หลังจากหนังเพิ่งเข้ามาไม่นานก็ไล่ตามดูกระทู้อ่านฟีดแบค ส่วนใหญ่คนที่เคยดูภาคแรกมาแล้วจะบอกว่าชอบภาคแรกมากกว่า
หรือภาคนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ มีช่วงเนิบนาบน่านอนมากเกินไป บางฉากไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม (เช่นเรื่องเด็กผิวสี)
วันนี้เลยขอตั้งกระทู้ใหม่แชร์ความรู้สึก มุมมองอีกแบบนึงจากคนที่ชอบตัวละคร McCall มาก ๆ จากภาคแรกนะคะ
คนที่รู้จักแม็คคอลอยู่แล้วก็อ่านได้ คนที่ยังไม่รู้จักก็อ่านได้นะ
เผื่อจะได้มุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้เพิ่มขึ้นและทำให้ดูหนังสนุกขึ้นก็ได้^^
- Robert McCall เป็นชายวัยเกษียณที่อยู่ตัวคนเดียวในอพาร์ตเม้นท์เก่า ๆ จากภาคแรกทำให้เราเรียนรู้ว่าโรเบิร์ตสูญเสียภรรยาไป
และย้ายออกจากบ้านริมทะเลที่เคยอยู่กับภรรยาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (เรื่องนี้จะมามีผลกับฉากท้าย ๆ ของภาค 2)
- หนังให้ชื่อไทยว่า มัจจุราชไร้เงา เพราะโรเบิร์ตเคยเป็นสายลับให้ Defense Intelligence Agency ของรัฐ
ที่ทำการ fake death ตัวเองหลังจบภารกิจหนึ่งเพื่อออกมาใช้ชีวิตสงบ ๆ กับภรรยา (แต่ภรรยาก็มาตายไปก่อน)
เพราะฉะนั้นโรเบิร์ตจะต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองตลอด โดยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่เคยทำงานด้วยกันคือ Susan Plummer
เป็นคนเดียวในองค์กรที่รู้ว่าโรเบิร์ตยังมีชีวิตอยู่ (จริง ๆ สามีซูซานก็รู้ แต่สามีน่าจะไม่ใช่คนใน DIA)
ตรงนี้สำคัญเพราะมันทำให้เรารู้ว่า Susan มีความสำคัญกับโรเบิร์ตมากขนาดไหน
เพราะแม้แต่เพื่อนร่วมรบที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมา ยังไม่รู้เลยว่าโรเบิร์ตยังไม่ตาย
ซึ่งเราจะมารู้เอาจากภาค 2 นี่เอง ภาคแรกปูมหลังของโรเบิร์ตค่อนข้างเป็นปริศนา
เพราะตัวละครจะไม่มีการพูดออกมาตรง ๆ ว่าใครเป็นใคร ทำอะไร
คนดูต้องเดาเอาจากบทสนทนาและสิ่งที่ทั้งโรเบิร์ตและซูซานสามารถทำได้
เช่นการหาข้อมูลเชิงลึกของคนที่ตามฆ่าโรเบิร์ตซึ่งรู้ขนาดว่าเคยสังกัดอยู่หน่วยไหน เกิดและโตมาในครอบครัวแบบไหน เป็นต้น
- หนังทั้งสองภาคจะมีจังหวะเรียบ ๆ เนือย ๆ ตามจังหวะชีวิตของโรเบิร์ต
หลาย ๆ ฉากทำให้เรารู้ว่าโรเบิร์ตใช้ชีวิตแบบ Perfectionist (ฉากที่โรเบิร์ตอ่านหนังสือ และออกจากบ้านในเวลาเดิมทุกวัน
ไปร้านประจำที่ไปทุกวัน เวลาเดิม การจัดวางกระดาษเช็ดมือ ช้อนชงชา หนังสือ ไว้ในมุมเดิมทุกครั้งที่ดื่มชา)
การดูนาฬิกาเพื่อกำหนดวินาทีที่จะจัดการเป้าหมาย (และส่ายหัวทำท่าผิดหวังเมื่อใช้เวลาเกินกำหนด หลังฆ่าแก๊งค์มาเฟียในภาคแรก^^’)
การเดินไปปิดน้ำเมื่อได้ยินเสียงน้ำหยดจากก๊อก
เราเลยรู้ว่าโรเบิร์ตเป็นคนมีระเบียบแบบแผนในการใช้ชีวิตขั้น extreme มาก ๆ ซึ่งน่าจะเกิดจากการฝึกฝนเป็นนักฆ่ามาหลายปี
- หนังภาคแรกปูทางให้เราเริ่มรู้จักโรเบิร์ตจากตาลุงขายของใน Home Mart
ท่าทางใจดี ยิ้มง่าย ชอบพูดคุยกับคนอื่น ๆ และให้ความช่วยเหลือทั้งแบบเปิดเผยและปิดบังตัวตน
- โรเบิร์ตถนัดการต่อสู้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะมีด ปืน หรือการต่อสู้มือเปล่าและถนัดมาก ๆ กับการวางแผน
ใช้สิ่งของรอบตัวมาประยุกต์ให้เป็นอาวุธ ซึ่งภาคแรกชูจุดเด่นนี้ได้ดีมาก ๆ กับการเซ็ทฉากต่อสู้ให้เกิดขึ้นใน Home Mart
ทำให้เราทึ่งกับการใช้เครื่องมือช่างในบ้านธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นอาวุธที่ฆ่าคนได้แบบไม่เหลือซาก (กรี๊ดมากกก มันเท่มาก 555555)
ภาคสองก็เช่นกัน มีทั้งบัตรเครดิต น้ำชา ปูนซีเมนต์ ฯลฯ ส่วนจะเอามาใช้ยังไงขอให้ไปดูเองดีกว่า^^
- เส้นเรื่องหลักของ EQUALIZER ทั้งสองภาคคือการเปลี่ยนชีวิตวัยรุ่นซักคนที่เดินทางผิดหรือไม่มีทางให้เลือกเดิน
ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าและควรจะเป็น ภาคแรกคือสาว Chloe Moretz ส่วนภาคสองคือ Miles (Ashton Sanders)
เด็กผิวสีที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะที่เลือกเส้นทางเด็กเดินยา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ในภาคสองมีฉากที่พระเอกควงปืนเข้าไปเอาตัว Miles ออกมาจากรังแก๊งค้ายาที่กำลังยุให้ Miles ไปตามฆ่าคนที่ยิงพี่ชายตัวเองตาย
พอช่วยลงมาแล้วพระเอกตะคอกใส่หน้าเด็กว่า You don’t know what death is. You have no idea what death is.
และ Miles ก็ได้เรียนรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความตายเลยจริง ๆ
หลังจากที่โดนจับเป็นตัวประกัน ยัดใส่ท้ายระโปรงรถและโดนยิงที่ขาโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่
เราว่าการมีบทให้เด็กคนนี้เป็นตัวประกันและรอดจากความตายมาได้
เป็น turning point ที่ทำให้ Miles คิดได้แน่นอนว่าชีวิตควรเดินไปทางไหนหลังจากนี้
ซึ่งหลังจากเหตุการ์นั้น Miles ก็ฝาก the best of him ไว้บนกำแพงอพาร์ตเม้นท์ที่ทำทิ้งไว้จนจบ
และเดินหน้าเรียนศิลปะอย่างจริงจัง (สำหรับเรา มัน complete มากจริง ๆ กับการปูเรื่องของ Miles มาตั้งแต่ต้นแล้วจบแบบนี้ ดูแล้วน้ำตาซึมT-T)
- เนื่องจากภาคแรกจบลงตรงที่โรเบิร์ตตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชิวิตแบบนี้
คือทำงานสุจริตอะไรไปซักอย่างแล้วหาทางช่วยเหลือคนที่ตกที่นั่งลำบากไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้
การที่โรเบิร์ตมาเลือกขับ Lyft (เหมือน Uber บ้านเรา) เปิดโอกาสให้โรเบิร์ตได้เจอคนหลากหลาย
ได้เข้าไปรับรู้ชีวิตของคนมากมาย มีทั้งคนที่ทำได้แค่ฟัง เศร้าไปกับเค้า
(เป็นที่มาของความเรื่อย ๆ เนือย ๆ ของหนัง ที่ถ้าตั้งใจคิดตาม เราจะเห็นชีวิตของผู้คนมากมายผ่านการขับรถให้ของโรเบิร์ต)
หรือที่ซีเรียสหน่อยก็ยื่นมือเข้าไปช่วยจริงจังโดยมีซูซานคอยช่วยเหลือด้านข้อมูล
ทำให้ภาคสองเรารู้สึกว่าโรเบิร์ตกลายเป็นคนของประชาชนไปแล้ว 555555
แต่ถ้าตั้งใจดูจริง ๆ ทุกเคสที่โรเบิร์ตเข้าไปช่วยคือจบสวยทุกเคส
และมันเป็นสิ่งที่ตัวละครตัวนี้พยายามทำเพื่อเติมเต็มความเป็นตัวตนที่หายไปตั้งแต่ที่ภรรยาตาย
(ภาคแรกจะมีฉากที่ซูซานพูดกับโรเบิร์ตว่า A part of you has died when Vivienne died, but not the part that she loved the most
(ไม่เป๊ะนะคะ แต่ประมาณนี้) และขอให้โรเบิร์ตไปเป็นคน ๆ นั้น เป็นโรเบิร์ตที่สามารถจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนได้)
ถ้าเข้าใจตัวตนของ McCall ตรงนี้จะพอเข้าใจว่าทำไมภาคสองถึงต้องคอยช่วยคนเบี้ยใบ้รายทางเต็มไปหมดค่ะ
- ตัวร้ายของโรเบิร์ตทั้งสองภาค สำหรับเราคือค่อนข้างง่อยนะ 555555
คิดเข้าข้างตัวเองว่าเพราะโรเบิร์ตเก่งเกินไป ทำให้ตัวร้ายที่โผล่มาแต่ละคนดูกระจอกไปหมด
แต่บทแอคชั่นของทั้งสองภาคทำได้ดี ลุ้นระทึกมาก เลือดเป็นเลือด ฆ่าเป็นฆ่า หักเป็นหัก งี้เลย-_-‘’
- หนังภาคสองสำหรับเราคิดว่ามันน่าจะปูทางไปหาภาค 3 ได้ไม่ยาก
ดูจากการฆ่าแบบล้างองค์กรของภาคแรก ทำให้รู้ว่าภาคสองโรเบิร์ตยังสืบไปไม่ถึงต้นทางของตัวผู้ร้ายที่สั่งฆ่าซูซานเลยด้วยซ้ำ
ถ้าจะเอาการแก้แค้นแบบถอนรากถอนโคนของภาคแรกมา โรเบิร์ตคงต้องไปหาต้นตอให้เจอแล้วล้างบางซะก่อน
ถึงจะถือว่าแก้แค้นให้ซูซานสำเร็จ
- อันนี้สปอยฉากต่อสู้หลักของเรื่อง ที่เคยไปตอบไว้อีกกระทู้นึง ว่าทำไมโรเบิร์ตถึงเลือกสถานที่จบเกมส์กับผู้ร้ายที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ นั่นก็คือบ้านริมทะเลที่พระเอกเคยอยู่กับภรรยาและไม่เคยกลับไปเหยียบอีกเลยหลังจากภรรยาตายไป
ที่พระเอกบอกให้ Dave ตัวร้ายสุดไปหาเขาได้ที่นั่นเพราะอย่างแรกพระเอกรู้ว่าเดฟจะต้องเดาถูกว่าเป็นที่ไหน
สองคือตอนที่ซูซานมาหาพระเอกที่ อพาร์ทเม้นท์ ก่อนจะไปโดนฆ่าที่บรัสเซลล์
ซูซานบอกพระเอกว่า You should go home.
การที่โรเบิร์ตนัดคนที่ฆ่าเพื่อนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตัวเองไปตายในที่ ๆ เป็นบ้าน
ก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์ในการแก้แค้นและบอกซูซานว่าเค้าได้กลับมาบ้านแล้ว และแก้แค้นให้แล้วด้วยนะ
อีกอย่าง คือวิธีที่พระเอกฆ่าเดฟ คือการเสียบมีดเข้าอก ซึ่งนั้นคือวิธีเดียวและจุดเดียวกับที่เดฟใช้ฆ่าซูซาน
ฉากนี้สำหรับเรามันสะเทือนใจแทนโรเบิร์ตมากจริง ๆ T_T
หลัก ๆ ก็มีเท่านี้ที่พอนึกออก
เราชอบหนังเรื่องนี้มากกกกกก ใครดูแล้วคิดยังไงรู้สึกยังไงทั้งภาคแรกภาคสองมาคุยกันได้นะคะ สนุกดีค่ะ^^
[EQUALIZER 2] มองหนังแบบติ่ง Robert McCall [มีซ่อน SPOIL]
หรือภาคนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ มีช่วงเนิบนาบน่านอนมากเกินไป บางฉากไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม (เช่นเรื่องเด็กผิวสี)
วันนี้เลยขอตั้งกระทู้ใหม่แชร์ความรู้สึก มุมมองอีกแบบนึงจากคนที่ชอบตัวละคร McCall มาก ๆ จากภาคแรกนะคะ
คนที่รู้จักแม็คคอลอยู่แล้วก็อ่านได้ คนที่ยังไม่รู้จักก็อ่านได้นะ
เผื่อจะได้มุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้เพิ่มขึ้นและทำให้ดูหนังสนุกขึ้นก็ได้^^
- Robert McCall เป็นชายวัยเกษียณที่อยู่ตัวคนเดียวในอพาร์ตเม้นท์เก่า ๆ จากภาคแรกทำให้เราเรียนรู้ว่าโรเบิร์ตสูญเสียภรรยาไป
และย้ายออกจากบ้านริมทะเลที่เคยอยู่กับภรรยาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (เรื่องนี้จะมามีผลกับฉากท้าย ๆ ของภาค 2)
- หนังให้ชื่อไทยว่า มัจจุราชไร้เงา เพราะโรเบิร์ตเคยเป็นสายลับให้ Defense Intelligence Agency ของรัฐ
ที่ทำการ fake death ตัวเองหลังจบภารกิจหนึ่งเพื่อออกมาใช้ชีวิตสงบ ๆ กับภรรยา (แต่ภรรยาก็มาตายไปก่อน)
เพราะฉะนั้นโรเบิร์ตจะต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองตลอด โดยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่เคยทำงานด้วยกันคือ Susan Plummer
เป็นคนเดียวในองค์กรที่รู้ว่าโรเบิร์ตยังมีชีวิตอยู่ (จริง ๆ สามีซูซานก็รู้ แต่สามีน่าจะไม่ใช่คนใน DIA)
ตรงนี้สำคัญเพราะมันทำให้เรารู้ว่า Susan มีความสำคัญกับโรเบิร์ตมากขนาดไหน
เพราะแม้แต่เพื่อนร่วมรบที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมา ยังไม่รู้เลยว่าโรเบิร์ตยังไม่ตาย
ซึ่งเราจะมารู้เอาจากภาค 2 นี่เอง ภาคแรกปูมหลังของโรเบิร์ตค่อนข้างเป็นปริศนา
เพราะตัวละครจะไม่มีการพูดออกมาตรง ๆ ว่าใครเป็นใคร ทำอะไร
คนดูต้องเดาเอาจากบทสนทนาและสิ่งที่ทั้งโรเบิร์ตและซูซานสามารถทำได้
เช่นการหาข้อมูลเชิงลึกของคนที่ตามฆ่าโรเบิร์ตซึ่งรู้ขนาดว่าเคยสังกัดอยู่หน่วยไหน เกิดและโตมาในครอบครัวแบบไหน เป็นต้น
- หนังทั้งสองภาคจะมีจังหวะเรียบ ๆ เนือย ๆ ตามจังหวะชีวิตของโรเบิร์ต
หลาย ๆ ฉากทำให้เรารู้ว่าโรเบิร์ตใช้ชีวิตแบบ Perfectionist (ฉากที่โรเบิร์ตอ่านหนังสือ และออกจากบ้านในเวลาเดิมทุกวัน
ไปร้านประจำที่ไปทุกวัน เวลาเดิม การจัดวางกระดาษเช็ดมือ ช้อนชงชา หนังสือ ไว้ในมุมเดิมทุกครั้งที่ดื่มชา)
การดูนาฬิกาเพื่อกำหนดวินาทีที่จะจัดการเป้าหมาย (และส่ายหัวทำท่าผิดหวังเมื่อใช้เวลาเกินกำหนด หลังฆ่าแก๊งค์มาเฟียในภาคแรก^^’)
การเดินไปปิดน้ำเมื่อได้ยินเสียงน้ำหยดจากก๊อก
เราเลยรู้ว่าโรเบิร์ตเป็นคนมีระเบียบแบบแผนในการใช้ชีวิตขั้น extreme มาก ๆ ซึ่งน่าจะเกิดจากการฝึกฝนเป็นนักฆ่ามาหลายปี
- หนังภาคแรกปูทางให้เราเริ่มรู้จักโรเบิร์ตจากตาลุงขายของใน Home Mart
ท่าทางใจดี ยิ้มง่าย ชอบพูดคุยกับคนอื่น ๆ และให้ความช่วยเหลือทั้งแบบเปิดเผยและปิดบังตัวตน
- โรเบิร์ตถนัดการต่อสู้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะมีด ปืน หรือการต่อสู้มือเปล่าและถนัดมาก ๆ กับการวางแผน
ใช้สิ่งของรอบตัวมาประยุกต์ให้เป็นอาวุธ ซึ่งภาคแรกชูจุดเด่นนี้ได้ดีมาก ๆ กับการเซ็ทฉากต่อสู้ให้เกิดขึ้นใน Home Mart
ทำให้เราทึ่งกับการใช้เครื่องมือช่างในบ้านธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นอาวุธที่ฆ่าคนได้แบบไม่เหลือซาก (กรี๊ดมากกก มันเท่มาก 555555)
ภาคสองก็เช่นกัน มีทั้งบัตรเครดิต น้ำชา ปูนซีเมนต์ ฯลฯ ส่วนจะเอามาใช้ยังไงขอให้ไปดูเองดีกว่า^^
- เส้นเรื่องหลักของ EQUALIZER ทั้งสองภาคคือการเปลี่ยนชีวิตวัยรุ่นซักคนที่เดินทางผิดหรือไม่มีทางให้เลือกเดิน
ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าและควรจะเป็น ภาคแรกคือสาว Chloe Moretz ส่วนภาคสองคือ Miles (Ashton Sanders)
เด็กผิวสีที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะที่เลือกเส้นทางเด็กเดินยา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- เนื่องจากภาคแรกจบลงตรงที่โรเบิร์ตตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชิวิตแบบนี้
คือทำงานสุจริตอะไรไปซักอย่างแล้วหาทางช่วยเหลือคนที่ตกที่นั่งลำบากไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้
การที่โรเบิร์ตมาเลือกขับ Lyft (เหมือน Uber บ้านเรา) เปิดโอกาสให้โรเบิร์ตได้เจอคนหลากหลาย
ได้เข้าไปรับรู้ชีวิตของคนมากมาย มีทั้งคนที่ทำได้แค่ฟัง เศร้าไปกับเค้า
(เป็นที่มาของความเรื่อย ๆ เนือย ๆ ของหนัง ที่ถ้าตั้งใจคิดตาม เราจะเห็นชีวิตของผู้คนมากมายผ่านการขับรถให้ของโรเบิร์ต)
หรือที่ซีเรียสหน่อยก็ยื่นมือเข้าไปช่วยจริงจังโดยมีซูซานคอยช่วยเหลือด้านข้อมูล
ทำให้ภาคสองเรารู้สึกว่าโรเบิร์ตกลายเป็นคนของประชาชนไปแล้ว 555555
แต่ถ้าตั้งใจดูจริง ๆ ทุกเคสที่โรเบิร์ตเข้าไปช่วยคือจบสวยทุกเคส
และมันเป็นสิ่งที่ตัวละครตัวนี้พยายามทำเพื่อเติมเต็มความเป็นตัวตนที่หายไปตั้งแต่ที่ภรรยาตาย
(ภาคแรกจะมีฉากที่ซูซานพูดกับโรเบิร์ตว่า A part of you has died when Vivienne died, but not the part that she loved the most
(ไม่เป๊ะนะคะ แต่ประมาณนี้) และขอให้โรเบิร์ตไปเป็นคน ๆ นั้น เป็นโรเบิร์ตที่สามารถจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนได้)
ถ้าเข้าใจตัวตนของ McCall ตรงนี้จะพอเข้าใจว่าทำไมภาคสองถึงต้องคอยช่วยคนเบี้ยใบ้รายทางเต็มไปหมดค่ะ
- ตัวร้ายของโรเบิร์ตทั้งสองภาค สำหรับเราคือค่อนข้างง่อยนะ 555555
คิดเข้าข้างตัวเองว่าเพราะโรเบิร์ตเก่งเกินไป ทำให้ตัวร้ายที่โผล่มาแต่ละคนดูกระจอกไปหมด
แต่บทแอคชั่นของทั้งสองภาคทำได้ดี ลุ้นระทึกมาก เลือดเป็นเลือด ฆ่าเป็นฆ่า หักเป็นหัก งี้เลย-_-‘’
- หนังภาคสองสำหรับเราคิดว่ามันน่าจะปูทางไปหาภาค 3 ได้ไม่ยาก
ดูจากการฆ่าแบบล้างองค์กรของภาคแรก ทำให้รู้ว่าภาคสองโรเบิร์ตยังสืบไปไม่ถึงต้นทางของตัวผู้ร้ายที่สั่งฆ่าซูซานเลยด้วยซ้ำ
ถ้าจะเอาการแก้แค้นแบบถอนรากถอนโคนของภาคแรกมา โรเบิร์ตคงต้องไปหาต้นตอให้เจอแล้วล้างบางซะก่อน
ถึงจะถือว่าแก้แค้นให้ซูซานสำเร็จ
- อันนี้สปอยฉากต่อสู้หลักของเรื่อง ที่เคยไปตอบไว้อีกกระทู้นึง ว่าทำไมโรเบิร์ตถึงเลือกสถานที่จบเกมส์กับผู้ร้ายที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลัก ๆ ก็มีเท่านี้ที่พอนึกออก
เราชอบหนังเรื่องนี้มากกกกกก ใครดูแล้วคิดยังไงรู้สึกยังไงทั้งภาคแรกภาคสองมาคุยกันได้นะคะ สนุกดีค่ะ^^