The Equalizer มัจจุราชไร้เงา ปัจจุบันมีสองภาค เป็นผลงานการกำกับของยอดผกก.ผิวสี Antoine Fuqua จากผลงานสร้างชื่ออย่าง Training Day, Tears Of The Sun และ Shooter
มาผลึกกำลังได้นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Denzel Washington ที่เคยร่วมงานกันในหนังแนวดราม่าอาชญากรรมที่บทส่งใหแกเข้าชิงและคว้ารางวัลออสการ์ได้สำเร็จ เรื่อง Training Day นั่นเอง
The Equalizer หนังออกแนวดราม่า แอ็คชั่นไม่มากนัก และเน้นความทริลเลอร์สยองนิดๆ ถ้าใครเคยดูหนังเก่าของป๋าเดนเซล พวก Training Day, Man On Fire, Deja Vu, Safe House อะไรพวกนี้ ก็แนวๆ The Equalizer ทั้งนั้น คือ เน้นดราม่า บทสนทนาระหว่างตัวละครดูมีเหตุผล ไม่ทำให้คนดูรู้สึกติดขัดแต่อย่างไร หนังค่อยๆปูเนื้อเรื่อง ไม่ได้รีบยัดแต่ฉากแอ็คชั่น ส่วนซีนแอ็คชั่นก็มาแบบสมจริงและมีไม่มากไปหรือน้อยไป และที่สำคัญมันดูกระฉับชับไว ไม่ได้ต่อสู้ยืดเยื้อ
ใครชอบหนังแอ็คชั่นแนวๆ คนแก่สายโหด เจ๋งๆ ฉลาดๆลุยๆบู๊ๆ ได้ลืมอายุแบบ Liam Neeson เรื่อง Taken เรื่องนี้ตอบโจทย์เลยครับ หนังส่วนใหญ่ของป๋าเดนเซล ก็มาแนวๆนี้แหละ และเรื่อง The Equalizer เป็นเรื่องที่แกแสดงได้เจ๋งมาก ทั้งซีนดราม่า และซีนแอ็คชั่น
The Equalizer หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าดัดแปลงบทมาจากซีรีย์ในชื่อเดียวกันในยุค 80 ซึ่งตัวละคร พล็อตเรื่อง หนังที่ทำมาก็ดัดแปลงเอาองค์ประกอบมาจากซีรีย์เยอะอยู่พอสมควร แต่ตัวละครเอก Robert McCall ในฉบับหนัง จะดูมีความลึกลับและดูน่ากลัวกว่าฉบับซีรีย์
โดยส่วนตัวผมติดตามดูหนังแทบทุกเรื่องทุกแนวของป๋าเดนเซลมาแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกถนัดแสดงหนังแนวที่เน้นดราม่าหนักๆปนแอ็คชั่นบ้างและแฝงความเป็นทริลเลอร์ ไม่ใช่เป็นหนังแอ็คชั่นดูง่ายดูเอามันตามท้องตลาดทั่วไป คือ ในบทหนังจะแฝงนัยยะต่างๆให้คนดูคิดตาม ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ คำพูดของตัวละครมีข้อคิดสอน เตือนสติ
The Equalizer ทั้งสองภาค โดยรวมผมชอบพอๆกันทั้งสองภาคเลยนะครับ ผมชอบหนังแนวๆคนแก่เจ๋งๆแบบเรื่อง Taken อยู่แล้ว และพอยิ่งได้เดนเซล ดาราขวัญใจมาแสดงอีก หนังยิ่งเพิ่มความน่าดูอีกเยอะ แต่ภาคแรกจะชอบมากกว่าภาคสองนิดนึง ตรงที่เนื้อเรื่องมันยังไม่ปูทางไปหาตัวละครประกอบอื่นๆมากไป ภาคสอง เนื้อเรื่องหลักมันดูประเด็นอ่อนลง ไปเน้นตรงจุดอื่นประเด็นอื่นนอกเรื่องเยอะไปหน่อย ดราม่ามากไปนิด ภาคแรกจะกลมกล่อมกว่า
Robert McCall ในเรื่องแกเคยเป็นสายลับซีไอเอมาก่อน อดีตหน่วยรบพิเศษ ที่เกษียนอายุมาใช้ชีวิตเหงาๆแบบคนธรรมดาในเมืองบอสตัน ย่านชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานในร้านโฮมมาร์ค ภาคสองแกมาขับอูเบอร์ ดูเผินๆแกดูเป็นคนแก่ปลดเกษียนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชอบกรุตัวอ่านหนังสือ แต่อดีตลึกๆแกผ่านเหตุการณ์ฝ่าความเป็นความตายมามาก เมื่อใครถูกรังแก ไม่ได้รับความยุติธรรม ถ้าแกเกิดรู้เข้า ไอคนก่อเรื่องมีซวย เจ็บถึงตาย อารมณ์แกเหมือน แบทแมน ออกไล่ล่าอาชญากรรม แต่นี่คืออีกขั้นจากแบทแมน ดุดันและเอาจริงกับคนร้ายมากกว่า ฆ่าคือฆ่า เพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์
เสน่ห์ของแม็คคอล คือ การจับเวลาและใช้สายตากวาดมองศูตรบริเณนั้น วิเคราะห์สถานการณ์ วิเคราะห์เหยื่อ และหาสิ่งของรอบตัวใช้เป็นอาวุธแบบ เจสัน บอร์น ที่โหดกว่าบอร์น คือ บอร์นใช้สิ่งของรอบตัวแค่กันและโจมตีศูตรแค่ให้เจ็บและหยุดการต่อสู้ แต่แม็คคอลใช้ฆ่าเลย ไม่ปราณี ซีนในภาคแรกที่ป๋าแกฆ่ามาเฟียรัสเซียห้าคนในบาร์ ด้วยเวลาเพียง 16 วินาที ผมดูจบ ทำผมอึ้งไปเลย คือ คนอะไรจะเจ๋งได้ขนาดนี้ มือเปล่า หาของรอบตัวสู้ กับ ชายรัสเซียที่หนุ่มกว่าแกหมด มีอาวุธครบมือแต่สู้อะไรกับคนแก่ไม่ได้เลย และฉากนี้ดูสู้กันสมจริงไม่ได้ดูเว่อร์
ฉากที่คนพูดถึงเยอะที่สุดในภาคแรก คงหนีไม่พ้น ฉากสุดท้ายในโฮมโปร ที่ป๋าแกบุกเดี่ยวเข้าไปช่วยเพื่อนร่วมงานของแกที่ถูกพวกตัวร้ายจับไว้เป็นตัวประกัน ซึ่งซีนนี้ มันดูทั้งเท่ โชว์ความเทพของพระเอก และสยองภายในเวลาเดียวกัน คือ ป๋าแกล่อศูตรที่เป็นพวกหน่วยรบพิเศษมาเป็นสิบคนพร้อมอาวุธครบมือ ล่อไปเก็บเงียบๆ ทีละคน โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ภายในร้านเป็นอาวุธ ใช้ทำกับดักวางล่อเหยื่อมาให้ถูกฆ่า ซึ่งซีนนี้โชว์ความเทพของแกไปอีก และทั้งเรื่องในภาคแรกพระเอกแทบไม่ได้ใช้ปืนเลย เน้นโชว์ไหวพริบและการสู้แบบที่เน้นหาของใกล้ตัวซะมากกว่า
ภาคสองเน้นซีนดราม่าเยอะกว่าภาคแรก ซีนแอ็คชั่นต่อสู้มือเปล่าแบบภาคแรกยังมีอยู่ แต่มีเพิ่มขึ้น และดูดุดันมากขึ้นกว่าภาคแรก ภาคนี้ป๋าแกใช้ปืนมากขึ้น ภาคนี้น่าเสียดายที่ไม่มีฉากเจ๋งๆแบบในโฮมโปรภาคแรก แต่มาตัดด้วยการโชว์ความสามารถของแกในการสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรม การวิเคราะห์จากข้อมูลที่เกิดเหตุ อารมณ์จัดหนักจัดเต็มแบบเรื่อง Jack Reacher เจ๋งพอๆกันเลยสองคนนี้ในเรื่องสืบสวนสอบสวน แต่ให้เครดิตป๋าแม็คคอลมากกว่า ตรงที่ประสบการณ์ผ่านอะไรมาเยอะกว่ารีชเชอร์
เนื่องจากในบทหนังแกเป็นอดีตสายลับซีไอเอ ก็มีหลายซีนโชว์มันสมอง ไหวพริบของแก อยู่มาก ไม่ใช่เก่งแต่เรื่องสู้อย่างเดียว ใครชอบเรื่องที่ตัวละครมีไหวพริบดี ฉลาดๆ และสู้เก่งด้วย แบบ Taken, Jason Bourne, Jack Reacher เรื่อง The Equalizer ก็โคตรตอบโจทย์เลยครับ
John Wick แรงกว่านรก หนังแอ็คชั่นสุดฮิตที่กำลังปิดไตรภาคเร็วๆนี้ นำแสดงในบทนักฆ่า จอห์น วิค โดย Keanu Reeves พระเอกจากเรื่อง Speed, The Matrix ไตรภาค และ Constantine กำกับโดย แซด สกาเฮนกี้ และ เดวิด ลินซ์ อดีตสตั้นแมนที่เคยทำงานร่วมกับคีอานูมาก่อนในเรื่อง The Matrix
เรื่องนี้หนังจะดูง่ายและบันเทิงมากกว่า The Equalizer ด้วยพล็อตเรื่องเดินเป็นเส้นตรงไม่ได้มีจุดหักแต่อย่างใด ขายซีนแอ็คชั่นอย่างเดียว เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่ คีอานู แสดงนะ มีหวังไม่ได้ไปภาคต่อ และภาคแรกคงรายได้ไม่ดีด้วย นี่ได้พลังความดังเก่าของเฮียแกมาช่วยดึงหนังเรื่องนี้ไว้จริงๆ
พล็อตเรื่องทั้งสองภาคไม่มีอะไรซับซ้อนมาก เกี่ยวกับอดีตนักฆ่ามือโปรที่หันหลังออกจากวงการนักฆ่า ที่วันหนึ่งมีกลุ่มคนบางคนมาพรากสิ่งที่เรารักไปมากที่สุด สิ่งนั้นมันมีความหมายต่อเขามาก ที่ก่อนเมียของเขาจะตาย จากไป ได้ทิ้งไว้ ทำให้จอห์นต้องปลุกสัญชาตญาณนักฆ่าขึ้นมาออกตามล่าคนก่อเรื่อง
ภาคสอง จอห์นโดนบังคับจากเจ้านายเก่าให้ไปฆ่าพี่สาวของเจ้านายเก่าของเขา ซึ่งเคยเป็นแฟนกับจอห์นมาก่อน จุดประสงค์เพื่อการขึ้นมาคุมบังลังก์แกงค์ และมีอำนาจต่อรอง แต่แผนอันผิดไป ทำให้จอห์นต้องหนีการไล่ล่าของเหล่านักฆ่าไปทั่วเมือง
ตัวละคร จอห์น วิค ผมมองว่าแกดูไม่ต่างอะไรจากตัวละครในหนังยุค 80 แบบ จอห์น เมทริกซ์ ในเรื่อง Commando หรือ จอห์น แรมโบ้ ในหนังชุด Rambo คือ มีความมุ่งมั่นสูง เชื่อใจในฝีมือตัวเองมากไป เน้นลุยแบบไม่คิดวางแผนอะไรก่อน ทำให้พลาดมาหลายครั้ง คือ เน้นยิงๆๆๆ เอาโหดท่าเดียว ไหวพริบการแก้ไขสถานการณ์ก็ยังพอให้เห็นบ้างทั้งสองภาค แต่ไม่มาก แกทำอะไรตรงๆ ไม่รอบคอบ ดูโง่ไปหน่อย เหมือนตูแน่มาก มีปืนพร้อมรบ ก็ออกลุยเลย ไม่แพลนคิดก่อน
ในภาคแรกถ้าไม่มีเพื่อนแกที่เป็นสไนเปอร์ช่วยนะ จะตายมาสองฉากแล้ว หรือฉากบุกไนท์คลับ แกน่าจะปลอมตัวหน่อย ไม่ใช่ใส่สูทหล่อ เปิดหน้าเปิดตามาแบบรู้เลยว่า จอห์น วิค มา ทำให้ต้องมีเหตุบู๊ระห่ำตลอด จะทำภารกิจ Stealth แบบคนอื่นๆ เฮียวิคแกคงทำไม่ได้ ยังไงซะก็ต้องทำแผนแตก เข้ามาเนียนๆฆ่าได้สองสามคน นอกนั้นต้องเจอลูกปืนแกฝังหัวทุกคน
เรื่อง John Wick ทีมงานผู้สร้างได้ไอเดียและแรงบันดาลใจจากหนังตระกูล Die Hard คือ เน้นแอ็คชั่นดิบๆ ห่ามๆ เลือดสาด อะไรประมาณนี้ ซึ่งมองทั้งสองเรื่อง ในซีนแอ็คชั่นก็ดูดิบพอๆกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวละคร สำหรับผม ผมมองว่า John McClane อาจจะไม่ได้บู๊เก่งฆ่าคนเยอะขนาดเฮียวิค แต่ยังมีไหวพริบ แก้สถานการณ์ให้เห็นมากกว่า ทั้งสี่ภาคของหนังตระกูล DH (ไม่นับภาคห้า) คือ ป๋าจอห์นแกก็บู๊ระห่ำเยอะแต่ยังคิดแผนสำรองแผนฉุกเฉินทำให้พวกตัวร้ายปวดหัวกันตลอด แต่เฮียวิคไม่มีอย่างนั้น ตูลุยแมร่งงงเลย ตายเป็นตายรู้กัน ปืนกระสุนหมด ตูก็ใช้ดินสอฆ่าคนได้ อะไรประมาณนี้ เป็นนักฆ่าบ้าเลือด หยุดฆ่าไม่ได้
คือเรื่อง จอห์น วิค ผมชอบตรงที่หนังมันสร้างโลกและกฏของนักฆ่าเป็นของตัวเองได้มีเสน่ห์ ดูลึกลับ และน่าสนใจมาก ส่วนเฮียวิคก็ดูเอามัน แอ็คชั่นสไตล์ gun fu กับ judo ของแก ไม่ต้องเน้นโชว์มันสมองมาก ดูเพลินๆ เอาความดิบระห่ำ
สรุปผมชอบทั้งคู่นะ แต่ผมว่า Robert McCall เจ๋งกว่า John Wick เยอะครับ เป็นอดีตซีไอเอ มีไหวพริบเยอะ ฉลาด มีการวางแผน ไม่ต้องฆ่าคนเยอะเท่าจอห์นแต่เอาคืนได้สะใจกว่า ที่สำคัญปืนไม่จำเป็นต้องใช้ แกใช้ไหวพริบเป็นอาวุธหลัก
หยิบมาดูใหม่ The Equalizer กับ John Wick หนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ ที่สองตัวละครฝีมือต่างกันคนละขั้ว
มาผลึกกำลังได้นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Denzel Washington ที่เคยร่วมงานกันในหนังแนวดราม่าอาชญากรรมที่บทส่งใหแกเข้าชิงและคว้ารางวัลออสการ์ได้สำเร็จ เรื่อง Training Day นั่นเอง
The Equalizer หนังออกแนวดราม่า แอ็คชั่นไม่มากนัก และเน้นความทริลเลอร์สยองนิดๆ ถ้าใครเคยดูหนังเก่าของป๋าเดนเซล พวก Training Day, Man On Fire, Deja Vu, Safe House อะไรพวกนี้ ก็แนวๆ The Equalizer ทั้งนั้น คือ เน้นดราม่า บทสนทนาระหว่างตัวละครดูมีเหตุผล ไม่ทำให้คนดูรู้สึกติดขัดแต่อย่างไร หนังค่อยๆปูเนื้อเรื่อง ไม่ได้รีบยัดแต่ฉากแอ็คชั่น ส่วนซีนแอ็คชั่นก็มาแบบสมจริงและมีไม่มากไปหรือน้อยไป และที่สำคัญมันดูกระฉับชับไว ไม่ได้ต่อสู้ยืดเยื้อ
ใครชอบหนังแอ็คชั่นแนวๆ คนแก่สายโหด เจ๋งๆ ฉลาดๆลุยๆบู๊ๆ ได้ลืมอายุแบบ Liam Neeson เรื่อง Taken เรื่องนี้ตอบโจทย์เลยครับ หนังส่วนใหญ่ของป๋าเดนเซล ก็มาแนวๆนี้แหละ และเรื่อง The Equalizer เป็นเรื่องที่แกแสดงได้เจ๋งมาก ทั้งซีนดราม่า และซีนแอ็คชั่น
The Equalizer หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าดัดแปลงบทมาจากซีรีย์ในชื่อเดียวกันในยุค 80 ซึ่งตัวละคร พล็อตเรื่อง หนังที่ทำมาก็ดัดแปลงเอาองค์ประกอบมาจากซีรีย์เยอะอยู่พอสมควร แต่ตัวละครเอก Robert McCall ในฉบับหนัง จะดูมีความลึกลับและดูน่ากลัวกว่าฉบับซีรีย์
โดยส่วนตัวผมติดตามดูหนังแทบทุกเรื่องทุกแนวของป๋าเดนเซลมาแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกถนัดแสดงหนังแนวที่เน้นดราม่าหนักๆปนแอ็คชั่นบ้างและแฝงความเป็นทริลเลอร์ ไม่ใช่เป็นหนังแอ็คชั่นดูง่ายดูเอามันตามท้องตลาดทั่วไป คือ ในบทหนังจะแฝงนัยยะต่างๆให้คนดูคิดตาม ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ คำพูดของตัวละครมีข้อคิดสอน เตือนสติ
The Equalizer ทั้งสองภาค โดยรวมผมชอบพอๆกันทั้งสองภาคเลยนะครับ ผมชอบหนังแนวๆคนแก่เจ๋งๆแบบเรื่อง Taken อยู่แล้ว และพอยิ่งได้เดนเซล ดาราขวัญใจมาแสดงอีก หนังยิ่งเพิ่มความน่าดูอีกเยอะ แต่ภาคแรกจะชอบมากกว่าภาคสองนิดนึง ตรงที่เนื้อเรื่องมันยังไม่ปูทางไปหาตัวละครประกอบอื่นๆมากไป ภาคสอง เนื้อเรื่องหลักมันดูประเด็นอ่อนลง ไปเน้นตรงจุดอื่นประเด็นอื่นนอกเรื่องเยอะไปหน่อย ดราม่ามากไปนิด ภาคแรกจะกลมกล่อมกว่า
Robert McCall ในเรื่องแกเคยเป็นสายลับซีไอเอมาก่อน อดีตหน่วยรบพิเศษ ที่เกษียนอายุมาใช้ชีวิตเหงาๆแบบคนธรรมดาในเมืองบอสตัน ย่านชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานในร้านโฮมมาร์ค ภาคสองแกมาขับอูเบอร์ ดูเผินๆแกดูเป็นคนแก่ปลดเกษียนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชอบกรุตัวอ่านหนังสือ แต่อดีตลึกๆแกผ่านเหตุการณ์ฝ่าความเป็นความตายมามาก เมื่อใครถูกรังแก ไม่ได้รับความยุติธรรม ถ้าแกเกิดรู้เข้า ไอคนก่อเรื่องมีซวย เจ็บถึงตาย อารมณ์แกเหมือน แบทแมน ออกไล่ล่าอาชญากรรม แต่นี่คืออีกขั้นจากแบทแมน ดุดันและเอาจริงกับคนร้ายมากกว่า ฆ่าคือฆ่า เพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์
เสน่ห์ของแม็คคอล คือ การจับเวลาและใช้สายตากวาดมองศูตรบริเณนั้น วิเคราะห์สถานการณ์ วิเคราะห์เหยื่อ และหาสิ่งของรอบตัวใช้เป็นอาวุธแบบ เจสัน บอร์น ที่โหดกว่าบอร์น คือ บอร์นใช้สิ่งของรอบตัวแค่กันและโจมตีศูตรแค่ให้เจ็บและหยุดการต่อสู้ แต่แม็คคอลใช้ฆ่าเลย ไม่ปราณี ซีนในภาคแรกที่ป๋าแกฆ่ามาเฟียรัสเซียห้าคนในบาร์ ด้วยเวลาเพียง 16 วินาที ผมดูจบ ทำผมอึ้งไปเลย คือ คนอะไรจะเจ๋งได้ขนาดนี้ มือเปล่า หาของรอบตัวสู้ กับ ชายรัสเซียที่หนุ่มกว่าแกหมด มีอาวุธครบมือแต่สู้อะไรกับคนแก่ไม่ได้เลย และฉากนี้ดูสู้กันสมจริงไม่ได้ดูเว่อร์
ฉากที่คนพูดถึงเยอะที่สุดในภาคแรก คงหนีไม่พ้น ฉากสุดท้ายในโฮมโปร ที่ป๋าแกบุกเดี่ยวเข้าไปช่วยเพื่อนร่วมงานของแกที่ถูกพวกตัวร้ายจับไว้เป็นตัวประกัน ซึ่งซีนนี้ มันดูทั้งเท่ โชว์ความเทพของพระเอก และสยองภายในเวลาเดียวกัน คือ ป๋าแกล่อศูตรที่เป็นพวกหน่วยรบพิเศษมาเป็นสิบคนพร้อมอาวุธครบมือ ล่อไปเก็บเงียบๆ ทีละคน โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ภายในร้านเป็นอาวุธ ใช้ทำกับดักวางล่อเหยื่อมาให้ถูกฆ่า ซึ่งซีนนี้โชว์ความเทพของแกไปอีก และทั้งเรื่องในภาคแรกพระเอกแทบไม่ได้ใช้ปืนเลย เน้นโชว์ไหวพริบและการสู้แบบที่เน้นหาของใกล้ตัวซะมากกว่า
ภาคสองเน้นซีนดราม่าเยอะกว่าภาคแรก ซีนแอ็คชั่นต่อสู้มือเปล่าแบบภาคแรกยังมีอยู่ แต่มีเพิ่มขึ้น และดูดุดันมากขึ้นกว่าภาคแรก ภาคนี้ป๋าแกใช้ปืนมากขึ้น ภาคนี้น่าเสียดายที่ไม่มีฉากเจ๋งๆแบบในโฮมโปรภาคแรก แต่มาตัดด้วยการโชว์ความสามารถของแกในการสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรม การวิเคราะห์จากข้อมูลที่เกิดเหตุ อารมณ์จัดหนักจัดเต็มแบบเรื่อง Jack Reacher เจ๋งพอๆกันเลยสองคนนี้ในเรื่องสืบสวนสอบสวน แต่ให้เครดิตป๋าแม็คคอลมากกว่า ตรงที่ประสบการณ์ผ่านอะไรมาเยอะกว่ารีชเชอร์
เนื่องจากในบทหนังแกเป็นอดีตสายลับซีไอเอ ก็มีหลายซีนโชว์มันสมอง ไหวพริบของแก อยู่มาก ไม่ใช่เก่งแต่เรื่องสู้อย่างเดียว ใครชอบเรื่องที่ตัวละครมีไหวพริบดี ฉลาดๆ และสู้เก่งด้วย แบบ Taken, Jason Bourne, Jack Reacher เรื่อง The Equalizer ก็โคตรตอบโจทย์เลยครับ
John Wick แรงกว่านรก หนังแอ็คชั่นสุดฮิตที่กำลังปิดไตรภาคเร็วๆนี้ นำแสดงในบทนักฆ่า จอห์น วิค โดย Keanu Reeves พระเอกจากเรื่อง Speed, The Matrix ไตรภาค และ Constantine กำกับโดย แซด สกาเฮนกี้ และ เดวิด ลินซ์ อดีตสตั้นแมนที่เคยทำงานร่วมกับคีอานูมาก่อนในเรื่อง The Matrix
เรื่องนี้หนังจะดูง่ายและบันเทิงมากกว่า The Equalizer ด้วยพล็อตเรื่องเดินเป็นเส้นตรงไม่ได้มีจุดหักแต่อย่างใด ขายซีนแอ็คชั่นอย่างเดียว เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่ คีอานู แสดงนะ มีหวังไม่ได้ไปภาคต่อ และภาคแรกคงรายได้ไม่ดีด้วย นี่ได้พลังความดังเก่าของเฮียแกมาช่วยดึงหนังเรื่องนี้ไว้จริงๆ
พล็อตเรื่องทั้งสองภาคไม่มีอะไรซับซ้อนมาก เกี่ยวกับอดีตนักฆ่ามือโปรที่หันหลังออกจากวงการนักฆ่า ที่วันหนึ่งมีกลุ่มคนบางคนมาพรากสิ่งที่เรารักไปมากที่สุด สิ่งนั้นมันมีความหมายต่อเขามาก ที่ก่อนเมียของเขาจะตาย จากไป ได้ทิ้งไว้ ทำให้จอห์นต้องปลุกสัญชาตญาณนักฆ่าขึ้นมาออกตามล่าคนก่อเรื่อง
ภาคสอง จอห์นโดนบังคับจากเจ้านายเก่าให้ไปฆ่าพี่สาวของเจ้านายเก่าของเขา ซึ่งเคยเป็นแฟนกับจอห์นมาก่อน จุดประสงค์เพื่อการขึ้นมาคุมบังลังก์แกงค์ และมีอำนาจต่อรอง แต่แผนอันผิดไป ทำให้จอห์นต้องหนีการไล่ล่าของเหล่านักฆ่าไปทั่วเมือง
ตัวละคร จอห์น วิค ผมมองว่าแกดูไม่ต่างอะไรจากตัวละครในหนังยุค 80 แบบ จอห์น เมทริกซ์ ในเรื่อง Commando หรือ จอห์น แรมโบ้ ในหนังชุด Rambo คือ มีความมุ่งมั่นสูง เชื่อใจในฝีมือตัวเองมากไป เน้นลุยแบบไม่คิดวางแผนอะไรก่อน ทำให้พลาดมาหลายครั้ง คือ เน้นยิงๆๆๆ เอาโหดท่าเดียว ไหวพริบการแก้ไขสถานการณ์ก็ยังพอให้เห็นบ้างทั้งสองภาค แต่ไม่มาก แกทำอะไรตรงๆ ไม่รอบคอบ ดูโง่ไปหน่อย เหมือนตูแน่มาก มีปืนพร้อมรบ ก็ออกลุยเลย ไม่แพลนคิดก่อน
ในภาคแรกถ้าไม่มีเพื่อนแกที่เป็นสไนเปอร์ช่วยนะ จะตายมาสองฉากแล้ว หรือฉากบุกไนท์คลับ แกน่าจะปลอมตัวหน่อย ไม่ใช่ใส่สูทหล่อ เปิดหน้าเปิดตามาแบบรู้เลยว่า จอห์น วิค มา ทำให้ต้องมีเหตุบู๊ระห่ำตลอด จะทำภารกิจ Stealth แบบคนอื่นๆ เฮียวิคแกคงทำไม่ได้ ยังไงซะก็ต้องทำแผนแตก เข้ามาเนียนๆฆ่าได้สองสามคน นอกนั้นต้องเจอลูกปืนแกฝังหัวทุกคน
เรื่อง John Wick ทีมงานผู้สร้างได้ไอเดียและแรงบันดาลใจจากหนังตระกูล Die Hard คือ เน้นแอ็คชั่นดิบๆ ห่ามๆ เลือดสาด อะไรประมาณนี้ ซึ่งมองทั้งสองเรื่อง ในซีนแอ็คชั่นก็ดูดิบพอๆกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวละคร สำหรับผม ผมมองว่า John McClane อาจจะไม่ได้บู๊เก่งฆ่าคนเยอะขนาดเฮียวิค แต่ยังมีไหวพริบ แก้สถานการณ์ให้เห็นมากกว่า ทั้งสี่ภาคของหนังตระกูล DH (ไม่นับภาคห้า) คือ ป๋าจอห์นแกก็บู๊ระห่ำเยอะแต่ยังคิดแผนสำรองแผนฉุกเฉินทำให้พวกตัวร้ายปวดหัวกันตลอด แต่เฮียวิคไม่มีอย่างนั้น ตูลุยแมร่งงงเลย ตายเป็นตายรู้กัน ปืนกระสุนหมด ตูก็ใช้ดินสอฆ่าคนได้ อะไรประมาณนี้ เป็นนักฆ่าบ้าเลือด หยุดฆ่าไม่ได้
คือเรื่อง จอห์น วิค ผมชอบตรงที่หนังมันสร้างโลกและกฏของนักฆ่าเป็นของตัวเองได้มีเสน่ห์ ดูลึกลับ และน่าสนใจมาก ส่วนเฮียวิคก็ดูเอามัน แอ็คชั่นสไตล์ gun fu กับ judo ของแก ไม่ต้องเน้นโชว์มันสมองมาก ดูเพลินๆ เอาความดิบระห่ำ
สรุปผมชอบทั้งคู่นะ แต่ผมว่า Robert McCall เจ๋งกว่า John Wick เยอะครับ เป็นอดีตซีไอเอ มีไหวพริบเยอะ ฉลาด มีการวางแผน ไม่ต้องฆ่าคนเยอะเท่าจอห์นแต่เอาคืนได้สะใจกว่า ที่สำคัญปืนไม่จำเป็นต้องใช้ แกใช้ไหวพริบเป็นอาวุธหลัก