ทันควัน !! ขนส่งฯเพิกถอนใบขับขี่ "มนุษย์ป้าหัวร้อน"
ล่าสุด นายชาญชัย กีฬาแปง ผู้อำนวยสำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่
ได้ทำเรื่องขอเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพของนางภัทรา
ไปยังผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก โดยให้เหตุผลว่า นางสาวภัทรา
มีโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ เช่น ขับรถหลงทางและลืมโน่นลืมนี่
รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า ก้าวร้าว และหงุดหงิดง่ายกว่าคนปกติ
ทำให้สุขภาพร่างกายไม่เหมาะสมที่จะขับรถตามปกติวิสัยได้
เนื่องจากมีอาการป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ทำให้นางสาวภัทรา บุญเฉลียว
ขาดคุณสมบัติในการที่จะได้รับใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 46(5) แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522
เนื่องจากมีสุขภาพร่างกายที่ไม่พร้อมในการที่จะขับรถได้อย่างปลอดภัย
สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้มีหนังสือแจ้งสำนักงาน
ขนส่งจังหวัดลำปางในฐานะนายทะเบียนผู้ออกใบอนุญาตขับรถได้ดำเนินการพิจารณา
เพิกถอนใบอนุญาตขับรถของนางสาวภัทรา ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ เลขที่ 00005/11 ต่อไป
ขณะเดียวกัน ล่าสุดสำนักงานขนส่งทางบกจังหวัดลำปางซึ่งเป็นผู้ออกใบขับขี่ให้นางสาวภัทรา
ก็ได้มีหนังสือเพิกถอนใบอนุญาติขับขี่ของนางสาวภัทราแล้ว
โดยนายโสภณ พิทักษ์สาลี นายทะเบียนจังหวัดลำปางได้อาศัย
อำนาจตามความในมาตรา 53
แห่งพระราชบัญยัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และคำสั่งนายทะเบียนทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2548
ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 นายทะเบียนจังหวัดลำปางจึงสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
ฉบับที่ 00005/11 ของนางภัทรา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.komchadluek.net/news/local/340196
แม้ว่าโรคและปัญหาสุขภาพบางประการไม่ได้เป็นข้อห้ามของการทำใบขับขี่ แต่ต้องยอมรับว่า
บางโรคหากเกิดอาการกำเริบขึ้น ก็มีผลกระทบต่อสมรรถภาพการขับขี่
และอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค
ก็ได้เผยข้อมูลให้ทราบกันว่า 9 โรคและปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการขับขี่ได้ นั่นคือ
1.
โรคที่เกี่ยวกับสายตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม
โดยผู้ที่จอประสาทตาเสื่อมจะมองเห็นเส้นทางในช่วงเวลากลางคืนไม่ชัดเจน ส่วนผู้ที่เป็นต้อหิน ต้อกระจก
จะมีมุมในการมองเห็นแคบและมองเห็นแสงไฟพร่ามัวจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย
ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในช่วงเวลากลางคืน หรือเส้นทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี
2.
โรคทางสมองที่ยังเป็นไม่มาก แต่ก็ทำให้มีอาการหลงลืม จดจำเส้นทางไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจช้า
สมาธิไม่ดีนัก และอาจเกิดปัญหาขับรถหลงทางในบางครั้ง เช่น โรคสมองเสื่อมที่มักพบในผู้สูงอายุ
3.
โรคหลอดเลือดสมองอัมพฤกษ์ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
จะทำให้แขนไม่มีแรงในการบังคับพวงมาลัยหรือเปลี่ยนเกียร์ และอาจเกิดปัญหาขากระตุก
ไม่มีแรงขณะเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก ส่งผลต่อการขับขี่ และทำให้ความไวต่อการตอบสนองเหตุการณ์ต่าง ๆ ลดลง
เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์และรักษาอาการของโรคให้หายเป็นปกติก่อนกลับมาขับรถ
4.
โรคพาร์กินสัน จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการมือสั่น เท้าสั่น เกร็ง ทำอะไรได้ช้า ขับรถได้ไม่ดี
กรณีอาการรุนแรงจะทำให้เกิดภาพหลอน หากขับรถจะก่อให้เกิดอันตรายได้
5.
โรคลมชัก หากอาการกำเริบขึ้นจะมีอาการชัก เกร็งกระตุก ไม่รู้สึกตัว หมดสติ
เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ทางรอบข้าง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตนเอง
หากจำเป็นต้องขับรถ ต้องไม่มีอาการชักอย่างน้อย 6 เดือน ควรมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย
และเมื่อมีอาการเตือนของโรคลมชัก ให้จอดรถริมข้างทางในบริเวณที่ปลอดภัย
ซึ่งผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุจากการชักขณะขับรถ ควรเว้นระยะในการขับรถและต้องไม่มีอาการชักอย่างน้อย 1-2 ปี
จึงสามารถกลับมาขับรถได้อีกครั้ง
6.
โรคข้อเสื่อมข้ออักเสบ หากมีอาการปวดบริเวณต่าง ๆ เช่น ข้อเข่า ก็ทำให้เหยียบเบรก คลัตช์
หรือคันเร่งได้ไม่เต็มที่ ขยับร่างกายลำบาก หรือถ้ากระดูกคอเสื่อม ก็ทำให้หันคอ หันหน้าดูการจราจรได้ลำบาก
รวมถึงไม่สามารถนั่งขับรถเป็นเวลานานได้ เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการขับรถระยะทางไกลเป็นเวลานาน
ไม่ขับรถผ่านเส้นทางที่มีสภาพการจราจรติดขัด
7.
โรคหัวใจ หากมีอาการเครียดมาก ๆ เกิดขึ้นจากสภาพการจราจรที่ติดขัด
อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกได้ เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการขับรถตามลำพัง
และนำยาติดตัวไว้เสมอ รวมถึงควรจอดรถพักเป็นระยะ เพื่อป้องกันภาวะเครียดสะสม ทำให้โรคหัวใจกำเริบ
8.
โรคเบาหวาน หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะมีอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ สายตาพร่ามัว
เหงื่อออกมาก ใจสั่น และหมดสติ หากอาการไม่รุนแรงยังสามารถขับรถได้ แต่หากอาการรุนแรง
ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องขับรถควรเตรียมอาหาร ลูกอม น้ำหวานไว้รับประทาน
เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้หมดสติ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
9. นอกจากนี้ หากผู้ป่วยโรคใด ๆ ก็ตามที่
ทานยาบางชนิดที่มีฤทธิ์ง่วงซึมก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเช่นกัน
เพราะเมื่อไปขับรถจะเกิดอาการมึนงง หลับใน ตัดสินใจช้า ตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ช้า
ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้นอนพักผ่อนหลังทานยาประเภทนี้
แล้วรู้ไหมว่าปัจจุบันนี้ กฎหมายกำหนดโรคต้องห้ามในการขับขี่รถยนต์เพียงแค่
ไม่เป็นโรคติดต่อเป็นที่รังเกียจ
ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต และไม่ติดสุรา ยาเสพติด ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอ ทางกรมการขนส่งทางบกและแพทยสภา
จึงกำลังพิจารณาเสนอโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถโดยตรง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนน คือ
1. โรคระบบประสาท เช่น โรคลมชัก โรคกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง ทั้งมือ เท้า ความพิการ
2. โรคระบบการมองเห็น เช่น โรคตาบอดสี มองเห็นด้วยตาเพียงข้างเดียว
3. โรคระบบการได้ยิน
4. โรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น ประวัติการผ่าตัด เป็นต้น
ใครที่รู้ตัวว่าตัวเอง หรือคนรอบข้างมีลักษณะอาการหรือโรคต่อไปนี้อยู่ก็ขอให้หลีกเลี่ยงการขับรถ
โดยเลือกใช้รถโดยสารสาธารณะ หรือไหว้วานให้คนอื่นขับรถให้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
นอกจากปกป้องชีวิตตัวเองแล้ว ยังป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นกับบุคคลอื่นที่ใช้ถนนร่วมกันด้วย
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://health.kapook.com/view91479.html
จากข่าวคุณป้าสมองเสื่อม ชน รปภ.สาหัส !? ควรเรียกกลุ่มบัตรตลอดชีพ มาสอบใบขับขี่ใหม่ ดีหรือไม่ ?!?!
ล่าสุด นายชาญชัย กีฬาแปง ผู้อำนวยสำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่
ได้ทำเรื่องขอเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพของนางภัทรา
ไปยังผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก โดยให้เหตุผลว่า นางสาวภัทรา
มีโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ เช่น ขับรถหลงทางและลืมโน่นลืมนี่
รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า ก้าวร้าว และหงุดหงิดง่ายกว่าคนปกติ
ทำให้สุขภาพร่างกายไม่เหมาะสมที่จะขับรถตามปกติวิสัยได้
เนื่องจากมีอาการป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ทำให้นางสาวภัทรา บุญเฉลียว
ขาดคุณสมบัติในการที่จะได้รับใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 46(5) แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522
เนื่องจากมีสุขภาพร่างกายที่ไม่พร้อมในการที่จะขับรถได้อย่างปลอดภัย
สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้มีหนังสือแจ้งสำนักงาน
ขนส่งจังหวัดลำปางในฐานะนายทะเบียนผู้ออกใบอนุญาตขับรถได้ดำเนินการพิจารณา
เพิกถอนใบอนุญาตขับรถของนางสาวภัทรา ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ เลขที่ 00005/11 ต่อไป
ขณะเดียวกัน ล่าสุดสำนักงานขนส่งทางบกจังหวัดลำปางซึ่งเป็นผู้ออกใบขับขี่ให้นางสาวภัทรา
ก็ได้มีหนังสือเพิกถอนใบอนุญาติขับขี่ของนางสาวภัทราแล้ว
โดยนายโสภณ พิทักษ์สาลี นายทะเบียนจังหวัดลำปางได้อาศัย อำนาจตามความในมาตรา 53
แห่งพระราชบัญยัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และคำสั่งนายทะเบียนทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2548
ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 นายทะเบียนจังหวัดลำปางจึงสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
ฉบับที่ 00005/11 ของนางภัทรา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แม้ว่าโรคและปัญหาสุขภาพบางประการไม่ได้เป็นข้อห้ามของการทำใบขับขี่ แต่ต้องยอมรับว่า
บางโรคหากเกิดอาการกำเริบขึ้น ก็มีผลกระทบต่อสมรรถภาพการขับขี่
และอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค
ก็ได้เผยข้อมูลให้ทราบกันว่า 9 โรคและปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการขับขี่ได้ นั่นคือ
1. โรคที่เกี่ยวกับสายตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม
โดยผู้ที่จอประสาทตาเสื่อมจะมองเห็นเส้นทางในช่วงเวลากลางคืนไม่ชัดเจน ส่วนผู้ที่เป็นต้อหิน ต้อกระจก
จะมีมุมในการมองเห็นแคบและมองเห็นแสงไฟพร่ามัวจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย
ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในช่วงเวลากลางคืน หรือเส้นทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี
2. โรคทางสมองที่ยังเป็นไม่มาก แต่ก็ทำให้มีอาการหลงลืม จดจำเส้นทางไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจช้า
สมาธิไม่ดีนัก และอาจเกิดปัญหาขับรถหลงทางในบางครั้ง เช่น โรคสมองเสื่อมที่มักพบในผู้สูงอายุ
3. โรคหลอดเลือดสมองอัมพฤกษ์ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
จะทำให้แขนไม่มีแรงในการบังคับพวงมาลัยหรือเปลี่ยนเกียร์ และอาจเกิดปัญหาขากระตุก
ไม่มีแรงขณะเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก ส่งผลต่อการขับขี่ และทำให้ความไวต่อการตอบสนองเหตุการณ์ต่าง ๆ ลดลง
เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์และรักษาอาการของโรคให้หายเป็นปกติก่อนกลับมาขับรถ
4. โรคพาร์กินสัน จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการมือสั่น เท้าสั่น เกร็ง ทำอะไรได้ช้า ขับรถได้ไม่ดี
กรณีอาการรุนแรงจะทำให้เกิดภาพหลอน หากขับรถจะก่อให้เกิดอันตรายได้
5. โรคลมชัก หากอาการกำเริบขึ้นจะมีอาการชัก เกร็งกระตุก ไม่รู้สึกตัว หมดสติ
เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ทางรอบข้าง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตนเอง
หากจำเป็นต้องขับรถ ต้องไม่มีอาการชักอย่างน้อย 6 เดือน ควรมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย
และเมื่อมีอาการเตือนของโรคลมชัก ให้จอดรถริมข้างทางในบริเวณที่ปลอดภัย
ซึ่งผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุจากการชักขณะขับรถ ควรเว้นระยะในการขับรถและต้องไม่มีอาการชักอย่างน้อย 1-2 ปี
จึงสามารถกลับมาขับรถได้อีกครั้ง
6. โรคข้อเสื่อมข้ออักเสบ หากมีอาการปวดบริเวณต่าง ๆ เช่น ข้อเข่า ก็ทำให้เหยียบเบรก คลัตช์
หรือคันเร่งได้ไม่เต็มที่ ขยับร่างกายลำบาก หรือถ้ากระดูกคอเสื่อม ก็ทำให้หันคอ หันหน้าดูการจราจรได้ลำบาก
รวมถึงไม่สามารถนั่งขับรถเป็นเวลานานได้ เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการขับรถระยะทางไกลเป็นเวลานาน
ไม่ขับรถผ่านเส้นทางที่มีสภาพการจราจรติดขัด
7. โรคหัวใจ หากมีอาการเครียดมาก ๆ เกิดขึ้นจากสภาพการจราจรที่ติดขัด
อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกได้ เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการขับรถตามลำพัง
และนำยาติดตัวไว้เสมอ รวมถึงควรจอดรถพักเป็นระยะ เพื่อป้องกันภาวะเครียดสะสม ทำให้โรคหัวใจกำเริบ
8. โรคเบาหวาน หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะมีอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ สายตาพร่ามัว
เหงื่อออกมาก ใจสั่น และหมดสติ หากอาการไม่รุนแรงยังสามารถขับรถได้ แต่หากอาการรุนแรง
ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องขับรถควรเตรียมอาหาร ลูกอม น้ำหวานไว้รับประทาน
เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้หมดสติ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
9. นอกจากนี้ หากผู้ป่วยโรคใด ๆ ก็ตามที่ทานยาบางชนิดที่มีฤทธิ์ง่วงซึมก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเช่นกัน
เพราะเมื่อไปขับรถจะเกิดอาการมึนงง หลับใน ตัดสินใจช้า ตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ช้า
ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้นอนพักผ่อนหลังทานยาประเภทนี้
แล้วรู้ไหมว่าปัจจุบันนี้ กฎหมายกำหนดโรคต้องห้ามในการขับขี่รถยนต์เพียงแค่ไม่เป็นโรคติดต่อเป็นที่รังเกียจ
ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต และไม่ติดสุรา ยาเสพติด ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอ ทางกรมการขนส่งทางบกและแพทยสภา
จึงกำลังพิจารณาเสนอโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถโดยตรง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนน คือ
1. โรคระบบประสาท เช่น โรคลมชัก โรคกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง ทั้งมือ เท้า ความพิการ
2. โรคระบบการมองเห็น เช่น โรคตาบอดสี มองเห็นด้วยตาเพียงข้างเดียว
3. โรคระบบการได้ยิน
4. โรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น ประวัติการผ่าตัด เป็นต้น
ใครที่รู้ตัวว่าตัวเอง หรือคนรอบข้างมีลักษณะอาการหรือโรคต่อไปนี้อยู่ก็ขอให้หลีกเลี่ยงการขับรถ
โดยเลือกใช้รถโดยสารสาธารณะ หรือไหว้วานให้คนอื่นขับรถให้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
นอกจากปกป้องชีวิตตัวเองแล้ว ยังป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นกับบุคคลอื่นที่ใช้ถนนร่วมกันด้วย
ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้