สวัสดีครับ ผมเริ่มเขียน Blog เกี่ยวกับข่าวสาร กลยุทธ์ธุรกิจ และ การตลาดมาได้ประมาน 2-3 เดือนละครับ (เนื่องจากช่วงต้นปีเป็นโรคซึมเศร้า และ โรคเครียดจากธุรกิจ ก่อนจะลุกมาเปลี่ยนตัวเอง 1 ในนั้น คือการตั้ง mission เกี่ยวกับการอ่านข่าวสาร วิเคราะห์ เขียนกลยุทธ์ต่างๆ และเคล็ดลับทาง ธุรกิจ ออกมาให้ได้อย่างน้อย 2-3 วันต่อ 1 บทความ (และรวมถึงการแบ่งปันความรู้สำหรับผู้ที่สนใจ แต่เน้นที่การทำให้เป็นกิจวัตรตัวเองมากกว่า)
แต่เนื่องจากเป็นมือใหม่ เลยอยากเอาแชร์ เผื่อมีคอมเมนต์อะไรให้ปรับปรุง เพราะอยากทำให้ดียิ่งขึ้นไปครับผม
มาเข้าเรื่องวันนี้ก่อนเลยครับ (ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ผมคัดลอกมาจาก เพจ ตัวเอง ที่ใช้เพจเพราะถ้าใส่เฟสปกติ เพื่อนๆผมส่วนใหญ่จะรำคาญปล่าวๆ)
ไต้หวันกำลังดำเนินแผนงานใหญ่ขนาดเป็นวาระแห่งชาติ โดยพยายามผลักดันให้ใช้ได้ 2 ภาษา คือ ภาษาจีน กับ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการให้ได้ภายในปีหน้า
.
.
โดยหัวหอกผู้นำคือ นายกรัฐมนตรี William Lai (賴清德) โดยเรียกประชุมทุกหน่วยงาน ให้เพิ่มประสิทธิในการใช้ภาษาอังกฤษของประชาชนใต้หวัน โดยได้รับความเห็นชอบจากทาง ประธานาธิบดี ไช่อิงเหวิน
.
.
William Lai นั้นมีประสบการณ์กว่า 10 ปี ในความพยายามโน้มน้าวให้ใช้ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการที่ 2 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง ในหลายๆเขตทางใต้ของใต้หวัน
.
.
โดยกลุ่มคณะทำงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการได้ถูกตั้งขึ้นเมื่อเดือน ตุลาคม ปีที่แล้ว ซึ่งได้ทำการกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลา และ วิธีการ ทั้งหมดเพื่อให้เสร็จ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ทัน
.
.
นโยบายใหม่จะทำให้การสอนภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นประถม และ เพิ่มการสนับสนุนให้กับนักศึกษาที่ต้องการไปเรียนยังต่างประเทศ
.
.
ซึ่ง William Lai กล่าวว่า นโยบายนี้ไม่ได้ถูกกำหนดเป็น กฏหมาย แต่เป็นนโยบายให้ทุกหน่วยงานปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะในด้านการศึกษา เพื่อรองรับกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนและอำนวยความสะดวก ของบริษัทต่างชาติ
.
.
กลยุทธ์นี้น่าสนใจมาก แม้ว่าทางไต้หวันจะบอกว่า เป็นการผลักดันด้านการศึกษาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ แต่หากมองลงไป สิ่งหนึ่งที่ไต้หวันทำก็เพราะต้องการให้ไต้หวันเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกให้มากขึ้น (อาจจะตั้งเป้าเป็นเหมือน สิงค์โปร์)
.
.
โดยปัจจุบัน ไต้หวัน โดนจีนกดดันอย่างหนักจากนโยบายในการพยายามรวมไต้หวันเข้ากับจีน ซึ่งทางการจีนพยายามกดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางการศึกษา หรือ แม้กระทั่งเขตแดนทางทะเล
.
.
ยิ่งในระยะ 10 กว่าปีมานี้ จีนมีอำนาจและอิทธิพลในประชาคมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ทางไต้หวันเองคงต้องพยายามรักษาเสถียรภาพในอธิปไตยตนเองอย่างหนัก ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ได้นั้น อาจจะเป็นก้าวเล็กๆ ในความพยายามตัดขาดจากจีน ไม่ให้จีนเข้ามากลืนกินได้ง่ายๆ
.
.
คิดเห็นอย่างไร คอมเมนท์แชร์ไอเดียกันครับ
(เพจผมนะครับ หากต้องการอ่านบทความอื่นๆ เข้ามาดูได้ครับ
https://www.facebook.com/BPBizClub ขอคำชี้แนะด้วยนะครับผม)
ไต้หวันกำลังยกภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ : กลยุทธ์ทางรอดของชาติ
สวัสดีครับ ผมเริ่มเขียน Blog เกี่ยวกับข่าวสาร กลยุทธ์ธุรกิจ และ การตลาดมาได้ประมาน 2-3 เดือนละครับ (เนื่องจากช่วงต้นปีเป็นโรคซึมเศร้า และ โรคเครียดจากธุรกิจ ก่อนจะลุกมาเปลี่ยนตัวเอง 1 ในนั้น คือการตั้ง mission เกี่ยวกับการอ่านข่าวสาร วิเคราะห์ เขียนกลยุทธ์ต่างๆ และเคล็ดลับทาง ธุรกิจ ออกมาให้ได้อย่างน้อย 2-3 วันต่อ 1 บทความ (และรวมถึงการแบ่งปันความรู้สำหรับผู้ที่สนใจ แต่เน้นที่การทำให้เป็นกิจวัตรตัวเองมากกว่า)
แต่เนื่องจากเป็นมือใหม่ เลยอยากเอาแชร์ เผื่อมีคอมเมนต์อะไรให้ปรับปรุง เพราะอยากทำให้ดียิ่งขึ้นไปครับผม
มาเข้าเรื่องวันนี้ก่อนเลยครับ (ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ผมคัดลอกมาจาก เพจ ตัวเอง ที่ใช้เพจเพราะถ้าใส่เฟสปกติ เพื่อนๆผมส่วนใหญ่จะรำคาญปล่าวๆ)
ไต้หวันกำลังดำเนินแผนงานใหญ่ขนาดเป็นวาระแห่งชาติ โดยพยายามผลักดันให้ใช้ได้ 2 ภาษา คือ ภาษาจีน กับ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการให้ได้ภายในปีหน้า
.
.
โดยหัวหอกผู้นำคือ นายกรัฐมนตรี William Lai (賴清德) โดยเรียกประชุมทุกหน่วยงาน ให้เพิ่มประสิทธิในการใช้ภาษาอังกฤษของประชาชนใต้หวัน โดยได้รับความเห็นชอบจากทาง ประธานาธิบดี ไช่อิงเหวิน
.
.
William Lai นั้นมีประสบการณ์กว่า 10 ปี ในความพยายามโน้มน้าวให้ใช้ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการที่ 2 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง ในหลายๆเขตทางใต้ของใต้หวัน
.
.
โดยกลุ่มคณะทำงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการได้ถูกตั้งขึ้นเมื่อเดือน ตุลาคม ปีที่แล้ว ซึ่งได้ทำการกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลา และ วิธีการ ทั้งหมดเพื่อให้เสร็จ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ทัน
.
.
นโยบายใหม่จะทำให้การสอนภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นประถม และ เพิ่มการสนับสนุนให้กับนักศึกษาที่ต้องการไปเรียนยังต่างประเทศ
.
.
ซึ่ง William Lai กล่าวว่า นโยบายนี้ไม่ได้ถูกกำหนดเป็น กฏหมาย แต่เป็นนโยบายให้ทุกหน่วยงานปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะในด้านการศึกษา เพื่อรองรับกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนและอำนวยความสะดวก ของบริษัทต่างชาติ
.
.
กลยุทธ์นี้น่าสนใจมาก แม้ว่าทางไต้หวันจะบอกว่า เป็นการผลักดันด้านการศึกษาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ แต่หากมองลงไป สิ่งหนึ่งที่ไต้หวันทำก็เพราะต้องการให้ไต้หวันเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกให้มากขึ้น (อาจจะตั้งเป้าเป็นเหมือน สิงค์โปร์)
.
.
โดยปัจจุบัน ไต้หวัน โดนจีนกดดันอย่างหนักจากนโยบายในการพยายามรวมไต้หวันเข้ากับจีน ซึ่งทางการจีนพยายามกดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางการศึกษา หรือ แม้กระทั่งเขตแดนทางทะเล
.
.
ยิ่งในระยะ 10 กว่าปีมานี้ จีนมีอำนาจและอิทธิพลในประชาคมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ทางไต้หวันเองคงต้องพยายามรักษาเสถียรภาพในอธิปไตยตนเองอย่างหนัก ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ได้นั้น อาจจะเป็นก้าวเล็กๆ ในความพยายามตัดขาดจากจีน ไม่ให้จีนเข้ามากลืนกินได้ง่ายๆ
.
.
คิดเห็นอย่างไร คอมเมนท์แชร์ไอเดียกันครับ
(เพจผมนะครับ หากต้องการอ่านบทความอื่นๆ เข้ามาดูได้ครับ https://www.facebook.com/BPBizClub ขอคำชี้แนะด้วยนะครับผม)