วันที่ 1 -
1.1 เริ่มต้นที่ตัวเมือง Malang รร Griyo Sultan Agung หน้าสถานีรถไฟ ตอนเช้า ๆ(ย้ำ) ให้เจ้าของ รร เรียก Grab Taxi ไปส่งที่ ท่าคิวรถ Tumpang-ตุมปัง ระยะทางประมาณ 13 กม.
1.2 ต่อแชร์รถ Jeep ไปหมู่บ้าน Ranu-Pani -- รานูปานี ค่าแชร์รถ Jeep จ่ายไป 100K Rp./คน หรือแล้วแต่ต่อรอง ขึ้นดอยอีก 30 กว่ากม
1.3 ถึงหมู่บ้าน Ranu Pani ตอนเที่ยง-บ่าย คืนนี้ พักที่ Pak Tasrip Homestay ชอบมาก ๆ เจ้าของน้ำใจดี สื่อสารอังกฤษได้ ราคา 120K ไม่หรู อยู่สบาย มีน้ำอุ่น พร้อมอาหารเช้า-ข้าวผัดไข่เจียวอร่อย ที่นี่เป็นร้านขายของชำ สามารถซื้อน้ำ,เสบียงอาหารตุนได้ มี Tent ถุงนอน ไม้เท้า ให้เช่า ราคาไม่แพง รองเท้า Trekkking มีจำหน่าย จะสั่งอาหารกินก้อสั่งที่นี่ได้เลย
1.4 เตรียมกระเป๋าเป้ ข้าวของ เครื่องใช้ สำหรับ Trekking 2 วัน 1 คืน
*** ไฟฉาย ต้องเอาแบบที่คาดหัว , ไม้เท้า ต้องใช้ 2 อัน(อันเดียวไม่พอ) , ที่ปิดปากกันฝุ่น , แว่นตากันฝุ่น รองเท้าบู้ท Trekking, ผ้าหุ้มข้อกันหินทรายฝุ่นเข้ารองเท้า
วันที่ 2 -
2.1 8 โมงเช้า เดินแบกเป้ 1/2 กม. ไปลงทะเบียนที่ Office พร้อมจ่ายค่าเข้า 2 วัน ราคา 420K (ประมาณ1พันบาท (2*210K/วัน)) ถ้าไม่อยากแบกเป้เอง ค่าลูกหาบ Porter 500K/คน/ทริป2วัน(1,100 บาท)
2.2 8:30-9:00 เริ่ม Trekking การเดินวันนี้ จะมี 2 ช่วง คือ....
2.2.1 ช่วงแรก จากหมู่บ้าน Ranu-pani ==> ทะเลสาบ Ranu Kumbolo ระยะทาง 10 กม. ใช้เวลาประมาณ 3.5 - 4 ชม
2.2.2 ช่วงที่ 2 จากทะเลสาบ Ranu Kumbolo ==> Kalimati Base camp ระยะทาง 5 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 - 3.5 ชม.
สภาพทาง ค่อนข้างดี ไม่ชันมาก เดิน Trekking สบาย ๆ
คิดง่าย ระดับความสูงASL ที่ ranu pani 2100 M , ที่ Kalimati 2700 M
ความสูงต่างกัน 600 เมตร กับระยะทาง 15 กม ถือว่าไม่ชัน
แต่แดดค่อนข้างแรง ควรมีผ้าคลุม, ใส่หมวก กันแดด
ตลอดทางมีแตงโม 2 ชิ้น เต้าหู้ทอด เทปเป้ทอด ขาย 2 ชิ้น 5000 Rp (12 บาท) กินแก้กระหาย แก้หิว นม มาม่า อื่น ๆ ก็มีแต่ราคาก็แพงหน่อย
***อย่าลืม จะกินอะไรก็พอควร เพราะระหว่างทางไม่มีห้องน้ำ มีที่เดียวที่ทะเลสาบ Ranu Kumbolo
2.3 บ่าย 4-5 โมงเย็น มาถึง Kalimati Base camp ระดับความสุง 2700 เมตร เหนื่อยมาก เพลียแล้ว อากาศเย็น ค่อนข้างหนาว
ขี้เกียจเดินไป แหล่งน้ำ อีก 1 ชม ไปกลับ เลยซื้อน้ำ 1 ขวดใหญ่-ราคา15K ที่ร้านขาย ทำการล้างหน้า เช็ดตัวแขนขา พอแล้ว
เหงื่อออกมาทั้งวัน ไม่มีการอาบน้ำใด ๆ ทั้งนั้น ห้องน้ำไม่มี
ที่ Kalimati base camp มีนม ขนม มาม่าต้ม น้ำร้อน ขาย รีบซื้อกินให้เรียบร้อย เร็ว ๆ
จากนั้นรีบกางเต็นท์ แล้วรีบซุกต้วเข้าถุงนอน นอนหลับตอน 5-6 โมงเย็นนั่นเลย
เพราะ 5 ทุ่ม กว่าคืนนี้ ต้องตื่นมาเพือเริ่ม Trekkking + Climbing สุดโหดในช่วงสุดท้าย
วันที่ 3 เวลา 00:00 น ตื่นขึ้นมา แยกของใส่ แบกเป้อันเล็ก ของส่วนใหญ่ทิ้งไว้ที่เต็นท์
เอาเฉพาะของที่จำเป็น อาหารแห้ง นม น้ำ ไม้เท้า 2 อัน(ย้ำ) ผ้าปิดปากกันฝุ่น
จากนี้ไป เราจะฝ่าความมืด มีการ trekking ประมาณ 1.5 - 2 ชม แล้วจะต่อด้วย Climbing อีก 4 -5 ชม.
เพื่อไปถึง Summit
3.1 ช่วงแรก จะเป็นการ trekking 1-2 ชม. ผ่านแนวป่า Step เกาะแนวต้นไม้ ขึ้นไปเรื่อย ๆ เหนื่อยพอทน
3.2 ช่วงที่ 2 อันนี้เหนื่อยโหดของจริงครับ ท่านผุู้ชม ใช้เวลา 4-5 ชม. ทางชัน 45 องศา โล่งงง... ไม่มีต้นไม้ให้เกาะเกี่ยวใด ๆ
พื้นเป็นกรวดละอียด ก้าวเดินไม่ติด 1 ก้าวที่เดิน ลื่นลง ครึ่งก้าว ต่างคนต่างตะกายปีน ฝุ่นคลุ้งไปหมด
ดังนั้น *** ไฟฉาย ต้องเอาแบบที่คาดหัว , ไม้เท้า ต้องใช้ 2 อัน(อันเดียวไม่พอ) , ที่ปิดปากกันฝุ่น , แว่นตากันฝุ่น
รองเท้าบู้ท Trekking, ผ้าหุ้มข้อกันหินทรายฝุ่นเข้ารองเท้า
ปีนไปเรื่อยชักหมดแรงหิว ใจหวิว จะเป็นลม ต้องเอาเสบียง ขนม นม น้ำ ออกมากินประทัง....
3.3 เวลา 07:00 น. ถึง Summit ครับท่าน เหนื่อยมาก พระอาทิตย์ ขึ้นไปเรียบร้อย แต่ก็ยังสวยมาก ๆ แสงสีทอง พาโนรามาวิว 360
เพราะเป็นยอดที่สูงที่สุด เขาพระสุเมรุพ่นควันออกมาเป็นระยะ ๆ 15-20 นาที สามารถมองเห็น โบรโม่ ที่ไปมาแล้วหลายครั้ง
ช่างงามประทับใจมาก บรรยากาศได้แรงบันดาลใจ ได้ถ่ายรูปกับป้าย Summit เก่า ๆ ด้วยความอิ่มเอมใจ
**** ความจริง น่าจะไปถึงเร็วกว่านี้ แต่ที่ช้าเพราะ....
- มีไม้เท้าอันเดียว จากที่ควรจะมี 2 อัน ไม่สามารถตะกาย Climbing เต็มที่ทำได้เพียง Trekking
- ไฟฉายเป็นแบบมือถือ น่าจะเป็นแบบที่คาดหัว เพื่อที่จะสามารถใช้ ไม้เท้าได้ 2 ข้าง
- รองเท้าวิ่ง ธรรมดา หัวแหลม เกาะพื้นไม่ดี น่าจะเป็นบูทแบบ trekking และก้อนหินเข้าเท้าเดินไม่เต็มที่ ต้องหยุดถอดรองเท้าเป็นระยะ ๆ
ลุยเดี่ยว ปีนดอย Semeru เขาพระสุเมรุ แห่ง เกาะชวา เดือน สิงหาคม
1.1 เริ่มต้นที่ตัวเมือง Malang รร Griyo Sultan Agung หน้าสถานีรถไฟ ตอนเช้า ๆ(ย้ำ) ให้เจ้าของ รร เรียก Grab Taxi ไปส่งที่ ท่าคิวรถ Tumpang-ตุมปัง ระยะทางประมาณ 13 กม.
1.2 ต่อแชร์รถ Jeep ไปหมู่บ้าน Ranu-Pani -- รานูปานี ค่าแชร์รถ Jeep จ่ายไป 100K Rp./คน หรือแล้วแต่ต่อรอง ขึ้นดอยอีก 30 กว่ากม
1.3 ถึงหมู่บ้าน Ranu Pani ตอนเที่ยง-บ่าย คืนนี้ พักที่ Pak Tasrip Homestay ชอบมาก ๆ เจ้าของน้ำใจดี สื่อสารอังกฤษได้ ราคา 120K ไม่หรู อยู่สบาย มีน้ำอุ่น พร้อมอาหารเช้า-ข้าวผัดไข่เจียวอร่อย ที่นี่เป็นร้านขายของชำ สามารถซื้อน้ำ,เสบียงอาหารตุนได้ มี Tent ถุงนอน ไม้เท้า ให้เช่า ราคาไม่แพง รองเท้า Trekkking มีจำหน่าย จะสั่งอาหารกินก้อสั่งที่นี่ได้เลย
1.4 เตรียมกระเป๋าเป้ ข้าวของ เครื่องใช้ สำหรับ Trekking 2 วัน 1 คืน
*** ไฟฉาย ต้องเอาแบบที่คาดหัว , ไม้เท้า ต้องใช้ 2 อัน(อันเดียวไม่พอ) , ที่ปิดปากกันฝุ่น , แว่นตากันฝุ่น รองเท้าบู้ท Trekking, ผ้าหุ้มข้อกันหินทรายฝุ่นเข้ารองเท้า
วันที่ 2 -
2.1 8 โมงเช้า เดินแบกเป้ 1/2 กม. ไปลงทะเบียนที่ Office พร้อมจ่ายค่าเข้า 2 วัน ราคา 420K (ประมาณ1พันบาท (2*210K/วัน)) ถ้าไม่อยากแบกเป้เอง ค่าลูกหาบ Porter 500K/คน/ทริป2วัน(1,100 บาท)
2.2 8:30-9:00 เริ่ม Trekking การเดินวันนี้ จะมี 2 ช่วง คือ....
2.2.1 ช่วงแรก จากหมู่บ้าน Ranu-pani ==> ทะเลสาบ Ranu Kumbolo ระยะทาง 10 กม. ใช้เวลาประมาณ 3.5 - 4 ชม
2.2.2 ช่วงที่ 2 จากทะเลสาบ Ranu Kumbolo ==> Kalimati Base camp ระยะทาง 5 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 - 3.5 ชม.
สภาพทาง ค่อนข้างดี ไม่ชันมาก เดิน Trekking สบาย ๆ
คิดง่าย ระดับความสูงASL ที่ ranu pani 2100 M , ที่ Kalimati 2700 M
ความสูงต่างกัน 600 เมตร กับระยะทาง 15 กม ถือว่าไม่ชัน
แต่แดดค่อนข้างแรง ควรมีผ้าคลุม, ใส่หมวก กันแดด
ตลอดทางมีแตงโม 2 ชิ้น เต้าหู้ทอด เทปเป้ทอด ขาย 2 ชิ้น 5000 Rp (12 บาท) กินแก้กระหาย แก้หิว นม มาม่า อื่น ๆ ก็มีแต่ราคาก็แพงหน่อย
***อย่าลืม จะกินอะไรก็พอควร เพราะระหว่างทางไม่มีห้องน้ำ มีที่เดียวที่ทะเลสาบ Ranu Kumbolo
2.3 บ่าย 4-5 โมงเย็น มาถึง Kalimati Base camp ระดับความสุง 2700 เมตร เหนื่อยมาก เพลียแล้ว อากาศเย็น ค่อนข้างหนาว
ขี้เกียจเดินไป แหล่งน้ำ อีก 1 ชม ไปกลับ เลยซื้อน้ำ 1 ขวดใหญ่-ราคา15K ที่ร้านขาย ทำการล้างหน้า เช็ดตัวแขนขา พอแล้ว
เหงื่อออกมาทั้งวัน ไม่มีการอาบน้ำใด ๆ ทั้งนั้น ห้องน้ำไม่มี
ที่ Kalimati base camp มีนม ขนม มาม่าต้ม น้ำร้อน ขาย รีบซื้อกินให้เรียบร้อย เร็ว ๆ
จากนั้นรีบกางเต็นท์ แล้วรีบซุกต้วเข้าถุงนอน นอนหลับตอน 5-6 โมงเย็นนั่นเลย
เพราะ 5 ทุ่ม กว่าคืนนี้ ต้องตื่นมาเพือเริ่ม Trekkking + Climbing สุดโหดในช่วงสุดท้าย
วันที่ 3 เวลา 00:00 น ตื่นขึ้นมา แยกของใส่ แบกเป้อันเล็ก ของส่วนใหญ่ทิ้งไว้ที่เต็นท์
เอาเฉพาะของที่จำเป็น อาหารแห้ง นม น้ำ ไม้เท้า 2 อัน(ย้ำ) ผ้าปิดปากกันฝุ่น
จากนี้ไป เราจะฝ่าความมืด มีการ trekking ประมาณ 1.5 - 2 ชม แล้วจะต่อด้วย Climbing อีก 4 -5 ชม.
เพื่อไปถึง Summit
3.1 ช่วงแรก จะเป็นการ trekking 1-2 ชม. ผ่านแนวป่า Step เกาะแนวต้นไม้ ขึ้นไปเรื่อย ๆ เหนื่อยพอทน
3.2 ช่วงที่ 2 อันนี้เหนื่อยโหดของจริงครับ ท่านผุู้ชม ใช้เวลา 4-5 ชม. ทางชัน 45 องศา โล่งงง... ไม่มีต้นไม้ให้เกาะเกี่ยวใด ๆ
พื้นเป็นกรวดละอียด ก้าวเดินไม่ติด 1 ก้าวที่เดิน ลื่นลง ครึ่งก้าว ต่างคนต่างตะกายปีน ฝุ่นคลุ้งไปหมด
ดังนั้น *** ไฟฉาย ต้องเอาแบบที่คาดหัว , ไม้เท้า ต้องใช้ 2 อัน(อันเดียวไม่พอ) , ที่ปิดปากกันฝุ่น , แว่นตากันฝุ่น
รองเท้าบู้ท Trekking, ผ้าหุ้มข้อกันหินทรายฝุ่นเข้ารองเท้า
ปีนไปเรื่อยชักหมดแรงหิว ใจหวิว จะเป็นลม ต้องเอาเสบียง ขนม นม น้ำ ออกมากินประทัง....
3.3 เวลา 07:00 น. ถึง Summit ครับท่าน เหนื่อยมาก พระอาทิตย์ ขึ้นไปเรียบร้อย แต่ก็ยังสวยมาก ๆ แสงสีทอง พาโนรามาวิว 360
เพราะเป็นยอดที่สูงที่สุด เขาพระสุเมรุพ่นควันออกมาเป็นระยะ ๆ 15-20 นาที สามารถมองเห็น โบรโม่ ที่ไปมาแล้วหลายครั้ง
ช่างงามประทับใจมาก บรรยากาศได้แรงบันดาลใจ ได้ถ่ายรูปกับป้าย Summit เก่า ๆ ด้วยความอิ่มเอมใจ
**** ความจริง น่าจะไปถึงเร็วกว่านี้ แต่ที่ช้าเพราะ....
- มีไม้เท้าอันเดียว จากที่ควรจะมี 2 อัน ไม่สามารถตะกาย Climbing เต็มที่ทำได้เพียง Trekking
- ไฟฉายเป็นแบบมือถือ น่าจะเป็นแบบที่คาดหัว เพื่อที่จะสามารถใช้ ไม้เท้าได้ 2 ข้าง
- รองเท้าวิ่ง ธรรมดา หัวแหลม เกาะพื้นไม่ดี น่าจะเป็นบูทแบบ trekking และก้อนหินเข้าเท้าเดินไม่เต็มที่ ต้องหยุดถอดรองเท้าเป็นระยะ ๆ