ทนายวิญญัติ ชี้'มาร์ค-เทือก'เเพ้คดีฟ้อง'ธาริต- 4 ดีเอสไอ'เเจ้งข้อหาสั่งฆ่าประชาชน
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1150223
ทนายวิญญัติ ชี้’มาร์ค-เทือก’เเพ้คดีฟ้อง’ธาริต-ดีเอสไอ’เเจ้งข้อหาสั่งฆ่าประชาชน คำวินิจฉัยศาลชี้ อนุญาตใช้อาวุธสงครามกับประชาชน เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุคนตายจำนวนมาก ลั่นคนเกี่ยวข้องกับการสั่งการต้องรับผิดในกระบวนการยุติธรรมในอนาคต
นาย
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์ นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ได้โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊คให้ความเห็น ข้อกฎหมาย หลังศาลยกฟ้อง นาย
ธาริตกับพวก
#ประชาชนตายคือความจริง_ความเป็นธรรมมีอยู่จริง?
“ตามที่มีสื่อมวลชนหลายสำนักรายงานข่าว เมื่อวันที่ 25 ก.ย.61 ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และตำแหน่งบริหารสถานการณ์ขณะนั้นคือ ผอ.ศอฉ. เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553
ทั้งสองเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นคณะพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตาม ป.อ.มาตรา 157 สืบเนื่องจากนายธาริตกับพวก รวมทั้งคณะกรรมการ คณะทำงานร่วมสอบสวนพิจารณาสำนวนแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องบุคคลทั้งสอง ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาย ตาม ป.อ.มาตรา 288,289 แล้วส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนของพนักงานสอบสวน สรุปคือ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่เห็นด้วยกับการสั่งฟ้องตนเองว่ากระทำความผิดจากการใช้อำนาจเมื่อปี 2553 มีการต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมายอยู่หลายปีผ่านองค์กรทางกระบวนการยุติธรรมมา มีความเห็นแตกต่างกันตามปกติวิสัยของนักกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงที่คนทั่วไปเห็นความตายและการบาดเจ็บ รวมถึงยุทธวิธีจัดการกับการชุมนุมน่าเชื่ออย่างมั่นคงว่า ไม่มีใครจะเห็นต่างกันมากนัก
กรณีฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบคดีนี้ ผลของคำพิพากษาที่ออกมาล่าสุด คือ ศาลอาญายกฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์กับพวก
นอกเหนือจากประเด็นที่ศาลวินิจฉัยว่า การปฏิบัติหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวนไม่มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ผมเชื่อว่ายังคงมีสาระสำคัญที่ต้องจับตา หากคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ถูกเผยแพร่ ในโอกาสที่ผมติดตามคดีนี้และมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายคดีที่เป็นเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ผมจะขอวิเคราะห์สิ่งที่จะเป็นประเด็นให้คิดต่อยอดตามวิสัยของนักกฎหมาย เมื่อพิจารณาตามหลักการสากลถึงเหตุและผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 แล้วย่อมจะมองไปในทิศทางที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ ทั้งนี้ หากในคำพิพากษาของศาลโดยเฉพาะส่วนที่เป็นคำวินิจฉัย อาจชี้ถึงการกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ อันมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) การที่ ผอ.ศอฉ.ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามร้ายแรงเข้าควบคุมผู้ชุมนุมเป็นการกระทำที่เกินเลยจากอำนาจตามกฏหมาย
(2) การใช้กำลังทหารและยุทธวิธีทางทหารคล้ายกับการทำสงครามนั้น เป็นผลโดยตรงให้เกิดการทำร้ายประชาชน และจนท.เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
(3) แม้ว่าบางเหตุการณ์ของการชุมนุมจะมีการกระทำของผู้ร่วมชุมนุมบางส่วนอาจกระทำผิดใดๆก็ตาม แต่ผู้มีอำนาจก็ไม่มีความชอบที่จะจัดการกับผู้ชุมนุมตามอำเภอใจและเกินเลยจากอำนาจตามกฏหมายได้
(4) เมื่อบุคคลทั้งสอง พึงคาดหมายได้ว่าความตายและการบาดเจ็บจะเกิดขึ้นได้ ถือว่ามิได้ป้องกันหรือมีมาตรการในการควบคุมหรือระมัดระวังตามสมควรมิให้เกิดการใช้อำนาจเกินเลยจากกฏหมาย ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามนัย ของ พรบ.ฉุกเฉินฯให้พ้นความรับผิดได้
ทั้งนี้ ในคำพิพากษาของศาลอาญาอาจวินิจฉัยอีกว่า การใช้อำนาจของทั้งสองคนว่า ออกคำสั่งเกินเลยจากอำนาจตามกฏหมาย ผลคือ ทำให้มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ข้อเท็จจริงนี้ผ่านการไต่สวนสาเหตุการตายของศาลหลายจุด ที่มีคำสั่งว่าเหตุการณ์ความตายเกิดจากทหาร ศอฉ.ใช้กระสุนปืนจริงยิงคนตายจริง ซึ่งล้วนมาจากการทำตามคำสั่ง ศอฉ. และสำนวนคดีการตายนี้เอง ที่อัยการสูงสุดได้เคยมีคำสั่งฟ้องทั้งสองคนฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลมาแล้ว
ดังนั้น เมื่อมองภาพรวมของแนวทางของศาลฎีกา,ป.ป.ช.,รวมถึงแนวคำวินิจฉัยของคดีนี้ จึงเป็นประเด็นใหม่ที่น่าจะยุติแล้วว่า นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี นายทหารที่เกี่ยวข้องกับการคุมกำลัง สั่งการทั้งหลายย่อมต้องเกิดความรับผิดโดยกระบวนการยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ทุกฝ่ายในสังคมต้องตระหนักร่วมกันเพื่อสร้างให้เกิดความยุติธรรมกับประชาชนผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ญาติของบุคคลเหล่านั้นอันเป็นหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรมอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค กล่าวคือ ผู้ที่ใช้อำนาจสั่งการให้ใช้กำลังทหารและยุทโธปกรณ์ทางทหารซึ่งทำให้เกิดบาดเจ็บล้มตายของประชาชน บุคคลเหล่านั้นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เกิดการพิจารณาคดีโดยเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยเร็ว มิใช่เรื่องจะเก็บไว้ใต้พรหมวิเศษอีก อย่างที่ผ่านมา”
#หมายเหตุ: เรื่องนี้เกิดจากเหตุการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองและการยุติธรรมของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจและติดตาม ข้อเขียนนี้จึงเป็นการตั้งประเด็นในทางวิชาการโดยวิเคราะห์จากข่าวที่เผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งเป็นมุมมองความเห็นส่วนตัว มิได้มีเจตนาก้าวล่วงคำพิพากษาซึ่งได้อ่านไปแล้ว และไม่มีเจตนาให้ผู้ใดได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1041580032690034&set=a.284778021703576&type=3
พท.เปิดตัวคนการเมืองรุ่นใหม่นักวิชาการ-ลูกหลานพรึ่บ!(คลิป)
https://www.dailynews.co.th/politics/668359
"เพื่อไทย"เปิดตัวคนการเมืองรุ่นใหม่ "นักวิชาการ-ลูกหลานนักการเมืองตบเท้าเข้าพรึ่บ
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.
วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมเปิดตัวกลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรคประมาณ 30 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการและลูกหลานสมาชิกพรรคเพื่อไทย อาทิ นาย
เผ่าภูมิ โรจนสกุล ที่ปรึกษาเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นาย
กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสาว
อรุณี กาสยานนท์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นาย
ต้น ณ ระนอง บุตรชายนาย
กิติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และนาย
เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมณ์ บุตรชายนาย
บุญทรง เตริยาภิรมย์ ทั้งนี้ ที่น่าจับตาคือ นางสาว
อรุณีนั้นถูกคาดหมายว่าจะลงสมัครส.ส.พิษณุโลกในเขตพื้นที่เดียวกับนพ.
วรงค์ เดชกิจวิกรม แคนดิเดทผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ด้วย
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเเท้จริง ไม่ได้มีแค่ภาพ แต่มีความสามารถ มีอุดมการณ์ ที่จะผสมผสานนำภารกิจ วิสัยทัศน์ และนโยบายไปสู่การปฎิบัติด้วยการผสมผสานกับบุคลากรของพรรคที่มีอยู่เดิมทั้งอดีตส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งจะทำให้คนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีความแตกต่างกับพรรคอื่นๆ
ด้านน.ส.
อรุณี กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรค เพราะการเข้ามาทำงานทางการเมืองเพื่อพยายามลดความขัดแย้ง ทำให้ประเทศเดินหน้า ทำการเมืองสร้างสรรค์ มีทัศนคติทางการเมืองเชิงบวก ลดการตอบโต้ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่มีความกังวลที่เข้ามาอยู่กับพรรคเพื่อไทยที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล และพร้อมจะสู้ทุกรูปแบบด้วยความขาวสะอาดและโปร่งใส
ขณะที่นาย
ภูมิธรรม กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ที่มาสมัครสมาชิกนั้นมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมาทำงานให้กับพรรค ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะลงสมัครส.ส.เขต ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะมาทำงานเชิงนโยบายและช่วยงานการเมืองในทุกมิติ ซึ่งถือว่าการมาของคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ทำให้พรรคมีความหลากหลายมากขึ้น.
"อนาคตใหม่"ลุยหาดใหญ่ชูกระจายอำนาจทุกมิติ
https://www.dailynews.co.th/politics/668419
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บรรยายในหัวข้อ
"เมื่อปากถูกปิด เมื่อเศรษฐกิจถูกผูกขาด เมื่ออำนาจถูกแย่งไป คนหาดใหญ่ว่าไงจ๊ะ" โดยมีนักศึกษา และประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก
โดยนาย
ปิยบุตร กล่าวว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องการเลือกตั้งผู้นำเท่านั้น แต่ต้องกระจายไปในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง งบประมาณ บุคลากร โอกาส รวมถึงเรื่องทรัพยากร ยกตัวอย่างคนที่อยู่ต่างจังหวัด เรียนจบปริญญาตรี แทบไม่มีงานที่ให้เงินเดือน 1.8-2 หมื่นบาทเลย จะมีก็แค่อาชีพเดียวคือข้าราชการเพราะเท่ากันหมดทั้งประเทศ ดังนั้น ผู้คนจึงหลั่งไหลไปทำงานในกทม.จะอยู่ที่บ้านเริ่มต้นทำธุรกิจตัวเองก็เข้าไม่ถึงทุน เพราะธนาคารใหญ่ๆทั้งหลายปล่อยกู้ให้เฉพาะนักธุรกิจรายใหญ่ จึงไม่แปลกที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยจะสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
"การจะเริ่มต้นทำธุรกิจ เป็นผู้ประกอบการใหม่ในท้องถิ่นไม่ง่าย จากการที่ผมและคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เดินทางไปแล้วกว่า 65 จังหวัด พบว่าคนในต่างจังหวัดมีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ แต่จะเริ่มทำธุรกิจตัวเองก็ติดล็อก โดยเฉพาะเรื่องใบอนุญาต ซึ่งกว่าจะได้มามีขั้นตอนเยอะแยะวุ่นวาย และกระจายไปในหลายหน่วยงานมาก ที่สำคัญคือ ทุกขั้นตอนก็มีต้นทุน มีค่าใช้จ่าย ซึ่งยังไม่นับเรื่องต้นทุนทางเวลาที่เสียไป ยกตัวอย่างปัญหาของประมงพาณิชย์ที่ไปเจอมาล่าสุด กว่าชาวประมงจะได้ออกเรือ ต้องขออนุญาตทั้งกรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาสังคม ฯ สาธารณสุข ทหารเรือ เยอะแยะวุ่นวาย ดังนั้น สิ่งที่เราคิดคือ ใบอนุญาตต่างๆ ที่มีเยอะแยะ มีขั้นตอนภาระการได้มา และออกในหลายหน่วยงานแบบนี้ต้องเลิก ขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ทำให้คนติดขัดเข้าไม่ถึงต้องพิจารณาใหม่ และรวมการอนุญาตนั้นไว้ให้เหลือที่หน่วยงานเดียว คือ ท้องถิ่น" นาย
ปิยบุตร กล่าว.
JJNY : 5in1 วิญญัติ ชี้'มาร์ค-เทือก'เเพ้คดี/พท.เปิดตัวรุ่นใหม่/อนค.ชูกระจายอำนาจ/ขึ้นเงินเดือน/ชาวกรุงเครียดเงินไม่พอ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1150223
ทนายวิญญัติ ชี้’มาร์ค-เทือก’เเพ้คดีฟ้อง’ธาริต-ดีเอสไอ’เเจ้งข้อหาสั่งฆ่าประชาชน คำวินิจฉัยศาลชี้ อนุญาตใช้อาวุธสงครามกับประชาชน เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุคนตายจำนวนมาก ลั่นคนเกี่ยวข้องกับการสั่งการต้องรับผิดในกระบวนการยุติธรรมในอนาคต
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์ นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ได้โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊คให้ความเห็น ข้อกฎหมาย หลังศาลยกฟ้อง นายธาริตกับพวก
#ประชาชนตายคือความจริง_ความเป็นธรรมมีอยู่จริง?
“ตามที่มีสื่อมวลชนหลายสำนักรายงานข่าว เมื่อวันที่ 25 ก.ย.61 ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และตำแหน่งบริหารสถานการณ์ขณะนั้นคือ ผอ.ศอฉ. เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553
ทั้งสองเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นคณะพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตาม ป.อ.มาตรา 157 สืบเนื่องจากนายธาริตกับพวก รวมทั้งคณะกรรมการ คณะทำงานร่วมสอบสวนพิจารณาสำนวนแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องบุคคลทั้งสอง ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาย ตาม ป.อ.มาตรา 288,289 แล้วส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนของพนักงานสอบสวน สรุปคือ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่เห็นด้วยกับการสั่งฟ้องตนเองว่ากระทำความผิดจากการใช้อำนาจเมื่อปี 2553 มีการต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมายอยู่หลายปีผ่านองค์กรทางกระบวนการยุติธรรมมา มีความเห็นแตกต่างกันตามปกติวิสัยของนักกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงที่คนทั่วไปเห็นความตายและการบาดเจ็บ รวมถึงยุทธวิธีจัดการกับการชุมนุมน่าเชื่ออย่างมั่นคงว่า ไม่มีใครจะเห็นต่างกันมากนัก
กรณีฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบคดีนี้ ผลของคำพิพากษาที่ออกมาล่าสุด คือ ศาลอาญายกฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์กับพวก
นอกเหนือจากประเด็นที่ศาลวินิจฉัยว่า การปฏิบัติหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวนไม่มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ผมเชื่อว่ายังคงมีสาระสำคัญที่ต้องจับตา หากคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ถูกเผยแพร่ ในโอกาสที่ผมติดตามคดีนี้และมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายคดีที่เป็นเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ผมจะขอวิเคราะห์สิ่งที่จะเป็นประเด็นให้คิดต่อยอดตามวิสัยของนักกฎหมาย เมื่อพิจารณาตามหลักการสากลถึงเหตุและผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 แล้วย่อมจะมองไปในทิศทางที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ ทั้งนี้ หากในคำพิพากษาของศาลโดยเฉพาะส่วนที่เป็นคำวินิจฉัย อาจชี้ถึงการกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ อันมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) การที่ ผอ.ศอฉ.ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามร้ายแรงเข้าควบคุมผู้ชุมนุมเป็นการกระทำที่เกินเลยจากอำนาจตามกฏหมาย
(2) การใช้กำลังทหารและยุทธวิธีทางทหารคล้ายกับการทำสงครามนั้น เป็นผลโดยตรงให้เกิดการทำร้ายประชาชน และจนท.เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
(3) แม้ว่าบางเหตุการณ์ของการชุมนุมจะมีการกระทำของผู้ร่วมชุมนุมบางส่วนอาจกระทำผิดใดๆก็ตาม แต่ผู้มีอำนาจก็ไม่มีความชอบที่จะจัดการกับผู้ชุมนุมตามอำเภอใจและเกินเลยจากอำนาจตามกฏหมายได้
(4) เมื่อบุคคลทั้งสอง พึงคาดหมายได้ว่าความตายและการบาดเจ็บจะเกิดขึ้นได้ ถือว่ามิได้ป้องกันหรือมีมาตรการในการควบคุมหรือระมัดระวังตามสมควรมิให้เกิดการใช้อำนาจเกินเลยจากกฏหมาย ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามนัย ของ พรบ.ฉุกเฉินฯให้พ้นความรับผิดได้
ทั้งนี้ ในคำพิพากษาของศาลอาญาอาจวินิจฉัยอีกว่า การใช้อำนาจของทั้งสองคนว่า ออกคำสั่งเกินเลยจากอำนาจตามกฏหมาย ผลคือ ทำให้มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ข้อเท็จจริงนี้ผ่านการไต่สวนสาเหตุการตายของศาลหลายจุด ที่มีคำสั่งว่าเหตุการณ์ความตายเกิดจากทหาร ศอฉ.ใช้กระสุนปืนจริงยิงคนตายจริง ซึ่งล้วนมาจากการทำตามคำสั่ง ศอฉ. และสำนวนคดีการตายนี้เอง ที่อัยการสูงสุดได้เคยมีคำสั่งฟ้องทั้งสองคนฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลมาแล้ว
ดังนั้น เมื่อมองภาพรวมของแนวทางของศาลฎีกา,ป.ป.ช.,รวมถึงแนวคำวินิจฉัยของคดีนี้ จึงเป็นประเด็นใหม่ที่น่าจะยุติแล้วว่า นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี นายทหารที่เกี่ยวข้องกับการคุมกำลัง สั่งการทั้งหลายย่อมต้องเกิดความรับผิดโดยกระบวนการยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ทุกฝ่ายในสังคมต้องตระหนักร่วมกันเพื่อสร้างให้เกิดความยุติธรรมกับประชาชนผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ญาติของบุคคลเหล่านั้นอันเป็นหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรมอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค กล่าวคือ ผู้ที่ใช้อำนาจสั่งการให้ใช้กำลังทหารและยุทโธปกรณ์ทางทหารซึ่งทำให้เกิดบาดเจ็บล้มตายของประชาชน บุคคลเหล่านั้นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เกิดการพิจารณาคดีโดยเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยเร็ว มิใช่เรื่องจะเก็บไว้ใต้พรหมวิเศษอีก อย่างที่ผ่านมา”
#หมายเหตุ: เรื่องนี้เกิดจากเหตุการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองและการยุติธรรมของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจและติดตาม ข้อเขียนนี้จึงเป็นการตั้งประเด็นในทางวิชาการโดยวิเคราะห์จากข่าวที่เผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งเป็นมุมมองความเห็นส่วนตัว มิได้มีเจตนาก้าวล่วงคำพิพากษาซึ่งได้อ่านไปแล้ว และไม่มีเจตนาให้ผู้ใดได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1041580032690034&set=a.284778021703576&type=3
พท.เปิดตัวคนการเมืองรุ่นใหม่นักวิชาการ-ลูกหลานพรึ่บ!(คลิป)
https://www.dailynews.co.th/politics/668359
"เพื่อไทย"เปิดตัวคนการเมืองรุ่นใหม่ "นักวิชาการ-ลูกหลานนักการเมืองตบเท้าเข้าพรึ่บ
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมเปิดตัวกลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรคประมาณ 30 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการและลูกหลานสมาชิกพรรคเพื่อไทย อาทิ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ที่ปรึกษาเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสาวอรุณี กาสยานนท์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นายต้น ณ ระนอง บุตรชายนายกิติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และนายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมณ์ บุตรชายนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ทั้งนี้ ที่น่าจับตาคือ นางสาวอรุณีนั้นถูกคาดหมายว่าจะลงสมัครส.ส.พิษณุโลกในเขตพื้นที่เดียวกับนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แคนดิเดทผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ด้วย
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเเท้จริง ไม่ได้มีแค่ภาพ แต่มีความสามารถ มีอุดมการณ์ ที่จะผสมผสานนำภารกิจ วิสัยทัศน์ และนโยบายไปสู่การปฎิบัติด้วยการผสมผสานกับบุคลากรของพรรคที่มีอยู่เดิมทั้งอดีตส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งจะทำให้คนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีความแตกต่างกับพรรคอื่นๆ
ด้านน.ส.อรุณี กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรค เพราะการเข้ามาทำงานทางการเมืองเพื่อพยายามลดความขัดแย้ง ทำให้ประเทศเดินหน้า ทำการเมืองสร้างสรรค์ มีทัศนคติทางการเมืองเชิงบวก ลดการตอบโต้ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่มีความกังวลที่เข้ามาอยู่กับพรรคเพื่อไทยที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล และพร้อมจะสู้ทุกรูปแบบด้วยความขาวสะอาดและโปร่งใส
ขณะที่นายภูมิธรรม กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ที่มาสมัครสมาชิกนั้นมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมาทำงานให้กับพรรค ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะลงสมัครส.ส.เขต ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะมาทำงานเชิงนโยบายและช่วยงานการเมืองในทุกมิติ ซึ่งถือว่าการมาของคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ทำให้พรรคมีความหลากหลายมากขึ้น.
"อนาคตใหม่"ลุยหาดใหญ่ชูกระจายอำนาจทุกมิติ
https://www.dailynews.co.th/politics/668419
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บรรยายในหัวข้อ "เมื่อปากถูกปิด เมื่อเศรษฐกิจถูกผูกขาด เมื่ออำนาจถูกแย่งไป คนหาดใหญ่ว่าไงจ๊ะ" โดยมีนักศึกษา และประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก
โดยนายปิยบุตร กล่าวว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องการเลือกตั้งผู้นำเท่านั้น แต่ต้องกระจายไปในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง งบประมาณ บุคลากร โอกาส รวมถึงเรื่องทรัพยากร ยกตัวอย่างคนที่อยู่ต่างจังหวัด เรียนจบปริญญาตรี แทบไม่มีงานที่ให้เงินเดือน 1.8-2 หมื่นบาทเลย จะมีก็แค่อาชีพเดียวคือข้าราชการเพราะเท่ากันหมดทั้งประเทศ ดังนั้น ผู้คนจึงหลั่งไหลไปทำงานในกทม.จะอยู่ที่บ้านเริ่มต้นทำธุรกิจตัวเองก็เข้าไม่ถึงทุน เพราะธนาคารใหญ่ๆทั้งหลายปล่อยกู้ให้เฉพาะนักธุรกิจรายใหญ่ จึงไม่แปลกที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยจะสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
"การจะเริ่มต้นทำธุรกิจ เป็นผู้ประกอบการใหม่ในท้องถิ่นไม่ง่าย จากการที่ผมและคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เดินทางไปแล้วกว่า 65 จังหวัด พบว่าคนในต่างจังหวัดมีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ แต่จะเริ่มทำธุรกิจตัวเองก็ติดล็อก โดยเฉพาะเรื่องใบอนุญาต ซึ่งกว่าจะได้มามีขั้นตอนเยอะแยะวุ่นวาย และกระจายไปในหลายหน่วยงานมาก ที่สำคัญคือ ทุกขั้นตอนก็มีต้นทุน มีค่าใช้จ่าย ซึ่งยังไม่นับเรื่องต้นทุนทางเวลาที่เสียไป ยกตัวอย่างปัญหาของประมงพาณิชย์ที่ไปเจอมาล่าสุด กว่าชาวประมงจะได้ออกเรือ ต้องขออนุญาตทั้งกรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาสังคม ฯ สาธารณสุข ทหารเรือ เยอะแยะวุ่นวาย ดังนั้น สิ่งที่เราคิดคือ ใบอนุญาตต่างๆ ที่มีเยอะแยะ มีขั้นตอนภาระการได้มา และออกในหลายหน่วยงานแบบนี้ต้องเลิก ขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ทำให้คนติดขัดเข้าไม่ถึงต้องพิจารณาใหม่ และรวมการอนุญาตนั้นไว้ให้เหลือที่หน่วยงานเดียว คือ ท้องถิ่น" นายปิยบุตร กล่าว.