The Equalizer 2 (2018) 10/10 ดราม่า แอ็คชั่น ทริลเลอร์ลงตัว

สวัสดีครับทุกๆคนวันนี้ผมจะมารีวิวหนังใหม่กันเรื่อง The Equalizer 2 มัจจุราชไร้เงา 2 หนังภาคต่อของค่ายหนัง Colmubia Pictures และ ค่าย Sony Pictures หลังจากภาคแรกออกฉายในปี 2014 และบทส่งให้นักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง Denzel Washington หนังประสบความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์และรายได้ จนเปิดไฟเขียวสร้างภาคสอง

ผู้กำกับยังคงเป็น Antoie Fuqua จากภาคแรกรับหน้าที่กำกับ และเป็นผลงานที่ทั้งเดนเซลกับอวงตวนร่วมงานกันเป็นครั้งที่สี่ หลังจากผลงานดราม่าอาชญากรรมดุเดือดอย่าง Traning Day (2001) ที่ทำให้เดนเซลคว้ารางวัลออสการ์ได้, The Equalizer (2014), The Magificent Seven (2016) และนี่เป็นครั้งแรกของเดนเซลในรอบ 40 ปีในวงการภาพยนตร์ที่แกยอมรับแสดงหนังภาคต่อ เพราะ ตัวเองชอบบทของ Robert McCall ตัวเอกของเรื่องมาก

  เรื่องราวในภาคนี้ เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ภาคแรกได้ไม่นาน Robert McCall แกก็คงยังสวมบทวีรชนยอดมือสังหารเที่ยวไปช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน ถูกคนเลวกดขี่ข่มเหง ไม่ได้รับความยุติธรรม แกยังคงใช้ชีวิตดูเรียบง่าย เหมือนคนปกติทั่วไป ทำงานเป็นอูเบอร์ พอว่างๆแกก็ออกไปช่วนเหลือปกป้องคนดี สู้กับเหล่าอาชญากร (แหม...ยังกะ Bruce Wayne) แต่เมื่อซูซาน พัมเมอร์ (Messisa Leo) เพื่อนรักคนเดียวของแม็คคอล อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ถูกฆาตกรรม ทำให้แม็คคอลต้องออกไปมงทวงความยุติธรรมจากพวกคนเลวให้เพื่อนของเขา

หนังดูพล็อตคร่าวๆดูไม่มีอะไร เหมือนหนังบู๊ล้างแค้นทั่วไป แต่สำหรับเรื่องนี้มันไม่ใช่ รายละเอียดของหนังมันซับซ้อนลึกซึ้งและมีอะไรให้จดจำเยอะมากกว่าประเด็นการแก้แค้น ภาคนี้เราจะได้เห็นแม็คคอลในแง่มุมชีวิตที่มีมากขึ้นกว่าภาคแรก รู้จุดประสงค์การกระทำของแกมากขึ้น โชว์สกิลของแม็คคอลในการสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรม ที่ภาคแรกไม่มี เรียกว่า ฉลาด วิเคราะห์เก่ง แบบว่า
Jack Reacher  ของ Tom Cruise ซิดซ้ายเลยล่ะ ไหนจะผูกความสัมพันธ์ของตัวละครใหม่กับแม็คคอล ไมลล์ เด็กหนุ่มนักศิลป์ที่ดันไปหลงทางผิดเดินเข้าสู่โลกอาชญากรรม แต่แม็คคอลฉุดช่วยไว้ เหมื่อนในเหตุการณ์ภาคแรก ที่ผูกเรื่องของ แม็คคอล กับ ราฟฟี่ เด็กอ้วนร้านโฮมโปร ซึ่งทำให้หนังดูมีมิติมากขึ้น และบทหนังก็ดี สนุก มีดราม่าอยู่ตามสไตล์หนังเดนเซลดราม่านำแอ็คชั่น

ฉากแอ็คชั่นเรียกว่าเจ๋งพอๆกับภาคแรก แกยังคงจับเวลาฆ่าเช่นเคย เจ๋งโคตร เลือดเยอะเหมือนเคย Rate 18+ ตัวร้ายอัพ level จากแกงค์มาเฟียรัสเซีย มาเป็นกลุ่มนักฆ่ามืออาชีพ ภาคนี้ป๋าแกเน้นใช้ปืนมากขึ้นกว่าภาคแรก แต่ก็ไม่ใช่ทิ้งความดิบ โหดจากภาคแรกไป ป๋าเดนเซลแกต้องไปฝึกการต่อสู้มากขึ้นและหนักขึ้นกว่าภาคแรกเพื่อใหัออกมาสมจริง เรียกว่า โหดขึ้น จริงจังขึ้น สไตล์เดียวกับ Liam Neeson ในบท Bryan Mills เรื่อง Taken เลย คนแก่แต่เก๋า ฉลาด สุขุม โหด

โดยรวม ผมว่าหนังภาคนี้คุ้มค่าต่อค่าตั๋วครับ แนะนำให้ไปดูกัน มันสนุกกว่าหนังแอ็คชั่นทั่วๆไป มีอะไรในหนังแทรกมามากกว่าที่คุณคิด อารมณ์หนังยังมาแบบหม่นๆ ดาร์กๆ ปนดราม่าแบบภาคแรก ที่เพิ่มเติมคือ สเกลของหนังที่ดูใหญ่ขึ้น และฉากแอ็คชั่นที่ยังคงดุเด็ดเผ็ดมันเหมือนเคย แต่มีมากขึ้นกว่าภาคแรกเรียกว่า เป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ในยุคใหม่ที่หยิบเอาความดิบดวลของหนังยุค 90 มาใช้ได้ดี ไม่แพ้ John Wick ของ Keanu Reeves เลย แต่เรื่องนี้ detail มันมีมากกว่าและเจ๋งกว่า John Wick

*อยากให้หนังชุดนี้เป็นหนังไตรภาค ปิดฉากจบสวยๆแบบ Taken จังเลย

10/10
รีวิวโดย เจสัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่