ว่า
แมงกะพรุนจะช่วยรักษาเสถียรภาพ
ของห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร
ซึ่งพวกแมงกะพรุนจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
ในการเป็นอาหารสำหรับสัตว์น้ำประเภทอื่น ๆ
เมื่อถึงเวลาที่ยากลำบาก/อาหารขาดแคลน
" การรับรู้พวกเราได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
พวกมันดูเหมือนจะพลิกฟื้น/พลิกเปลี่ยน
แนวคิดระบบนิเวศวิทยาใหม่เลย
ทำให้แมงกะพรุนเป็นแหล่งอาหาร
ที่สำคัญของระบบมหาสมุทร "
Jonathan D.R. Houghton นักชีววิทยาทางทะเล
Queen's University Belfast ใน
Northern Ireland
แต่เดิมเพราะเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือ
แคลอรี่ในตัวแมงกะพรุนที่มีเพียงน้อยนิด
แทบจะมีคุณค่าและสารอาหารใด ๆ
ที่ไม่เพียงพอต่อสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
ทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ต่างไม่สนใจ
บรรดาพวกแมงกะพรุนในทัองทะเล
เรื่องเป็นห่วงโซ่อาหารสัตว์น้ำในท้องทะเล
เพราะคิดว่าสัตว์น้ำที่ล่าเหยื่อ
มักจะไม่กินแมงกะพรุน
ในอดีต นักชีววิทยาทางทะเล
จับปลามาผ่าท้องดูหรือตรวจสอบ
จากขี้ของพวกปลากินเนื้อ
ต่างแทบจะไม่พบแมงกะพรุนเลย
แต่ทั้งนี้มีข้อยกเว้น
เต่ามะเฟือง และ
ปลาแสงอาทิตย์ Sunfish
ที่รู้กันมานานแล้วว่า ชอบกินแมงกะพรุนมาก
และพวกมันกินแมงกะพรุนนับหลายร้อยตัวทุกวัน
แม้ว่าเต่ามะเฟือง/ปลาแสงอาทิตย์
จะมีขนาดใหญ่มากในมหาสมุทร
เต่ามะเฟืองจะมีน้ำหนักราว 2,000 ปอนด์
ปลาแสงอาทิตย์จะมีน้ำหนักราว 5,000 ปอนด์
เรื่องนี้ทำให้นักชีววิทยาทางทะเล
ต่างคิดว่าขนาดที่ใหญ่โตของสัตว์น้ำสองชนิดนี้ (เต่ามะเฟือง ปลาแสงอาทิตย์)
ต่างต้องปรับตัวให้มีขนาดพิเศษ
สำหรับดำรงชีพด้วยการกินแมงกะพรุน
กินเป็นอาหารจำนวนมากในแต่ละวัน
ที่กรอกเข้าไปในกระเพาะอาหารขนาดใหญ่
ทำให้กินเหยื่อที่เป็นแมงกะพรุนเข้าไป
ให้ได้มากเพียงพอที่จะอยู่รอดได้
และได้รับสารอาหาร/อาหารปริมาณที่เพียงพอ
.
2.
.
Jellyfish Lake in Palau.
“There’s a lot more to jellyfish than jelly,”
© Benjamin Lowy/Getty Images Reportage
.
.
แต่สำหรับปลากินเนื้อที่ไม่ได้ปรับตัว
ให้กินแมงกะพรุนเป็นอาหาร
จะดูเหมือนว่าการกินแมงกะพรุน
จะเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย
เพราะอาจจะขาดแคลนสารอาหาร
และปริมาณอาหารที่เพียงพอ
แถมบางสายพันธุ์มีพิษสงที่อันตรายรอบตัว
ดังนั้นปลากินเนื้อน่าจะหาเหยื่อชนิดอื่น ๆ
กัดกินเป็นอาหารดีกว่า
เพราะมีปริมาณแคลอรีมากกว่า
ถึง 30 เท่าของแมงกะพรุน
นักชีววิทยาทางทะเลต่างมีความเห็นว่า
ในมหาสมุทรมีแมงกะพรุนเป็นอาหาร
ที่กินไม่ได้ที่มีมากจนเกินไป
และไม่มีใครรู้ว่า มีแมงกะพรุนจำนวนเท่าใดแน่
แต่ก็มักจะเจอพวกแมงกะพรุนจำนวนมหาศาล
ในหลายพื้นที่และในท้องทะเลหลายแห่งมาก
เช่น แมงกะพรุน
Barrel
สามารถสร้างสายใยหนวดที่หนาแน่น
ถ้านำมารวมกันแล้วยืดให้ยาว
จะได้ระยะทางหลายสิบไมล์
หนวดแต่ละเส้นสามารถชั่งน้ำหนัก
ได้มากถึงหกสิบปอนด์
" แต่ถ้าพวกสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ
ไม่กินแมงกะพรุนเป็นอาหารแล้ว
สิ่งนี้เป็นสารอินทรีย์ที่จะสูญหายไป
จากห่วงโซ่อาหารในทัองทะเลด้านบน
พวกมันจะตายลงแล้วตกลงไปสู่ท้องทะเล
เป็นอาหารชั้นดีของพวกจุลินทรีย์ใต้ท้องทะเล
ความเป็นแมงกะพรุนจึงมีค่ามากกว่าแค่วุ้นเยลลี่
(There’s a lot more to jellyfish than jelly.) "
Jonathan D.R. D.R. Houghton
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ความเข้าใจเรื่องแมงกะพรุน
เพิ่งจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงมากขึ้น
เพราะนักชีววิทยาทางทะเลได้ใช้เครื่องมือใหม่ ๆ
เพื่อหาว่าสัตว์น้ำที่กินเนื้อกินอะไรในท้องทะเล
เพราะเหยื่อที่ถูกกินต่างทิ้งลายพิมพ์เคมี (
DNA)
ไว้ในตัวสัตว์ที่ล่าพวกมันกินเป็นอาหาร
ที่มีองค์ประกอบ เช่น ออกซิเจน
และไนโตรเจนในกล้ามเนื้อของสัตว์
จะสามารถเปิดเผยถึงชนิดของเหยื่อ
ที่พวกมันกินลงไปในกระเพาะอาหาร/ลำไส้
ก่อนแปรสภาพเป็นพลังงาน/กล้ามเนื้อ
ปรากฏว่ามีปลาหลายตัวมากเลย
ที่มีลายพิมพ์ DNA แมงกะพรุน
อยู่ในกล้ามเนื้อของพวกมัน
นักชีววิทยาทางทะเลยังได้คิดค้นวิธีการใหม่ ๆ
ในการค้นหาสัตว์น้ำกินเนื้อในมหาสมุทร
แทนที่จะค้นหาเศษซากแมงกะพรุน
เป็นตัวหรือครึ่งตัวในทัองสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
หลายคนต่างเริ่มค้นหาลายพิมพ์
DNA ของแมงกะพรุน
แล้วพบว่ามีลายพิมพ์ DNA ของแมงกะพรุน
จำนวนมากปรากฏอยู่ในกล้ามเนื้อ
ของพวกสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
เช่น ในท้องของปลาไหล
Eel larvae
พบว่า 76% ของลายพิมพ์ DNA เป็นแมงกะพรุน
และจากการตรวจขี้นก
Albatrosses
พบว่า 20% ของลายพิมพ์ DNA เป็นแมงกะพรุน
จากการติดตั้งกล้องขนาดเล็กบน
นกเพนกวิน
ด้วยการจับภาพวิดีโอไว้เป็นเวลาหลายวัน
ภาพของนกเพนกวินได้เปิดเผยว่า
พวกมันยังกินแมงกะพรุนเป็นอาหาร
และข้อเท็จจริงยังพบว่า
พวกมันต่างค้นหาแมงกะพรุนอย่างจริงจัง
แม้ว่าจะมีตัวเลือกอาหารอื่น ๆ อยู่ก็ตาม
ทำให้แมงกะพรุนอาจจะเป็นอาหาร
ของพวกนกเพนกวินมากกว่า 40%
" จากการใช้เทคนิคใหม่ ๆ เหล่านี้
ช่วยให้เราสามารถเจาะลึกข้อมูล
และมองเห็นโลกทัศน์ในอีกทางได้ได้ "
Julie McInnes นักชีววิทยา University of Tasmania
มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย
ของนกเพนกวินที่อยากกินแมงกะพรุน
ทำไมพวกนกเพนกวินจึงต่างกระตือรือร้น
ที่จะกินอาหารที่ไร้ประโยชน์(แมงกะพรุน)เช่นนี้
(แคลลอรี่ต่ำกว่าอาหารประเภทอื่นในท้องทะเล)
.
3.
.
.
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่น่าสนใจ
อาจมาจากสาเหตุที่เป็นเรื่องง่ายมาก
ในการจับกินแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
เพราะแมงกะพรุนไม่สามารถหนีพรวดพราด
ไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ
และเมื่อกินแมงกะพรุนเข้าไปแล้ว
จะสามารถย่อยอาหารได้รวดเร็วกว่า
การกินปลาที่เต็มไปด้วยกระดูก/ก้าง
หรือกุ้งที่เต็มไปด้วยเปลือกและหนวดกุ้ง
สัตว์น้ำ/สัตว์ทะเลบางชนิดจะไม่กลืนกิน
แมงกะพรุนลงไปทั้งตัว
แต่จะกัดกินเฉพาะส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ในขณะที่ Bell ของแมงกะพรุนส่วนใหญ่
จะเป็นพวกน้ำ แต่เนื้อเยื่อและอวัยวะสืบพันธุ์
ของแมงกะพรุนจะเต็มไปด้วยแคลอรี่/โปรตีน
ปริมาณแมงกะพรุนจำนวนมหาศาล
ที่สัตว์น้ำต่างกัดกินแมงกะพรุน
จากตรวจสอบลายพิมพ์ DNA
ทำให้นักวิจัยต่างตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ
ผลกระทบของห่วงโซ่อาหารทั้งหมด
ของสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากเลย
ที่แมงกะพรุนทำให้ระบบนิเวศในมหาสมุทร
มีความเป็นเสถียรภาพ/เพียงพอในระบบ
สัตว์น้ำ เช่น
ปลามีความเสี่ยง ถ้าเกิดปริมาณปลามากเกินไป
แต่พวกปลาก็จะสามารถอยู่รอดได้
ถ้ามีอาหารให้กินได้อย่างเพียงพอ
อาหารที่มีขนาดเหมาะสม
พอกับปากของพวกปลา
ในการกลืนกินในแต่ละขั้นตอน
ของวงจรชีวิตของพวกปลา
ในทำนองเดียวกัน
แมงกะพรุนมีความหลากหลาย/สำคัญมากขึ้น
เมื่อปลาขนาดเล็กอาศัยเป็นฝูงอยู่จำนวนมาก
แมงกะพรุนก็สามารถจับกินเป็นอาหาร
จากหนวดของแมงกะพรุนได้
แต่ถ้าปลาขนาดเล็ก ๆ หากินได้ยากแล้ว
แมงกะพรุนก็ยังสามารถกินแพลงก์ตอนเล็ก ๆ
หรือแม้กระทั่งกินเลนท้องทะเลเป็นอาหาร
จากนั้นพวกสัตว์ทะเลอื่น ๆ ก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้
ด้วยการกินแมงกะพรุนที่มีจำนวนมากเป็นอาหาร
" แมงกะพรุนสร้างความมั่นคงอาหารท้องทะเล
เป็นเสมือนโซ่ข้อกลางของระบบห่วงโซ่อาหาร "
Jonathan D.R. Houghton นักชีววิทยาทางทะเล
Queen's University Belfast ใน Northern Ireland
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://nyti.ms/2zMNsp3
http://bit.ly/2IAa7Hy
.
แมงกะพรุนห่วงโซ่อาหารที่สำคัญในท้องทะเล
.
Penguin-mounted video shows
penguins eating jellyfish
.
.
1.
.
ในอดีต นักชีววิทยาทางทะเลเชื่อว่า
แมงกะพรุนมีแคลลอรี่น้อยมาก
จึงไม่น่าจะเป็นอาหารหลัก
ในห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำในท้องทะเล
© Hassan Ammar/Associated Press
.
.
นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานไว้นานแล้วว่า
มีสัตว์น้ำจำนวนน้อยชนิดมากที่กิน
แมงกะพรุน เป็นอาหาร
แต่ผลการวิจัยล่าสุดนี้มีข้อมูลบ่งชี้ว่า
แมงกะพรุนอาจจะเป็นแหล่งอาหารสำคัญ
ของสัตว์น้ำต่าง ๆ ในมหาสมุทร
เพราะโดยสภาพทั่ว ๆ ไปแล้ว
สำหรับพวกปลานักล่าที่หิวโหยแล้ว
การหาแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดหวังได้อย่างมาก
แม้ว่าตัวแมงกะพรุนประกอบด้วยน้ำถึง 95%
และมีแคลลอรี่เพียง 5 แคลลอรี่เท่านั้น
หรือ ราว 1/3 ของปริมาณผักชีฝรั่งหนึ่งถ้วย
จากข้อมูลดังกล่าวเบื้องต้น
ทำให้นักชีววิทยาทางทะเลต่างคิดว่า
แมงกะพรุนจึงเป็นแหล่งอาหาร
ที่ไม่สำคัญของสัตว์น้ำในมหาสมุทร
เพราะคิดว่าสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ
อาจจะไม่ค่อยใส่ใจกินพวกแมงกะพรุน
แต่ความคิดนี้ต้องสิ้นสุดลงแล้ว
เพราะพวกแมงกะพรุนคือ
ห่วงโซ่อาหารที่สำคัญในมหาสมุทร
" ในอดีตแมงกะพรุนมักจะถูกละเลยไป
แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า
เรื่องนี้เป็นมุมมองที่ผิดพลาด
เพราะพวกปลาทูน่าหลายชนิด
แม้แต่พวกนกเพนกวินหลายชนิด
ต่างพากันเสาะหาแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
ยิ่งเราเพ่งดูสังเกตดูมากเท่าไร
แมงกะพรุนยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งจริง ๆ "
Thomas K. Doyle นักชีววิทยาทางทะเล University College Cork ใน Ireland
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ว่า
แมงกะพรุนจะช่วยรักษาเสถียรภาพ
ของห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร
ซึ่งพวกแมงกะพรุนจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
ในการเป็นอาหารสำหรับสัตว์น้ำประเภทอื่น ๆ
เมื่อถึงเวลาที่ยากลำบาก/อาหารขาดแคลน
" การรับรู้พวกเราได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
พวกมันดูเหมือนจะพลิกฟื้น/พลิกเปลี่ยน
แนวคิดระบบนิเวศวิทยาใหม่เลย
ทำให้แมงกะพรุนเป็นแหล่งอาหาร
ที่สำคัญของระบบมหาสมุทร "
Jonathan D.R. Houghton นักชีววิทยาทางทะเล
Queen's University Belfast ใน Northern Ireland
แต่เดิมเพราะเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือ
แคลอรี่ในตัวแมงกะพรุนที่มีเพียงน้อยนิด
แทบจะมีคุณค่าและสารอาหารใด ๆ
ที่ไม่เพียงพอต่อสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
ทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ต่างไม่สนใจ
บรรดาพวกแมงกะพรุนในทัองทะเล
เรื่องเป็นห่วงโซ่อาหารสัตว์น้ำในท้องทะเล
เพราะคิดว่าสัตว์น้ำที่ล่าเหยื่อ
มักจะไม่กินแมงกะพรุน
ในอดีต นักชีววิทยาทางทะเล
จับปลามาผ่าท้องดูหรือตรวจสอบ
จากขี้ของพวกปลากินเนื้อ
ต่างแทบจะไม่พบแมงกะพรุนเลย
แต่ทั้งนี้มีข้อยกเว้น เต่ามะเฟือง และ ปลาแสงอาทิตย์ Sunfish
ที่รู้กันมานานแล้วว่า ชอบกินแมงกะพรุนมาก
และพวกมันกินแมงกะพรุนนับหลายร้อยตัวทุกวัน
แม้ว่าเต่ามะเฟือง/ปลาแสงอาทิตย์
จะมีขนาดใหญ่มากในมหาสมุทร
เต่ามะเฟืองจะมีน้ำหนักราว 2,000 ปอนด์
ปลาแสงอาทิตย์จะมีน้ำหนักราว 5,000 ปอนด์
เรื่องนี้ทำให้นักชีววิทยาทางทะเล
ต่างคิดว่าขนาดที่ใหญ่โตของสัตว์น้ำสองชนิดนี้ (เต่ามะเฟือง ปลาแสงอาทิตย์)
ต่างต้องปรับตัวให้มีขนาดพิเศษ
สำหรับดำรงชีพด้วยการกินแมงกะพรุน
กินเป็นอาหารจำนวนมากในแต่ละวัน
ที่กรอกเข้าไปในกระเพาะอาหารขนาดใหญ่
ทำให้กินเหยื่อที่เป็นแมงกะพรุนเข้าไป
ให้ได้มากเพียงพอที่จะอยู่รอดได้
และได้รับสารอาหาร/อาหารปริมาณที่เพียงพอ
.
2.
.
Jellyfish Lake in Palau.
“There’s a lot more to jellyfish than jelly,”
© Benjamin Lowy/Getty Images Reportage
.
.
แต่สำหรับปลากินเนื้อที่ไม่ได้ปรับตัว
ให้กินแมงกะพรุนเป็นอาหาร
จะดูเหมือนว่าการกินแมงกะพรุน
จะเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย
เพราะอาจจะขาดแคลนสารอาหาร
และปริมาณอาหารที่เพียงพอ
แถมบางสายพันธุ์มีพิษสงที่อันตรายรอบตัว
ดังนั้นปลากินเนื้อน่าจะหาเหยื่อชนิดอื่น ๆ
กัดกินเป็นอาหารดีกว่า
เพราะมีปริมาณแคลอรีมากกว่า
ถึง 30 เท่าของแมงกะพรุน
นักชีววิทยาทางทะเลต่างมีความเห็นว่า
ในมหาสมุทรมีแมงกะพรุนเป็นอาหาร
ที่กินไม่ได้ที่มีมากจนเกินไป
และไม่มีใครรู้ว่า มีแมงกะพรุนจำนวนเท่าใดแน่
แต่ก็มักจะเจอพวกแมงกะพรุนจำนวนมหาศาล
ในหลายพื้นที่และในท้องทะเลหลายแห่งมาก
เช่น แมงกะพรุน Barrel
สามารถสร้างสายใยหนวดที่หนาแน่น
ถ้านำมารวมกันแล้วยืดให้ยาว
จะได้ระยะทางหลายสิบไมล์
หนวดแต่ละเส้นสามารถชั่งน้ำหนัก
ได้มากถึงหกสิบปอนด์
" แต่ถ้าพวกสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ
ไม่กินแมงกะพรุนเป็นอาหารแล้ว
สิ่งนี้เป็นสารอินทรีย์ที่จะสูญหายไป
จากห่วงโซ่อาหารในทัองทะเลด้านบน
พวกมันจะตายลงแล้วตกลงไปสู่ท้องทะเล
เป็นอาหารชั้นดีของพวกจุลินทรีย์ใต้ท้องทะเล
ความเป็นแมงกะพรุนจึงมีค่ามากกว่าแค่วุ้นเยลลี่
(There’s a lot more to jellyfish than jelly.) "
Jonathan D.R. D.R. Houghton
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ความเข้าใจเรื่องแมงกะพรุน
เพิ่งจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงมากขึ้น
เพราะนักชีววิทยาทางทะเลได้ใช้เครื่องมือใหม่ ๆ
เพื่อหาว่าสัตว์น้ำที่กินเนื้อกินอะไรในท้องทะเล
เพราะเหยื่อที่ถูกกินต่างทิ้งลายพิมพ์เคมี (DNA)
ไว้ในตัวสัตว์ที่ล่าพวกมันกินเป็นอาหาร
ที่มีองค์ประกอบ เช่น ออกซิเจน
และไนโตรเจนในกล้ามเนื้อของสัตว์
จะสามารถเปิดเผยถึงชนิดของเหยื่อ
ที่พวกมันกินลงไปในกระเพาะอาหาร/ลำไส้
ก่อนแปรสภาพเป็นพลังงาน/กล้ามเนื้อ
ปรากฏว่ามีปลาหลายตัวมากเลย
ที่มีลายพิมพ์ DNA แมงกะพรุน
อยู่ในกล้ามเนื้อของพวกมัน
นักชีววิทยาทางทะเลยังได้คิดค้นวิธีการใหม่ ๆ
ในการค้นหาสัตว์น้ำกินเนื้อในมหาสมุทร
แทนที่จะค้นหาเศษซากแมงกะพรุน
เป็นตัวหรือครึ่งตัวในทัองสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
หลายคนต่างเริ่มค้นหาลายพิมพ์
DNA ของแมงกะพรุน
แล้วพบว่ามีลายพิมพ์ DNA ของแมงกะพรุน
จำนวนมากปรากฏอยู่ในกล้ามเนื้อ
ของพวกสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
เช่น ในท้องของปลาไหล Eel larvae
พบว่า 76% ของลายพิมพ์ DNA เป็นแมงกะพรุน
และจากการตรวจขี้นก Albatrosses
พบว่า 20% ของลายพิมพ์ DNA เป็นแมงกะพรุน
จากการติดตั้งกล้องขนาดเล็กบน นกเพนกวิน
ด้วยการจับภาพวิดีโอไว้เป็นเวลาหลายวัน
ภาพของนกเพนกวินได้เปิดเผยว่า
พวกมันยังกินแมงกะพรุนเป็นอาหาร
และข้อเท็จจริงยังพบว่า
พวกมันต่างค้นหาแมงกะพรุนอย่างจริงจัง
แม้ว่าจะมีตัวเลือกอาหารอื่น ๆ อยู่ก็ตาม
ทำให้แมงกะพรุนอาจจะเป็นอาหาร
ของพวกนกเพนกวินมากกว่า 40%
" จากการใช้เทคนิคใหม่ ๆ เหล่านี้
ช่วยให้เราสามารถเจาะลึกข้อมูล
และมองเห็นโลกทัศน์ในอีกทางได้ได้ "
Julie McInnes นักชีววิทยา University of Tasmania
มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย
ของนกเพนกวินที่อยากกินแมงกะพรุน
ทำไมพวกนกเพนกวินจึงต่างกระตือรือร้น
ที่จะกินอาหารที่ไร้ประโยชน์(แมงกะพรุน)เช่นนี้
(แคลลอรี่ต่ำกว่าอาหารประเภทอื่นในท้องทะเล)
.
3.
.
.
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่น่าสนใจ
อาจมาจากสาเหตุที่เป็นเรื่องง่ายมาก
ในการจับกินแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
เพราะแมงกะพรุนไม่สามารถหนีพรวดพราด
ไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ
และเมื่อกินแมงกะพรุนเข้าไปแล้ว
จะสามารถย่อยอาหารได้รวดเร็วกว่า
การกินปลาที่เต็มไปด้วยกระดูก/ก้าง
หรือกุ้งที่เต็มไปด้วยเปลือกและหนวดกุ้ง
สัตว์น้ำ/สัตว์ทะเลบางชนิดจะไม่กลืนกิน
แมงกะพรุนลงไปทั้งตัว
แต่จะกัดกินเฉพาะส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ในขณะที่ Bell ของแมงกะพรุนส่วนใหญ่
จะเป็นพวกน้ำ แต่เนื้อเยื่อและอวัยวะสืบพันธุ์
ของแมงกะพรุนจะเต็มไปด้วยแคลอรี่/โปรตีน
ปริมาณแมงกะพรุนจำนวนมหาศาล
ที่สัตว์น้ำต่างกัดกินแมงกะพรุน
จากตรวจสอบลายพิมพ์ DNA
ทำให้นักวิจัยต่างตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ
ผลกระทบของห่วงโซ่อาหารทั้งหมด
ของสัตว์น้ำ/สัตว์ทะเล
จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากเลย
ที่แมงกะพรุนทำให้ระบบนิเวศในมหาสมุทร
มีความเป็นเสถียรภาพ/เพียงพอในระบบ
สัตว์น้ำ เช่น
ปลามีความเสี่ยง ถ้าเกิดปริมาณปลามากเกินไป
แต่พวกปลาก็จะสามารถอยู่รอดได้
ถ้ามีอาหารให้กินได้อย่างเพียงพอ
อาหารที่มีขนาดเหมาะสม
พอกับปากของพวกปลา
ในการกลืนกินในแต่ละขั้นตอน
ของวงจรชีวิตของพวกปลา
ในทำนองเดียวกัน
แมงกะพรุนมีความหลากหลาย/สำคัญมากขึ้น
เมื่อปลาขนาดเล็กอาศัยเป็นฝูงอยู่จำนวนมาก
แมงกะพรุนก็สามารถจับกินเป็นอาหาร
จากหนวดของแมงกะพรุนได้
แต่ถ้าปลาขนาดเล็ก ๆ หากินได้ยากแล้ว
แมงกะพรุนก็ยังสามารถกินแพลงก์ตอนเล็ก ๆ
หรือแม้กระทั่งกินเลนท้องทะเลเป็นอาหาร
จากนั้นพวกสัตว์ทะเลอื่น ๆ ก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้
ด้วยการกินแมงกะพรุนที่มีจำนวนมากเป็นอาหาร
" แมงกะพรุนสร้างความมั่นคงอาหารท้องทะเล
เป็นเสมือนโซ่ข้อกลางของระบบห่วงโซ่อาหาร "
Jonathan D.R. Houghton นักชีววิทยาทางทะเล
Queen's University Belfast ใน Northern Ireland
.
เรียบเรียง/ที่มา
https://nyti.ms/2zMNsp3
http://bit.ly/2IAa7Hy
.
4.
.
http://bit.ly/2IAa7Hy
.
.
5.
.
ปลาไหล Eel larvae
.
.
6.
.
นก Albatrosses
.
.
แมงกะพรุนขนาดยักษ์
.
.
.
ค้นพบปลาแสงอาทิตย์สายพันธุ์ใหม่ (สายพันธุ์ที่ 4)
.
.
.
ชาวประมงรัสเซียจับปลาแสงอาทิตย์ตัวใหญ่ที่สุดในโลก
.
.
.