มานั่งคิดถึงวันเวลาเก่าๆตลอดเวลา 10 ปี ชีวิตเราได้ผ่านอะไรมาบ้างนะ
เพื่อนๆคงเห็นผมผ่านกระทู้ต่างๆมาหลายกระทู้ วันนี้เรามาดูความเปลี่ยนแปลงของคนธรรมดาคนนึง
ต้ังแต่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบันกันครับ
เริ่มจากช่วงปี 2548 ผมเข้าเรียนปี 1 น้ำหนักแรกเข้า 56-57 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 4 ปี
ผมพัฒนาน้ำหนักผมไปไกลถึง 84 กิโลกรัม ก็อาหารรอบมหาลัยมันอร่อย ร้านสะดวกซื้อก็เปิดตลอด 24 ชม.
มาดูกันครับว่าสภาพร่างไปได้ไกลขนาดไหน
ปี 1
ปี 2
ปี 3
ปี 4
ปี 2552 หลังจากที่ผมเรียนจบ มันเป็นช่วงของการรับปริญญาช่วงนั้นเริ่มรู้สึกว่าเราต้องทำงาน
ต้องเจอคนมากขึ้นสภาพแวดล้อมเปลี่ยน เราจะอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ ปฎิบัติกการลดความอ้วนจึงเริ่มขึ้น
เริ่มจากคุมอาหาร ทำกับข้าวกินเองห่อไปที่ทำงาน ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง น้ำหนักเริ่มลดลงจาก 84 มาอยู่ที่ 72
ในช่วงรับปริญญา
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต กินอาหารที่ทำเอง ออกกำลังกายเป็นประจำ ผมไม่เคยเข้ายิมในวิ่งเอาครับ
ทำแบบนี้มาตลอดแล้วสิ่งที่ผมค้นพบคือวิถีการลดความอ้วนที่ยั่งยืนที่สุดมันอยู่ที่ตัวเราเอง เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ต้องรู้จักกิน รู้จักออกกำลังกาย คนเราอดอาหารไม่ได้ตลอดชีวิต ออกกำลังกายหนักๆไปไม่ได้ตลอด เราต้องหาทางสายกลาง
ที่เรายังสามารถมีความสุขกับการได้กินของอร่อยๆ(บางเวลาและต้องรู้ว่าควรกินได้แค่ไหน)
และนี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้มาตลอดระยะเวลา 10 ปี ในการลดน้ำหนักให้ยั่งยืน (ที่คนส่วนใหญ่มักทำไม่ได้) คือ
1.อย่ากดดันตัวเอง เวลาคุณกินมันก็ใช้เวลาในการสะสม ไม่ใช่กินวันนี้ อ้วนพรุ่งนี้ คุณกินมานาน คุณไม่ใช้พลังงาน
มันก็สะสม กินมา 10 ปี จะเอาออกภายใน 10 วันมันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งรีบยิ่งย้วยยิ่งโทรม
2.อย่าอดอาหาร ในตอนแรกมันเหมือนจะลดเร็ว แต่ที่มันลดไปไม่ใช่ไขมัน มันคือ น้ำและมวลกล้ามเนื้อ
(กล้ามเนื้อช่วยในการเผาผลาญ)ร่างกายมันฉลาดนะ พอคุณอดอาหาร ร่างกายมันจะพยามเซฟพลังงานลดการเผาผลาญ
เพื่อความอยู่รอด อีกอย่างคุณกินน้อยไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก วันนึงที่คุณกลับมากินเยอะ นั่นหล่ะครับ ที่ชอบเรียกว่าโยโย่
ระบบเผาผลาญมันทำงานไม่ทัน ร่างพัง อ้วนกระจายไป
3.แบ่งกินเป็นมื้อย่อยๆ เน้นโปรตีนและอาหารที่มีไฟเบอร์ ผมกินวันละ 5-6 มื้อ ตามที่เคยรีวิวไว้ ร่างกายมีเวลาย่อยและสามารถนำ
สารอาหารไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วงแรกผมเน้นการออกกำลังกายแบบ คาดิโอ 45 - 60 นาที ทำ 4 วันพัก 1 -2 วัน ทำวนไป
เมื่อน้ำหนักลดอยู่ในระดับนึง ผมเริ่มเวทเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อให้ดูเฟิร์ม ที่เล่นผมไม่เน้นกล้ามใหญ่ ผมชอบแบบลีนๆ
เห็นลายกล้ามเนื้อสวยๆ (คุณผู้หญิงไม่ต้องกลัวมีกล้ามครับ เพราะสรีระและฮอร์โมนต่างจากผู้ชายคุณต้องเล่นหนักมากๆจึงจะมีกล้าม
ผู้หญิงเล่นแบบเน้นกระชับสัดส่วน)ส่วน 6 pack กล้ามเนื้อหน้าท้องทุกคนมีแต่ที่เรามองไม่เห็นเพราะไขมันบังครับ
ต่อให้ซิทอัพ แพลงก์ ครัชน์ หนักยังไงถ้ามีไขมันส่วนเกินที่หน้าท้องกล้ามเนื้อส่วนนี้ก็จะไม่ชัดเจน แปลว่าถ้าอยากมี 6 pack
คุณต้องเล่นคาดิโอเพื่อลดมวลไขมันทั่วร่างด้วย
พอร่างกายเริ่มโอเค การเปลี่ยนแปลงขั้นต่อมาคือการข้ามเพศ (Transgender)
ก่อนอื่นที่ผมเริ่มคือการผ่าตัดหน้าอก
ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์
กระทู้เรื่องหน้าอกที่เคยเขียนไว้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/35635454
หลังจากนั้น คือการเทคฮอร์โมน เพื่อการข้ามเพศ
เรื่องการใช้ฮอร์โมน เป็นเรื่องที่อันตรายมากครับ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ด้านฮอร์โมน
มีการตรวจเลือดเป็นประจำทุก 3-6 เดือน เพื่อดูผลการทำงานของฮอร์โมนที่มีต่อร่างกาย
เริ่มแรก
ผมเข้าทำการวินิจฉัย โดย จิตย์แพทย์ เพื่อดูการใช้ชีวิต และสภาพสังคม เพราะการรับฮอร์โมน
มันมีการเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าแค่การมีหนวด เครา เพราะอัตลักษณ์ เราจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายคนนึง
การรับฮอร์โมน เราต้องฉีดไปตลอดชีวิตครับ การรับฮอร์โมนคือการบำบัดสำหรับกลุ่มบุคคลข้างเพศ
ดังบทความนี้ Cr. ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ipinkpride@yahoo.com
คนข้ามเพศ (Transgender) หมายถึงคนที่เกิดมาแล้วมีเพศสรีระไม่ตรงตามที่จิตใจต้องการ เช่น เกิดมามีอวัยวะเพศเป็นชาย
แต่ในจิตใจรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง หรือมีอวัยวะเพศเป็นผู้หญิง แต่พบว่าในใจตัวเองมีต้องการแรงกล้าที่จะเป็นผู้ชาย เป็นต้น
คนข้ามเพศอาจจะแปลงเพศหรือไม่ก็ได้ หรือจะแปลงแค่ไหนก็ได้ตามแต่ความต้องการหรือสุขภาพของแต่ละคน เช่น
ผู้หญิงข้ามเพศ บางคนก็อาจจะอยากมีแค่หน้าอก แต่ไม่ได้เฉือนอวัยวะเพศชายทิ้ง เพราะเกรงจะมีปัญหาทางสุขภาพ
หรือผู้ชายข้ามเพศบางคนก็เลือกที่จะตัดเฉพาะหน้าอกออก แต่ไม่ได้ต้องการที่จะเปลี่ยนอวัยวะเพศ เป็นต้น
และสำหรับคนที่แปลงแล้วก็จะเรียกว่า Transsexual และใน Transsexual เองก็จะมีศัพท์ เรียกแตกต่างกันไปอีก
ผู้ชายที่แปลงเพศเป็นผู้หญิงเรียกสั้นๆ ว่า MTF ที่ย่อมาจาก Male to Female หรือผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชาย
ก็เป็น FTM ย่อจาก Female to Male นั่นเอง
คนข้ามเพศ จึงไม่ได้หมายถึงคนรักเพศเดียวกัน แต่เป็นคนรักต่างเพศต่างหาก ดังที่เราจะเห็นคนดังหรือ
ดาราที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศมีคนรัก หรือแต่งงานกับผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่กับเกย์ เข้าสู่การดำเนินชีวิตตาม
ครรลองแบบผู้หญิงผู้ชายทั่วไปที่มีมายาวนาน
คนข้ามเพศในสังคมไทย จึงมีความหมายค่อนไปที่ผู้หญิงข้ามเพศ หรือสาวประเภทสอง หรือกะเทย มากกว่า
ทั้งที่จริงๆ แล้ว หมายถึงผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชายด้วย เพียงแต่เมืองไทย เราไม่ค่อยได้รู้จัก ผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชายนัก
เนื่องจากความเข้าใจเรื่อง FTM ในสังคมไทยยังมีอยู่น้อยมากถึง มากที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาชาว MTF การเปิดเผยตัวกับสาธารณะชน
หรือสังคมวงกว้างจึงเป็น เรื่องที่ทำได้ยากกว่า ทั้งยังไม่มีชุมชนเช่นที่ชาว MTF มี ขณะเดียวกันการจะเข้าร่วมกับกลุ่มหญิง รักหญิง
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ FTM เป็น ภาพคนข้ามเพศ FTM จึงออกจะเลือนราง ไม่สามารถมองเห็น ได้ชัดเจนนัก
Cr. ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ipinkpride@yahoo.com
ผลข้างเคียง ของผม ในตอนเเรกหลังรับฮอร์โมน น้ำหนักตัวผมขึ้นเยอะมาก จากปกติ ผมหนัก 55-56 หลังเทคน้ำหนักผมขึ้นไป
61-62 ตอนนั้นนอยด์มาก อารมณ์แปรปรวน เหมือนเด็กผู้ชายที่กำลังแตกหนุ่ม เสียงแตก มีขนขึ้นตามร่างกาย หน้ามัน ผิวหยาบ
รูขุมขนกว้าง สิวมาเพียบ และการเข้าห้องน้ำสาธารณะตอนนี้คือปัญหาครับ เข้าห้องผู้หญิงไม่ได้แล้ว หน้าเปลี่ยนถามว่าการใช้ชีวิตยากขึ้นไหม
สำหรับบุคคลข้ามเพศ ผมเข้าใจหัวอกของสาวประเภทสองแล้วครับ สังคมไทยเหมือนจะเปิดรับนะแต่ ลึกๆแล้วมันก็ยังมีความเหยียดเพศอยู่มากนะ (ง่ายๆดูจากการเข้าห้องน้ำได้)
ดูกระทู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงได้ที่กระทู้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/35635454
ทีนี้เริ่มการเปลี่ยนแปลงต่อไปด้วยการศัลยกรรม ในยุคสมัยนี้ต้องยอมรับว่าหน้าตา บุคลิกภาพมีส่วนสำคัญ
เรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้
การศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องผิด แต่ศัลยกรรมจะผิดถ้าเราไม่มีความรู้ก่อนทำ เพราะการที่มันจะออกมาดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
1. ความชำนาญของแพทย์ อันนี้สำคัญหน้าเรามีหน้าเดียวอย่าเห็นแก่โปรฯที่ราคาถูก
หน้าพังมามันไม่คุ้มค่าแก้ ต้องดูการรับประกันงาน ไม่ควรต่ำกว่า 6 เดือนเพราะการทำศัลยกรรมต้องใช้เวลาในการ
ฟื้นตัวของร่างกายกว่าจะรู้ว่ามันโอเคไหม ต้องปรับต้องแก้หรือไม่ เพราะฉะนั้นศึกษาให้ดี
2.ตัวเราเอง การเตรียมร่างกายทั้งก่อนและหลังผ่าตัดมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความชำนาญของแพทย์
ถ้าเราดูแลตัวเองดี มันยิ่งทำให้ผลที่ได้ออกมาดี ปฎิบัติตามที่หมอเเนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงของการ
อักเสบติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น
ศัลยกรรมหลักๆที่ผมทำตอนนี้คือ
การเสริมจมูก
ปัจจุบันทำได้ 7 เดือนแล้วครับ
กระทู้รวิวจมูกที่เคยเขียนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/37318086
ต่อมาคือการดูดไขมัน
มีสิ่งนึงพี่ผมอยากมีมาตลอดคือ six pack ถ้าหลายๆคนที่เคยติดตามผมจะทราบว่าผมคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ
แต่ทำยังไงไอ้เจ้าไขมันหน้าท้องก็ช่างดื้อเหลือเกิน ผมจึงเริ่มศึกษาวิธีการลดไขมันเฉพาะสัดส่วน พอดีโชคดีชนะการประกวด
เลยได้ทำฟรี มันโอเคมากครับ แต่ถามว่าเจ็บไหม ตอบเลยว่าเจ็บที่สุดตั้งแต่ที่เคยผ่าตัดมา ตอนนี้ทำได้ 2 เดือนกว่าแล้ว
แต่ยังต้องรอให้เข้าที่อีกประมาณ 2-3 เดือน
กระทู้รีวิวการดูดไขมัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/38023927
นี่แหละครับ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา กับการเปลี่ยนแปลงของคนธรรมดาๆคนนึง
มันผ่านทั้งความเจ็บปวด ความเหนื่อย ความท้อ ความทรมาน ต้องมีวินัย ต้องอดทน ผมศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองทุกอย่าง
เสิร์ทในกูเกิ้ลนี่แหล่ะครับ อันไหนไม่รู้ก็เข้าไปถามผู้รู้ ปรึกษาในเพจต่างๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ และลองทำดู ผิดบ้างถูกบ้าง
ผมนำความรู้ที่ได้มาส่งต่อ ด้วยการเขียนกระทู้ การรีวิว อะไรดีผมก็บอกว่าดี อะไรไม่ดีต่อให้ได้มาฟรีผมก้อบอกว่าไม่ดีไม่แนะนำ
นั่นเป็นสิ่งที่ผมสามารถส่งต่อให้คนที่กำลังหาความรู้และอยากที่จะเปลี่ยนเเปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้
ทุกอย่างไม่ได้มาง่ายๆ แต่ก็ยังมีความฝันที่ทำให้เราไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป
หลายๆคนเข้ามาถามว่าทำยังไง ผมก็ตอบคำถามเหล่านี้จากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้ ตอบซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
เพียงเพื่อหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตคนๆนึงให้เขามีความสุขมากขึ้น
แต่ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่มันอยู่ที่คุณได้ลงมือทำบ้างหรือยัง
และทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนต้องใช้เวลา วินัย และความอดทน หาคำตอบให้ได้ครับว่าอะไรคือความสุข
และแท้จริงเราต้องการอะไร เพราะคนเราไม่สามารถอดทนทำอะไรนานๆได้ถ้ามันไม่ใช่ความสุขที่เราต้องการ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอยากหุ่นดี แต่จริงๆแล้วยังชอบกินของอร่อย (ทอด มัน หวาน) ในปริมาณไม่จำกัด
และไม่ชอบออกกำลังกายเลย ทีนี้พอรู้สึกอ้วนก็ฝืน อดอาหาร โหมออกกำลังกาย ให้น้ำหนักลดเร็วๆ
พอลดก็กลับมากินต่อ อ้วนต่อแล้วก็ทำวนไป ไม่ก็ทำร้ายตัวเองโดยไปหาทางลัดหาอาหารเสริมทำให้ร่างกายพังมากขึ้นไปอีก
ขอบคุณครับที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ ผมหวังว่าเรื่องราวของผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้ได้ไม่มากก็น้อย
ติดตามผมต่อได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/napat.kitti.8
ถ้าชอบช่วยกดให้คะแนนกระทู้นี้เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมหน่อยนะครับ
- FTM - ในเวลา 10 ปีคนเราจะเปลี่ยนไปได้แค่ไหนกันนะ
มานั่งคิดถึงวันเวลาเก่าๆตลอดเวลา 10 ปี ชีวิตเราได้ผ่านอะไรมาบ้างนะ
เพื่อนๆคงเห็นผมผ่านกระทู้ต่างๆมาหลายกระทู้ วันนี้เรามาดูความเปลี่ยนแปลงของคนธรรมดาคนนึง
ต้ังแต่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบันกันครับ
เริ่มจากช่วงปี 2548 ผมเข้าเรียนปี 1 น้ำหนักแรกเข้า 56-57 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 4 ปี
ผมพัฒนาน้ำหนักผมไปไกลถึง 84 กิโลกรัม ก็อาหารรอบมหาลัยมันอร่อย ร้านสะดวกซื้อก็เปิดตลอด 24 ชม.
มาดูกันครับว่าสภาพร่างไปได้ไกลขนาดไหน
ปี 1
ปี 2
ปี 3
ปี 4
ปี 2552 หลังจากที่ผมเรียนจบ มันเป็นช่วงของการรับปริญญาช่วงนั้นเริ่มรู้สึกว่าเราต้องทำงาน
ต้องเจอคนมากขึ้นสภาพแวดล้อมเปลี่ยน เราจะอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ ปฎิบัติกการลดความอ้วนจึงเริ่มขึ้น
เริ่มจากคุมอาหาร ทำกับข้าวกินเองห่อไปที่ทำงาน ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง น้ำหนักเริ่มลดลงจาก 84 มาอยู่ที่ 72
ในช่วงรับปริญญา
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต กินอาหารที่ทำเอง ออกกำลังกายเป็นประจำ ผมไม่เคยเข้ายิมในวิ่งเอาครับ
ทำแบบนี้มาตลอดแล้วสิ่งที่ผมค้นพบคือวิถีการลดความอ้วนที่ยั่งยืนที่สุดมันอยู่ที่ตัวเราเอง เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ต้องรู้จักกิน รู้จักออกกำลังกาย คนเราอดอาหารไม่ได้ตลอดชีวิต ออกกำลังกายหนักๆไปไม่ได้ตลอด เราต้องหาทางสายกลาง
ที่เรายังสามารถมีความสุขกับการได้กินของอร่อยๆ(บางเวลาและต้องรู้ว่าควรกินได้แค่ไหน)
และนี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้มาตลอดระยะเวลา 10 ปี ในการลดน้ำหนักให้ยั่งยืน (ที่คนส่วนใหญ่มักทำไม่ได้) คือ
1.อย่ากดดันตัวเอง เวลาคุณกินมันก็ใช้เวลาในการสะสม ไม่ใช่กินวันนี้ อ้วนพรุ่งนี้ คุณกินมานาน คุณไม่ใช้พลังงาน
มันก็สะสม กินมา 10 ปี จะเอาออกภายใน 10 วันมันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งรีบยิ่งย้วยยิ่งโทรม
2.อย่าอดอาหาร ในตอนแรกมันเหมือนจะลดเร็ว แต่ที่มันลดไปไม่ใช่ไขมัน มันคือ น้ำและมวลกล้ามเนื้อ
(กล้ามเนื้อช่วยในการเผาผลาญ)ร่างกายมันฉลาดนะ พอคุณอดอาหาร ร่างกายมันจะพยามเซฟพลังงานลดการเผาผลาญ
เพื่อความอยู่รอด อีกอย่างคุณกินน้อยไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก วันนึงที่คุณกลับมากินเยอะ นั่นหล่ะครับ ที่ชอบเรียกว่าโยโย่
ระบบเผาผลาญมันทำงานไม่ทัน ร่างพัง อ้วนกระจายไป
3.แบ่งกินเป็นมื้อย่อยๆ เน้นโปรตีนและอาหารที่มีไฟเบอร์ ผมกินวันละ 5-6 มื้อ ตามที่เคยรีวิวไว้ ร่างกายมีเวลาย่อยและสามารถนำ
สารอาหารไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วงแรกผมเน้นการออกกำลังกายแบบ คาดิโอ 45 - 60 นาที ทำ 4 วันพัก 1 -2 วัน ทำวนไป
เมื่อน้ำหนักลดอยู่ในระดับนึง ผมเริ่มเวทเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อให้ดูเฟิร์ม ที่เล่นผมไม่เน้นกล้ามใหญ่ ผมชอบแบบลีนๆ
เห็นลายกล้ามเนื้อสวยๆ (คุณผู้หญิงไม่ต้องกลัวมีกล้ามครับ เพราะสรีระและฮอร์โมนต่างจากผู้ชายคุณต้องเล่นหนักมากๆจึงจะมีกล้าม
ผู้หญิงเล่นแบบเน้นกระชับสัดส่วน)ส่วน 6 pack กล้ามเนื้อหน้าท้องทุกคนมีแต่ที่เรามองไม่เห็นเพราะไขมันบังครับ
ต่อให้ซิทอัพ แพลงก์ ครัชน์ หนักยังไงถ้ามีไขมันส่วนเกินที่หน้าท้องกล้ามเนื้อส่วนนี้ก็จะไม่ชัดเจน แปลว่าถ้าอยากมี 6 pack
คุณต้องเล่นคาดิโอเพื่อลดมวลไขมันทั่วร่างด้วย
พอร่างกายเริ่มโอเค การเปลี่ยนแปลงขั้นต่อมาคือการข้ามเพศ (Transgender)
ก่อนอื่นที่ผมเริ่มคือการผ่าตัดหน้าอก
ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์
กระทู้เรื่องหน้าอกที่เคยเขียนไว้ครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากนั้น คือการเทคฮอร์โมน เพื่อการข้ามเพศ
เรื่องการใช้ฮอร์โมน เป็นเรื่องที่อันตรายมากครับ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ด้านฮอร์โมน
มีการตรวจเลือดเป็นประจำทุก 3-6 เดือน เพื่อดูผลการทำงานของฮอร์โมนที่มีต่อร่างกาย
เริ่มแรก
ผมเข้าทำการวินิจฉัย โดย จิตย์แพทย์ เพื่อดูการใช้ชีวิต และสภาพสังคม เพราะการรับฮอร์โมน
มันมีการเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าแค่การมีหนวด เครา เพราะอัตลักษณ์ เราจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายคนนึง
การรับฮอร์โมน เราต้องฉีดไปตลอดชีวิตครับ การรับฮอร์โมนคือการบำบัดสำหรับกลุ่มบุคคลข้างเพศ
ดังบทความนี้ Cr. ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ipinkpride@yahoo.com
คนข้ามเพศ (Transgender) หมายถึงคนที่เกิดมาแล้วมีเพศสรีระไม่ตรงตามที่จิตใจต้องการ เช่น เกิดมามีอวัยวะเพศเป็นชาย
แต่ในจิตใจรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง หรือมีอวัยวะเพศเป็นผู้หญิง แต่พบว่าในใจตัวเองมีต้องการแรงกล้าที่จะเป็นผู้ชาย เป็นต้น
คนข้ามเพศอาจจะแปลงเพศหรือไม่ก็ได้ หรือจะแปลงแค่ไหนก็ได้ตามแต่ความต้องการหรือสุขภาพของแต่ละคน เช่น
ผู้หญิงข้ามเพศ บางคนก็อาจจะอยากมีแค่หน้าอก แต่ไม่ได้เฉือนอวัยวะเพศชายทิ้ง เพราะเกรงจะมีปัญหาทางสุขภาพ
หรือผู้ชายข้ามเพศบางคนก็เลือกที่จะตัดเฉพาะหน้าอกออก แต่ไม่ได้ต้องการที่จะเปลี่ยนอวัยวะเพศ เป็นต้น
และสำหรับคนที่แปลงแล้วก็จะเรียกว่า Transsexual และใน Transsexual เองก็จะมีศัพท์ เรียกแตกต่างกันไปอีก
ผู้ชายที่แปลงเพศเป็นผู้หญิงเรียกสั้นๆ ว่า MTF ที่ย่อมาจาก Male to Female หรือผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชาย
ก็เป็น FTM ย่อจาก Female to Male นั่นเอง
คนข้ามเพศ จึงไม่ได้หมายถึงคนรักเพศเดียวกัน แต่เป็นคนรักต่างเพศต่างหาก ดังที่เราจะเห็นคนดังหรือ
ดาราที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศมีคนรัก หรือแต่งงานกับผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่กับเกย์ เข้าสู่การดำเนินชีวิตตาม
ครรลองแบบผู้หญิงผู้ชายทั่วไปที่มีมายาวนาน
คนข้ามเพศในสังคมไทย จึงมีความหมายค่อนไปที่ผู้หญิงข้ามเพศ หรือสาวประเภทสอง หรือกะเทย มากกว่า
ทั้งที่จริงๆ แล้ว หมายถึงผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชายด้วย เพียงแต่เมืองไทย เราไม่ค่อยได้รู้จัก ผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชายนัก
เนื่องจากความเข้าใจเรื่อง FTM ในสังคมไทยยังมีอยู่น้อยมากถึง มากที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาชาว MTF การเปิดเผยตัวกับสาธารณะชน
หรือสังคมวงกว้างจึงเป็น เรื่องที่ทำได้ยากกว่า ทั้งยังไม่มีชุมชนเช่นที่ชาว MTF มี ขณะเดียวกันการจะเข้าร่วมกับกลุ่มหญิง รักหญิง
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ FTM เป็น ภาพคนข้ามเพศ FTM จึงออกจะเลือนราง ไม่สามารถมองเห็น ได้ชัดเจนนัก
Cr. ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ipinkpride@yahoo.com
ผลข้างเคียง ของผม ในตอนเเรกหลังรับฮอร์โมน น้ำหนักตัวผมขึ้นเยอะมาก จากปกติ ผมหนัก 55-56 หลังเทคน้ำหนักผมขึ้นไป
61-62 ตอนนั้นนอยด์มาก อารมณ์แปรปรวน เหมือนเด็กผู้ชายที่กำลังแตกหนุ่ม เสียงแตก มีขนขึ้นตามร่างกาย หน้ามัน ผิวหยาบ
รูขุมขนกว้าง สิวมาเพียบ และการเข้าห้องน้ำสาธารณะตอนนี้คือปัญหาครับ เข้าห้องผู้หญิงไม่ได้แล้ว หน้าเปลี่ยนถามว่าการใช้ชีวิตยากขึ้นไหม
สำหรับบุคคลข้ามเพศ ผมเข้าใจหัวอกของสาวประเภทสองแล้วครับ สังคมไทยเหมือนจะเปิดรับนะแต่ ลึกๆแล้วมันก็ยังมีความเหยียดเพศอยู่มากนะ (ง่ายๆดูจากการเข้าห้องน้ำได้)
ดูกระทู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงได้ที่กระทู้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทีนี้เริ่มการเปลี่ยนแปลงต่อไปด้วยการศัลยกรรม ในยุคสมัยนี้ต้องยอมรับว่าหน้าตา บุคลิกภาพมีส่วนสำคัญ
เรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้
การศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องผิด แต่ศัลยกรรมจะผิดถ้าเราไม่มีความรู้ก่อนทำ เพราะการที่มันจะออกมาดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
1. ความชำนาญของแพทย์ อันนี้สำคัญหน้าเรามีหน้าเดียวอย่าเห็นแก่โปรฯที่ราคาถูก
หน้าพังมามันไม่คุ้มค่าแก้ ต้องดูการรับประกันงาน ไม่ควรต่ำกว่า 6 เดือนเพราะการทำศัลยกรรมต้องใช้เวลาในการ
ฟื้นตัวของร่างกายกว่าจะรู้ว่ามันโอเคไหม ต้องปรับต้องแก้หรือไม่ เพราะฉะนั้นศึกษาให้ดี
2.ตัวเราเอง การเตรียมร่างกายทั้งก่อนและหลังผ่าตัดมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความชำนาญของแพทย์
ถ้าเราดูแลตัวเองดี มันยิ่งทำให้ผลที่ได้ออกมาดี ปฎิบัติตามที่หมอเเนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงของการ
อักเสบติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น
ศัลยกรรมหลักๆที่ผมทำตอนนี้คือ
การเสริมจมูก
ปัจจุบันทำได้ 7 เดือนแล้วครับ
กระทู้รวิวจมูกที่เคยเขียนไว้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต่อมาคือการดูดไขมัน
มีสิ่งนึงพี่ผมอยากมีมาตลอดคือ six pack ถ้าหลายๆคนที่เคยติดตามผมจะทราบว่าผมคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ
แต่ทำยังไงไอ้เจ้าไขมันหน้าท้องก็ช่างดื้อเหลือเกิน ผมจึงเริ่มศึกษาวิธีการลดไขมันเฉพาะสัดส่วน พอดีโชคดีชนะการประกวด
เลยได้ทำฟรี มันโอเคมากครับ แต่ถามว่าเจ็บไหม ตอบเลยว่าเจ็บที่สุดตั้งแต่ที่เคยผ่าตัดมา ตอนนี้ทำได้ 2 เดือนกว่าแล้ว
แต่ยังต้องรอให้เข้าที่อีกประมาณ 2-3 เดือน
กระทู้รีวิวการดูดไขมัน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นี่แหละครับ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา กับการเปลี่ยนแปลงของคนธรรมดาๆคนนึง
มันผ่านทั้งความเจ็บปวด ความเหนื่อย ความท้อ ความทรมาน ต้องมีวินัย ต้องอดทน ผมศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองทุกอย่าง
เสิร์ทในกูเกิ้ลนี่แหล่ะครับ อันไหนไม่รู้ก็เข้าไปถามผู้รู้ ปรึกษาในเพจต่างๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ และลองทำดู ผิดบ้างถูกบ้าง
ผมนำความรู้ที่ได้มาส่งต่อ ด้วยการเขียนกระทู้ การรีวิว อะไรดีผมก็บอกว่าดี อะไรไม่ดีต่อให้ได้มาฟรีผมก้อบอกว่าไม่ดีไม่แนะนำ
นั่นเป็นสิ่งที่ผมสามารถส่งต่อให้คนที่กำลังหาความรู้และอยากที่จะเปลี่ยนเเปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้
ทุกอย่างไม่ได้มาง่ายๆ แต่ก็ยังมีความฝันที่ทำให้เราไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป
หลายๆคนเข้ามาถามว่าทำยังไง ผมก็ตอบคำถามเหล่านี้จากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้ ตอบซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
เพียงเพื่อหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตคนๆนึงให้เขามีความสุขมากขึ้น
แต่ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่มันอยู่ที่คุณได้ลงมือทำบ้างหรือยัง
และทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนต้องใช้เวลา วินัย และความอดทน หาคำตอบให้ได้ครับว่าอะไรคือความสุข
และแท้จริงเราต้องการอะไร เพราะคนเราไม่สามารถอดทนทำอะไรนานๆได้ถ้ามันไม่ใช่ความสุขที่เราต้องการ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอยากหุ่นดี แต่จริงๆแล้วยังชอบกินของอร่อย (ทอด มัน หวาน) ในปริมาณไม่จำกัด
และไม่ชอบออกกำลังกายเลย ทีนี้พอรู้สึกอ้วนก็ฝืน อดอาหาร โหมออกกำลังกาย ให้น้ำหนักลดเร็วๆ
พอลดก็กลับมากินต่อ อ้วนต่อแล้วก็ทำวนไป ไม่ก็ทำร้ายตัวเองโดยไปหาทางลัดหาอาหารเสริมทำให้ร่างกายพังมากขึ้นไปอีก
ขอบคุณครับที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ ผมหวังว่าเรื่องราวของผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้ได้ไม่มากก็น้อย
ติดตามผมต่อได้ที่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าชอบช่วยกดให้คะแนนกระทู้นี้เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมหน่อยนะครับ