"ปกรณัมเลือดศาสตร์"

กระทู้สนทนา
"บทสิ่งเหล่านั้น"


                                       
"ทุกคนตายหมดแล้ว"


        เขาได้แต่มองท้องฟ้าที่กลายเป็นสีดำเพราะคำสาปที่ติดตัวเขามายาวนาน สิ่งที่เขาหดหู่ไม่ใช่สีของท้องฟ้าที่เป็นสีแห่งความโศกเศร้า มันเป็นเพียงสีสันของธรรมชาติ แต่เขาเจ็บปวด เจ็บปวดที่รับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง โลกของเขามันแหลกสลายและตายทั้งเป็น เลือดที่มือเขาแห้งกรัง มันคืบคลานและเฝ้าตามเราไปทุกที่ มันคืบคลานและทอดร่างทับบนตัวของเหล่าสหายของเขา "ความตาย"นั่นเอง เขากับความตายกลายเป็นสหายสนิทไปเสียแล้ว สนิทจนพูดไม่ออก
มันก็ยากจะทำใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่แสดงอารมณ์และพูดไม่เก่งเอาเสียเลย สิ่งที่เขาชอบแสดงมากที่สุดคือการแกล้งว่ามีอารมณ์ร่วม ยิ่งเฉพาะอยู่ต่อหน้าเหล่าสหายที่พวกเขามีทั้งความฝันและอารมณ์ขันแล้ว เขาจะต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นเวลากินข้าว เวลาทำภารกิจ หรือก่อนนอน พวกเขาจะต้องมานั่งกันพูดคุย ดื่มเหล้า หัวเราะสรวลเฮฮา หัวเราะและหันหลังให้กับโลกใบนี้ โลกที่ทรยศทุกสิ้นทุกอย่าง....
แม้จะไร้ซึ่งอนาคตอันสดใส มีเพียงความมืดมนของเงามฤตยูที่คอยเฝ้ามองเราอยู่เงียบ ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เรายังดำรงความเป็นคนไว้ได้ ก็คงจะเป็น ความเพี้ยนของคนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้ากองที่ชอบกินเหล้าก่อนทำภารกิจ นักสอดแนมที่ชอบดูดยาเส้นเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าอ้วนมือธนูที่ชอบกินไปยิงไป และ  มาร์สันที่ชอบคุยกับม้าแทนคน พวกบ้าบอเหล่านี้ล่ะ ที่ทำให้เขาใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนประหลาดเล่านี้ได้ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ทุกเมื่อเชื่อวันมีแต่คนเถื่อนฝูงนี้ล่ะ ที่เป็นที่พักรักษาเยียวยาความเจ็บปวดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ็ปปวดเพราะอะไร
   แต่กาลเวลาพิสูจน์ม้าชะตาพิสูจน์คน ตะวันย่อมมีคราสจันทราก็มีแรม  ชีวิตคนเรามีขึ้นย่อมมีลง และบททดสอบ พอจะมา มันก็เป็นบทโหดร้ายแสนทรมาน เกินกว่าจะรับเอาไว้ได้หมด เขาคงต้องอาเจียนมา  ไม่ใช่อ้วกเพราะเหม็นกลิ่นเหม็นสาบศพ แต่เพราะเขาไม่รู้จะแสดงอารมณ์อะไรในสถานการณ์แบบนี้  เศร้า สิ้นหวังหรือจะให้นอนคุยกับศพของสหาย หรือฟูมฟายจนน้ำตาเหือดแห้ง โลกของเขาก็คงไม่กลับมา มันเลือนรางราวกับแสงไฟ แสงไฟแห่งจิตใจ  ไฟแห่งการดำรงชีวิตมันคงจะกำลังจะดับลง 

  "สิ่งเหล่านั้น"นั้นมันพลัดพรากสิ่งไปหมดสิ้น มันฆ่าความเป็นคนของเขาไปหมดสิ้น  มันพรากทั้งลมหายใจสหายร่วมรบ รสชาติของอาหารกับสหายร่วมกิน  และจิตใจสหายแห่งปณิธาน

  "สิ่งเหล่านั้น"มันจะดุร้ายโหดเหี้ยมเกินกว่าจะบรรยายจากตำนานที่เล่าไว้เสียอีกแม้พวกเขาจะมีฝีมือและกำลังใจอันกล้าแข็ง แต่ไม่สามารถต้านทานพลังของ "สิ่งเหล่านั้น"ได้ เทพแห่งโชคชะตาชีวิตก็หาได้เห็นค่าชีวิตของพวกเขาไม่ พวกเขาต่างล้มตายและจบชีวิตอย่างอนาถ เหล่านักรบคนหนุ่มและพรรคพวกทั้งหมดใน "รังทมิฬ"  ป้อมปราการสุดท้ายของมนุษยชาติ เจอสิ่งมีชีวิตลึกลับสุดแกร่งไล่ล่าสังหารจนหมดสิ้น เขาอาศัยอยู่ที่รังทมิฬมาอย่างยาวนาน ยาวมากจนจำไม่ได้ว่าตัวเองมาตอนไหนและก็ไม่คิดจะนับวัน  พวกเขาเหล่านักรบสู้กันจนวาระสุดท้าย ดิ้นรนทุกสิ่ง หยิบทุกคมอาวุธ ทุกความหวัง ที่จะงัดขึ้นมาสู้ แต่สุดปลายทาง"สิ่งเหล่านั้น" ก็ยังเดินหน้ากวาดล้างพวกเขาอย่างไร้ความปรานี ฉากสุดท้ายทุกคนค่อย ๆ ถูกดับลมหายใจไปทีละคนสองคน และเขาก็เตรียมใจตายพร้อมทุกคนแล้ว ตอนจบ "สิ่งเหล่านั้น"ปรากฏตัวล้อมพวกสหายนักรบ และจัดการพวกเขาจนหมดสิ้นแล้ว 

  "เขากลับรอด"

..รอดมามาได้อย่างไรนั้น เขาเองก็ไม่ทราบคำตอบ... 

ในบริเวณ"รังทมิฬ" ไม่มีใครรอดเลย ส่วนเขาไม่ใช่ผู้รอด แต่เขารู้สึกว่า เขาตายทั้งเป็นไปกับการตายพวกสหายด้วยต่างหาก

    ไม่มีบทเพลง ไม่มีลมหายใจ และต้องอยู่ตัวคนเดียว เขาร่ำร้องหาคนหนึ่งในใจ..
"พี่ชาย..........."
        เขากำลังนอนอยู่บนพาหนะสี่ขา ตัวหนึ่ง มันคือหมาป่าสีขาวขนาดใหญ่ แบกเขาที่สภาพปางตายขึ้นหลัง พุ่งวิ่งผ่านอย่างความเร็วสูง เขาจำไม่ได้ซ้ำว่ามาอยู่บนหลังหมาป่ายักษ์ตัวนี้ได้อย่างไร และมันมาจากไหน  ทิวทัศน์เปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อย ๆ  
                         จู่ ๆ เขามาโผล่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง สภาพทุลักทุเลท่ามกลามสายฝน จำแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเดินทางมาถึงได้ยังไง รู้เพียงว่าค่ำคืนนี้ฝนตกหนักมาก มันกระหน่ำมากราวกับถูกส่งมาให้ตอกย้ำเรื่องราวอันโหดร้าย ความทรงจำอันโหดร้ายกลายเป็นตะกอนแห่งความคิดฝั่งแน่นอยู่ในอก ที่เขาไม่อาจจะขุดขึ้นมาได้ เพราะเมื่อขุดนึกขึ้นมาเหมือนขุดเอารากหัวใจของความเจ็บปวดดึงขึ้นมาด้วย รากที่ชื่อว่า"สูญสิ้นจิตวิญญา"  เขาเดินโซซัดโซเซเท้าจมลงไปในหลุมโคลนกลางถนน ที่มีน้ำขังจากสายฝนสาดลงมาจนเละเทะไปหมด เขาเสียหลักและล้มลง  ตอนนี้เขาไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น ทุกๆ อย่างเลย  
                          เขารู้แต่ว่าเขาหนีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวมาก มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ความรู้สึกหวาดหวั่นเข้าถาโถมเขา ตัวเขาแม้สามารถรอดมาได้แต่เขาเองก็หมดพลังเสียแล้ว และไร้ซึ่งจุดม่งหมายในการดำรงอยู่  พายุฝนยังกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ขารู้สึกหมดแรงแล้วก็หนักอึ้ง
                        ‘มาได้แค่นี้รึ’ ตัวเขาล้มนอนคว่ำลงกับกองโคลน ..
                มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ   เป็นร่างเล็กๆ สวมฮู้ดก้มมองมายังร่างของเขาที่นอนคว่ำหน้าบนแอ่งน้ำขังที่ผสมกับสายน้ำฝนที่เทลงมา  เด็กสาวมองอย่างหวาด ๆ เธอถือร่มเก่า ๆ ในมือและก้มมองดูร่างที่หมดสภาพของชายที่เธอไม่รู้จัก  
                     “เจ้าคือสิ่งเหล่านั้นรึ”เด็กสาวผู้ถือร่มถาม
    เขาไม่สามารถตอบได้เพราะหมดแรงทั้งกายและใจแล้ว เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้ว เด็กสาวยืนสักพักแล้วเดินจากไป พอฝนหยุดตกก็มีคนในหมู่บ้านหลายคนมามุงดูเขา...   เขาสลบไป และรู้สึกว่ายาวนานพอที่จะระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ห้วงเวลาอันที่เหมือนผ่านมานานแสนนานอันไกลโพ้น
                 “ใจเจ้าไม่กระจ่าง...” เสียงของพี่ชายเขา
                 “พี่ข้า..”
                  “เจ้ายังขาดความอดทน ...
                 “ข้าเข้าใจถึงเจตนาของท่าน  ถึงแม้ท่านจะเข้าใจในตัวข้าเพียงแค่ครึ่งก็ตาม  แต่อยากต้องการบททดสอบ”
               “เฮอะ”ชายฉกรรจ์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย พลางจิบแก้วเหล้าแล้วเอ่ยว่า “บททดสอบ  มีไว้เฉพาะ เมื่อสิ่งนั้นมีความจำเป็นต้องค้นหาให้ประจักษ์   นัยน์ตาของข้าว่า สามารถบอกได้อะไรคือเพชรที่เจียรระไนมาแล้ว อะไรคือเพชรดิบ เมื่อเห็นชัดแล้ว ไยต้องพิสูจน์หรือเจียระไนมัน” เขากล่าวพลางดื่มสุราไป
                           “ท่านพี่ ไยมั่นใจนัก ช่างอัญมณีที่เก่งที่สุดในแกรนด์วอลเลย์ก็สามารถแพ้นักต้มตุ๋นจากเมืองหลวงได้ เรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้นแค่คราเดียว..” เขายังไม่ยอมแพ้แต่พี่ชายเขายกชี้นิ้วขึ้นจรดฝีปากแล้วตอบกลับ
                        “ สัญลักษณ์เหยี่ยวดำ ไม่ใช่แค่มอบให้กับคนที่มีความพยายาม มันจะมอบให้ต่อเมื่อ บุคคลนั้น มีสามสิ่งครบเท่านั้น นั่นคือ “ความกล้า”  
                        “ความกล้าที่เหนือกว่าความกล้า” และ”ความกล้าที่จะไม่มีความกล้า” เจ้าถ่องแท้หรือยัง ”
                      “โอ พี่ข้า ท่านพูดด้วยภาษาชั้นสูงอีกแล้ว แต่ถ้าข้าไม่มีสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการข้าก็ไม่สามารถปกป้องการโจมตีพวก "สิ่งเหล่านั้น" หรือพวกทหารใต้พิภพ การที่มีเพียงแค่ดาบ มันไม่อาจจะปราบปรามและสังหาร“สิ่งเหล่านั้น” เหมือนพวกพี่น้องในปราการดำได้  ข้ามั่นใจว่ามันถึงเวลาของข้าแล้ว ” ภาษากรองคือภาษาที่พี่ของข้าชอบพูดนัก มันคือภาษาชั้นสูงที่จักรวรรดิในอดีตเคยใช้มัน  ปัจจุบันราชวงษ์และแคว้นอาณาจักรทั่วทุกดินแดน ใช้มันในการบันทึกหนังสือและจดจำ มันเป็นภาษาที่แพร่หลายมาก  
      “ตราบใดข้ายังสามารถใช้นิ้วนับชั่วโมงที่เจ้าเกิดมารับแสงแดดและสายฝนได้  เจ้าจงอย่าได้ใจนัก เฮอะ!! ม้าหนุ่มพยศยังดูใจเย็นกว่าตอนเจ้านั่งสมาธิเสียอีก” แก้วเหล้าโคลงไปมาบนมือของพี่เขา  มีแต่เสียงเงียบของเขาเป็นบทสนทนากลับ เขารู้สึกว่าการเจรจาในห้องนี้ช่างเสียเปล่าและขาดทุนเหลือเกิน อยากย้อนเวลากลับไปแล้วเปลี่ยนใจไปขี่ม้ากับมาร์สันและไม่ย่างกรายเข้ามาอีก
                                “อย่าเอ่ยบทสนทนาแบบนี้ มาอีก..” ขวดเหล้าเหลือแต่ขวดเปล่าแล้ว พี่ชายเขาไม่ใคร่อยากสนทนาอีก เกรงว่ารสชาติเหล้าจะแย่ลงไปมากกว่านี้
                              “อย่าคิดว่า ข้าไม่รู้ทันว่าทำไม เจ้าถึงกล้าต่อรองทำแบบนี้ .. ผู้ฝึกหัดเอ๋ย? ไม่สิ เจ้าลูกนก เพราะเมื่อวาน มีพี่น้องของพวกเราตายไปสองคน หนึ่งในนั้นตายไปก่อน จะทำพิธีโผบิน เจ้าเลยคิดว่า ตำแหน่งนั้นจะว่างได้หนึ่ง เจ้าเลยมาเรียกร้องข้า เพราะรู้ว่าเขามีอำนาจในการโผบินและสัญลักษณ์ เจ้าจงจำไว้ เหยี่ยวดำหนึ่งคน มีค่ามากกว่า กองทัพทหารแห่งดินแดนทะเลทรายดำหนึ่งกองเสียอีก ข้ามิอาจมอบสัญลักษณ์ของเราถูกทำลายหรือแย่งชิงไป!!  การที่เรากอบกู้ได้คืนมา ถึงเวลานั้น ข้าจะมอบให้คนที่เหมาะสมเอง เจ้าเด็กโง่เจ้าเข้าใจหรือไม่ การที่เจ้ามาทุ่มเถียงข้านี้ เจ้าเข้าข่ายละเมิดหรือช่วงชิงตราสัญลักษณ์ ข้าจะจับเจ้าแขวนคอและเรียกหมาป่าดำ มากันทั้งเป็นด้วยก็ได้   นี่ไม่ใช่กีฬาที่เจ้าเคยเล่น ไสหัวของเจ้าไปก่อน ที้ข้าจะหยาบคายและทำให้เจ้า อับอายไปกว่านี้ เหล้าของข้าเสียรสชาติไปหมดแล้ว ไป !!!  ”
เสียงบทสนทนาเหล่านั้นหวนคืนเข้ามาราวกับภาพสไลด์ฉายบนผนังเก่า เก่า อย่างไม่มีเหตุผล ผุดขึ้นดั่งปลาเทราต์กระโจนเหนือน้ำอย่างไร้วี่แวว เขาในตอนนี้คือชายผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าก็ยังไม่เข้าใจดีนัก ทำไมฝันถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาได้  ใจสะท้านแปลบเหมือนเจอคลื่นไฟฟ้าแล่นอย่างไม่ทันตั้งตัว สายตาของเขายังทอดไปข้างหน้าเพื่อมองหาหนทางที่หลบหลีกและทิ้งพี่ชายไว้กับปริศนาดำมืด ที่เขาไม่ควรแตะต้องหรือเข้าใกล้  แต่ตอนนี้สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นเสียงโหวกเหวกชวนปวดหูดังแทรกขึ้นมาแทน......
                   “เร็วๆเข้า เจ้าครึ่งทาส เร็วๆเข้า อย่าขี้เกียจ ไม่งั้นมื้อเย็นของเจ้าอาจจะน้อยลงไปอีก”
เสียงของแม่บ้านใหญ่“ลาร์เกต้า”ปลุกเขาตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาพบโลกแห่งปัจจุบันที่เขาไม่อยากเจอ นางอ้างว่าเคยทำงานที่วังหลวงที่เมืองหลวงแห่งแคว้นมหาราชันมาก่อน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจริงไหม เพราะไม่เคยไปวังหลวงมาก่อน แต่ที่แน่ๆคำพูดของนางเป็นจริงเสมอ ถ้านางบอกว่าน้อย ซึ่งซุปที่ตักแบ่งมานั้นมันน้อยสำหรับกึ่งทาส กึ่งไพร่อย่างเขาอยู่แล้ว แปลว่ามันน้อยจริงๆ อาจจะแบ่งเป็น1ใน4ส่วนเลยก็ได้ ตามปกติแล้วจะไม่มีที่ยืนให้แก่ผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขา การเป็นคนพเนจรอย่างไร้หลักแหล่งนั้น มีสิทธิถูกนำจับไปประหารเพื่อความปลอดภัยของเขตแมนเนอร์ได้  แต่ในเขตแมนเนอร์นี้มีงานมากมาย งานตั้งแต่โรงม้าไปจนถึงโรงครัวฉะนั้นได้คนเพิ่มยังดีกว่าคนขาด แต่จะเป็นทาสต้องมีเจ้าของ จะเป็นไพร่จะต้องมีนายชุบเลี้ยง เขายังไม่มีทั้งสองอย่างจึงอาจจะเป็นได้อย่างละครึ่ง “ครับ มาดาม”เขาขานรับแม่บ้านใหญ่
                        
หลังจากทำงานอย่างหนักเขาแหงนหน้ามองบนฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีดำสลัวๆ มันมืดและหม่นมากๆ อากาศแบบนี้ฝนไม่ได้จะตกและเมฆไม่ได้บดบังแสงแดดจากพรอาทิตย์หรอก แต่สำหรับตัวเขาแล้ว ยามมองไปบนฟ้า   คนปกติธรรมดานั้นยามมองบนท้องผืนนภา ย่อมมองเห็นเป็นสีฟ้าครามอย่างไม่ต้องสงสัย   แต่เฉพาะกับเขา จะเพราะสาเหตุใดก็ตามที่โลกจะรังสรรค์คำสาปแปลกประหลาดขึ้นมาได้  คือภายใต้ดวงตาชายหนุ่มคนนี้ เขากลับมองเห็นผืนฟ้าเป็นสีดำหม่นแทนที่จะเป็นสีฟ้าปกติ  สีดำที่เป็นตัวแทนสีแห่งความโศกาและอึดอัดนั่นล่ะ "มันเป็นท้องฟ้าสีดำตามตัวอักษรเลย" สีดำจะเกิดบนผืนฟ้าเท่านั้นที่เขามองเห็นแบบนี้เพียงผู้เดียว  อาการผิดปกตินี้ เป็นมานานแค่ไหนแล้ว เขาก็จำไมได้ อาจจะตั้งแต่เขาจำความเลยกะมัง หรือว่าจะไม่ใช่ เขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก  แต่มันสร้างความลำบากใจให้แก่เขามากในการระบุเวลาที่แน่นอนว่า การแยกแยะว่าเวลาไหนเป็นสนทยา  พลบค่ำหรือเวลามีเมฆฟ้าครึ้ม จึงค่อนยากกว่าคนอื่น   เขาจึงได้แต่เฝ้าค่อยสังเกตการบินของฝูงนกกลับรัง เป็นการบอกเวลาแทนสีของท้องฟ้า และใช้บรรยากาศอุณหภูมิรอบๆในการรับรู้แทน...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่