เครียด ใครๆก็มีปัญหาเรื่องความเครียด เพราะอย่างนั้นคำว่าเครียดจึงไม่ได้น่ากลัวนักในสายตาคนทั่วไป
แต่ถ้าหากความเครียดทำร้ายคุณมากกว่าแค่อาการปวดหัวทั่วไปล่ะ?
เรารู้จักกับอาการเครียดครั้งแรกตอนช่วงอายุ 16 จำได้ว่าเป็นช่วงหลังจากเพิ่งสอบเสร็จไม่นาน การสอบนั้นเราไม่ได้เครียดเลยสักนิด แต่หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน เราเริ่มมีอาการหายใจไม่ออก หายใจไม่อิ่ม เหมือนกับว่าสูดลมเข้าทางจมูกแต่ไม่มีลมไปถึงที่ปอดเลย ทนทรมานอยู่ประมาณ 2 วัน จนบอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกตลอดเวลา เหมือนคนจมน้ำ จนแม่ต้องพาไปหาหมอที่คลินิคใกล้บ้าน ตรวจทุกอย่างหมอก็บอกว่าร่างกายปกติดี น่าจะเป็นเพราะเครียด ก็ได้ยาแก้เครียดกลับมากิน หลังจากกินไปก็ดีขึ้น ไม่ถึงกับหายขาดแบบปกติ แต่ก็ถือว่าหายใจได้สะดวกขึ้นมากกว่าตอนก่อนกินยา
หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน อาการนี้กลับมาอีกครั้ง กลับมาตอนช่วงสอบ เรามีสอบ 3 วัน และมันเป็น 3 วันที่เราหายใจเข้าแต่ไม่รู้สึกถึงอากาศในปอด 3 วันที่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่กลั้นหายใจตลอดเวลา จนสอบเสร็จเราร้องไห้กับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว กลัวตาย กลัวจะเป็นโรคหัวใจมั้ยนั่นนี่ จนรอบนี้แม่ต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาล ตรวจทุกอย่าง เอ็กซ์เรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจทุกอย่างที่จะตรวจได้ ผลออกมาคือนอกจากเลือดจางนิดหน่อยที่เหลือก็ปกติ หัวใจปกติ ปอดทำงานปกติ หมอสรุปว่าเป็นเพราะเครียดเช่นเคย แต่รอบนี้ไม่ได้ยามากิน เพราะหมอบอกกินยาบ่อยๆไม่ดี ก็เลยต้องทนอยู่กับอาการแบบนั้นไปเรื่อย
ความแตกต่างระหว่างการไปหาหมอ 2 ครั้งคือ ในครั้งแรกที่ไปที่คลินิคนั้นเรายังพอที่จะหายใจได้อยู่ แต่ต้องออกแรงสูดอากาศอย่างแรงมากถึงจะรู้สึกว่าหายใจอิ่ม แต่ครั้งที่สองคือไม่ว่าจะหายใจแรงแค่ไหน สูดลมหายใจจนเจ็บหน้าอกก็ไม่รู้สึกว่ามีอากาศเข้าไป
ทีนี้เราก็ใช้ชีวิตกับอาการหายใจไม่อิ่มแบบนี้มาเรื่อยๆ บางครั้งที่อาการหนักมากๆเคยเป็นจนถึงขั้นว่านอนราบไม่ได้ เพราะหายใจไม่ออก ต้องลุกขึ้นมานั่งหลับถึงจะพอหายใจได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานนับหลายเดือน
ระหว่างที่ป่วยด้วยสิ่งที่เรียกว่า "โรคเครียด" นี้ เราก็เริ่มหาว่าการหายใจไม่อิ่มของเรามันสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีกมั้ย และสิ่งที่เราเจอก็คือ โรคแพนิค ตอนนั้นทุกคนก็เอาแต่พูดกับเราว่าอย่าเครียด อย่าคิดมาก อย่าคิดไปเอง (ตอนนั้นเวลามีอะไรผิดปกติกับร่างกายเราจะกลัวเป็นโรคนั้นโรคนี้ตลอด) ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม แต่เราคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลย บางครั้งในหัวเราไม่ได้มีเรื่องเครียด ไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำก็ยังเป็น หมอก็บอกว่าเป็นเพราะเครียดสะสม บางทีเครียดมาก่อนนานแล้วเพิ่งมาแสดงอาการ เราก็เลยไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทนอยู่กับมันไป
แต่แล้ววันหนึ่งมันก็หนักขึ้นไปอีกสเต็ปนึง วันนั้นเราจำได้ว่าเดินไปตลาดนัดแถวบ้าน อาการเตือนแรกคือตอนที่เรากำลังยืนรอติดฟิล์มมือถืออยู่ เราเริ่มเวียนหัว พะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก หายใจถี่ หัวใจเต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากอก จนสุดท้ายเราต้องหลบไปหาที่ว่างนั่งเพราะรู้สึกได้แล้วว่าตอนนั้นตัวเองจะเป็นลม ตอนแรกคิดว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะกลับบ้านแล้ว แต่หลังจากนั่งพักอยู่สักพัก เราก็กลับเป็นปกติเลยเดินซื้อของต่อ แต่ในตอนที่กำลังจะเดินไปขึ้นวินมอไซค์เพื่อกลับบ้าน อยู่ๆเราก็รู้สึกเหมือนปอดโดนดูดอากาศออกจนหมด แข้งขาไม่มีแรง เราทรุดลงไปตรงนั้น สภาพคือใกล้วูบเต็มที เราหายใจไม่ออก หายใจถี่มาก เจ็บหน้าอก ตอนนั้นทำได้แค่นั่งร้องไห้ ในหัวคิดแค่ว่าตัวเองต้องตาย ต้องตายแน่ๆ และจุดที่เรานั่งอยู่ห่างจากวินมอไซค์แค่ไม่ถึง 10 ก้าวแต่เราไม่มีแรงที่จะขยับตัวเลย มันทรมานมาก ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีคนช่วยเหลือ พอเริ่มมีแรงพอลุกยืนไหวเรารีบขึ้นมอไซค์กลับบ้าน หลังจากนั้นเรากลัวการออกจากบ้านไปนานหลายเดือน จะออกกำลังกายนอกบ้านก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะเป็นแบบวันนั้นอีก
หลังจากนั้นเราเริ่มหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รู้จักกับอาการ panic attack และ anxiety disoder เราไม่กล้าฝันธงและไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็น panic attack แม้ว่าอาการในวันนั้นมันจะตรงกับที่คนอื่นเป็นเหลือเกิน สุดท้ายข้อสรุปจึงเหมือนเดิมว่าเราเป็นโรคเครียด และต้องทนอยู่กับการหายใจไม่อิ่ม มือไม้สั่นเป็นบางที วันดีคืนดีก็นอนไม่หลับยันตีห้า ตื่นกลางดึกบ้าง ไมเกรนถามหา บางทีก็ภาพมืดไปแวบนึงก็มี
หัวข้อของการตั้งกระทู้นี้ หลักๆก็คือการระบาย เผื่อจะมีใครสักคนที่เป็นแบบเรา จะได้ไม่รู้สึกแปลกแยก ทุกวันนี้เราไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่มีใครให้หันหน้าไปพึ่งเลย ตั้งแต่ 16 จนตอนนี้จะ 22 แล้ว สู้กับเรื่องนี้มาคนเดียวตลอด
แต่ทุกครั้งที่อาการหนักจนทนไม่ไหวจนต้องไปหาหมอ หรือไปโรงพยาบาล เวลาพยาบาลซักประวัติว่าเป็นอะไรมาแล้วบอกว่าโรคเครียด ทุกคนจะมองว่าเราไม่ได้ป่วย แล้วมาที่นี่ทำไม ใช่ ร่างกายเราอาจไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ข้างในเรามันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยจนไม่รู้จะอธิบายยังไง มันตีกันไปหมด จะร้องไห้ จะระบายกับใครยังไม่รู้เลยว่าต้องพูดเรื่องไหน ในหัวไม่มีอะไรด้วยซ้ำ แต่ร่างกายกำลังกรีดร้องว่าเครียด
เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะค่ะ เวลาที่เราบอกว่ามาหาหมอเพราะโรคเครียด มันเป็นเพราะเราป่วย เราต้องการการเยียวยาจริงๆ อย่ามองเราด้วยสายตาเหมือนว่าเราสำออย หรือกำลังอ้างเลย เราไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ มันทรมานมากจริงๆนะ
วันเสาร์นี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้พบจิตแพทย์สักทีหลังจากที่ทนกับโรคนี้มานาน หวังว่าในที่สุดเราก็จะใช้ชีวิตแบบคนปกติได้สักที
wish me luck & wish you luck
โรคเครียด ความทรมานที่น่ากลัวกว่าที่คิด
แต่ถ้าหากความเครียดทำร้ายคุณมากกว่าแค่อาการปวดหัวทั่วไปล่ะ?
เรารู้จักกับอาการเครียดครั้งแรกตอนช่วงอายุ 16 จำได้ว่าเป็นช่วงหลังจากเพิ่งสอบเสร็จไม่นาน การสอบนั้นเราไม่ได้เครียดเลยสักนิด แต่หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน เราเริ่มมีอาการหายใจไม่ออก หายใจไม่อิ่ม เหมือนกับว่าสูดลมเข้าทางจมูกแต่ไม่มีลมไปถึงที่ปอดเลย ทนทรมานอยู่ประมาณ 2 วัน จนบอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกตลอดเวลา เหมือนคนจมน้ำ จนแม่ต้องพาไปหาหมอที่คลินิคใกล้บ้าน ตรวจทุกอย่างหมอก็บอกว่าร่างกายปกติดี น่าจะเป็นเพราะเครียด ก็ได้ยาแก้เครียดกลับมากิน หลังจากกินไปก็ดีขึ้น ไม่ถึงกับหายขาดแบบปกติ แต่ก็ถือว่าหายใจได้สะดวกขึ้นมากกว่าตอนก่อนกินยา
หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน อาการนี้กลับมาอีกครั้ง กลับมาตอนช่วงสอบ เรามีสอบ 3 วัน และมันเป็น 3 วันที่เราหายใจเข้าแต่ไม่รู้สึกถึงอากาศในปอด 3 วันที่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่กลั้นหายใจตลอดเวลา จนสอบเสร็จเราร้องไห้กับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว กลัวตาย กลัวจะเป็นโรคหัวใจมั้ยนั่นนี่ จนรอบนี้แม่ต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาล ตรวจทุกอย่าง เอ็กซ์เรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจทุกอย่างที่จะตรวจได้ ผลออกมาคือนอกจากเลือดจางนิดหน่อยที่เหลือก็ปกติ หัวใจปกติ ปอดทำงานปกติ หมอสรุปว่าเป็นเพราะเครียดเช่นเคย แต่รอบนี้ไม่ได้ยามากิน เพราะหมอบอกกินยาบ่อยๆไม่ดี ก็เลยต้องทนอยู่กับอาการแบบนั้นไปเรื่อย
ความแตกต่างระหว่างการไปหาหมอ 2 ครั้งคือ ในครั้งแรกที่ไปที่คลินิคนั้นเรายังพอที่จะหายใจได้อยู่ แต่ต้องออกแรงสูดอากาศอย่างแรงมากถึงจะรู้สึกว่าหายใจอิ่ม แต่ครั้งที่สองคือไม่ว่าจะหายใจแรงแค่ไหน สูดลมหายใจจนเจ็บหน้าอกก็ไม่รู้สึกว่ามีอากาศเข้าไป
ทีนี้เราก็ใช้ชีวิตกับอาการหายใจไม่อิ่มแบบนี้มาเรื่อยๆ บางครั้งที่อาการหนักมากๆเคยเป็นจนถึงขั้นว่านอนราบไม่ได้ เพราะหายใจไม่ออก ต้องลุกขึ้นมานั่งหลับถึงจะพอหายใจได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานนับหลายเดือน
ระหว่างที่ป่วยด้วยสิ่งที่เรียกว่า "โรคเครียด" นี้ เราก็เริ่มหาว่าการหายใจไม่อิ่มของเรามันสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีกมั้ย และสิ่งที่เราเจอก็คือ โรคแพนิค ตอนนั้นทุกคนก็เอาแต่พูดกับเราว่าอย่าเครียด อย่าคิดมาก อย่าคิดไปเอง (ตอนนั้นเวลามีอะไรผิดปกติกับร่างกายเราจะกลัวเป็นโรคนั้นโรคนี้ตลอด) ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม แต่เราคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลย บางครั้งในหัวเราไม่ได้มีเรื่องเครียด ไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำก็ยังเป็น หมอก็บอกว่าเป็นเพราะเครียดสะสม บางทีเครียดมาก่อนนานแล้วเพิ่งมาแสดงอาการ เราก็เลยไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทนอยู่กับมันไป
แต่แล้ววันหนึ่งมันก็หนักขึ้นไปอีกสเต็ปนึง วันนั้นเราจำได้ว่าเดินไปตลาดนัดแถวบ้าน อาการเตือนแรกคือตอนที่เรากำลังยืนรอติดฟิล์มมือถืออยู่ เราเริ่มเวียนหัว พะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก หายใจถี่ หัวใจเต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากอก จนสุดท้ายเราต้องหลบไปหาที่ว่างนั่งเพราะรู้สึกได้แล้วว่าตอนนั้นตัวเองจะเป็นลม ตอนแรกคิดว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะกลับบ้านแล้ว แต่หลังจากนั่งพักอยู่สักพัก เราก็กลับเป็นปกติเลยเดินซื้อของต่อ แต่ในตอนที่กำลังจะเดินไปขึ้นวินมอไซค์เพื่อกลับบ้าน อยู่ๆเราก็รู้สึกเหมือนปอดโดนดูดอากาศออกจนหมด แข้งขาไม่มีแรง เราทรุดลงไปตรงนั้น สภาพคือใกล้วูบเต็มที เราหายใจไม่ออก หายใจถี่มาก เจ็บหน้าอก ตอนนั้นทำได้แค่นั่งร้องไห้ ในหัวคิดแค่ว่าตัวเองต้องตาย ต้องตายแน่ๆ และจุดที่เรานั่งอยู่ห่างจากวินมอไซค์แค่ไม่ถึง 10 ก้าวแต่เราไม่มีแรงที่จะขยับตัวเลย มันทรมานมาก ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีคนช่วยเหลือ พอเริ่มมีแรงพอลุกยืนไหวเรารีบขึ้นมอไซค์กลับบ้าน หลังจากนั้นเรากลัวการออกจากบ้านไปนานหลายเดือน จะออกกำลังกายนอกบ้านก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะเป็นแบบวันนั้นอีก
หลังจากนั้นเราเริ่มหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รู้จักกับอาการ panic attack และ anxiety disoder เราไม่กล้าฝันธงและไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็น panic attack แม้ว่าอาการในวันนั้นมันจะตรงกับที่คนอื่นเป็นเหลือเกิน สุดท้ายข้อสรุปจึงเหมือนเดิมว่าเราเป็นโรคเครียด และต้องทนอยู่กับการหายใจไม่อิ่ม มือไม้สั่นเป็นบางที วันดีคืนดีก็นอนไม่หลับยันตีห้า ตื่นกลางดึกบ้าง ไมเกรนถามหา บางทีก็ภาพมืดไปแวบนึงก็มี
หัวข้อของการตั้งกระทู้นี้ หลักๆก็คือการระบาย เผื่อจะมีใครสักคนที่เป็นแบบเรา จะได้ไม่รู้สึกแปลกแยก ทุกวันนี้เราไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่มีใครให้หันหน้าไปพึ่งเลย ตั้งแต่ 16 จนตอนนี้จะ 22 แล้ว สู้กับเรื่องนี้มาคนเดียวตลอด
แต่ทุกครั้งที่อาการหนักจนทนไม่ไหวจนต้องไปหาหมอ หรือไปโรงพยาบาล เวลาพยาบาลซักประวัติว่าเป็นอะไรมาแล้วบอกว่าโรคเครียด ทุกคนจะมองว่าเราไม่ได้ป่วย แล้วมาที่นี่ทำไม ใช่ ร่างกายเราอาจไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ข้างในเรามันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยจนไม่รู้จะอธิบายยังไง มันตีกันไปหมด จะร้องไห้ จะระบายกับใครยังไม่รู้เลยว่าต้องพูดเรื่องไหน ในหัวไม่มีอะไรด้วยซ้ำ แต่ร่างกายกำลังกรีดร้องว่าเครียด
เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะค่ะ เวลาที่เราบอกว่ามาหาหมอเพราะโรคเครียด มันเป็นเพราะเราป่วย เราต้องการการเยียวยาจริงๆ อย่ามองเราด้วยสายตาเหมือนว่าเราสำออย หรือกำลังอ้างเลย เราไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ มันทรมานมากจริงๆนะ
วันเสาร์นี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้พบจิตแพทย์สักทีหลังจากที่ทนกับโรคนี้มานาน หวังว่าในที่สุดเราก็จะใช้ชีวิตแบบคนปกติได้สักที
wish me luck & wish you luck