บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/37902949
ความเดินตอนที่แล้ว
เจ้าหม่าว แมวนักเลงภูธร มารุ่มร่ามมะเหมี่ยว แมวลูกติด แต่ปิฬาร์มาขัดจังหวะ
ทำให้เจ้าหง่าวไม่พอใจ ไล่ทำร้าย ปิฬาร์ล่อหลอกให้หง่าวหลงวิ่งฝ่าเข้าไปในดงหมา ถูกรุมแทบตาย
ดีว่าปิฬาร์มาช่วยในช่วงคับขันนัน
.......
เจ้าหง่าวได้โอกาสเมื่อพวกหมาชะงักการกลุ้มรุม รีบวิ่งออกจากวงล้อมเข้าไปหลบใต้กองฟืนข้างบ้าน ในสภาพขนฟูขาดวิ่นกระดำกระด่าง หูข้างหนึ่งห้อยฉีกขาดเลือดไหล ขาหลังข้างซ้ายมีรอยงับจนขนกระจุยแต่ก็นับว่าเอาตัวรอดจากความตายอันสยดสยองไปได้แบบหวุดหวิดที่สุด
เมื่อตามไปกัดเจ้าหง่าวไม่ได้เพราะลอดใต้กองฟืนไม่ได้ หมาหมู่ก็หันไปเห่ากระโชกแมวแปลกหน้าด้วยความแค้นเคือง ฝ่ายถูกเห่าก็ยืดคอให้เห่าอย่างภาคภูมิใจ เพราะโดนเห่าข้างเดียวแบบไม่มีทางกัด
......
ขณะกำลังพากันรุมเห่าเข้าไปใต้กองฟืนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันใดนั้นเองวัตถุอะไรบางอย่างก็หมุนคว้างตัดอากาศมาอย่างรวดเร็ว เข้ามายังฝูงหมาทั้งหลาย
“เอ๋ง.!”
จ่าฝูงจอมซวยโดนอีกแล้ว ฟืนไร้เงาของคุณยายนั่นเอง โดนเข้ากลางลำตัวพอดี ได้ผล..หมาทุกตัวคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมแล้วว่า แบบนี้ต้องเผ่นกระเจิงตัวใครตัวมัน ไม่ต้องรอให้จ่าฝูงอนุมัติ
“หนอย..ไอ้พวกหน้าหมา”
คุณยายเดินงก ๆ เงิ่น ๆ ออกมาจากใต้ถุนบ้าน ในมือยังมีไม้ฟืนอยู่อีกดุ้นกวัดแกว่งไปมาเป็นการข่มขวัญ มากกว่าจะคิดปาใส่หัวหมาตัวไหนอย่างจริงจัง เพราะอย่างไรก็คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จากลูกหมาตัวเท่ากำปั้นจนกลายมาเป็นหมาเต็มวัย
“สมกับเป็นพวกหมาหมู่จริงๆ รุมกัดแมวตัวเดียว หน้าไม่อาย.เออ....หมามันจะอายเป็นหรือเปล่าฟะ.. ไอ้หง่าวเอ๊ย...เป็นไงบ้างวะ”
ประโยคหลังแกเรียกหาเจ้าหง่าวด้วยความเป็นห่วง แม้ว่ามันจะเป็นแมวเกเรอันธพาล แต่คุณยายก็มีความรักความเมตตาเผื่อแผ่เศษอาหารให้เสมอ
“เมี๊ยว....!”
เสียงโอดครวญของแมวนักเลงดังแว่วมาจากใต้กองฟืนซึ่งวางเรียงรายบนขอนไม้ใหญ่คู่หนึ่งบริเวณข้างบ้าน ด้านล่างจึงพื้นที่เล็ก ๆ ว่างไว้เป็นแหล่งหลบภัยของสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้ เสียงเจ้าหง่าวสั่นเครือปานใจจะขาด ตามแบบฉบับของแมวอ้อนขออาหารขอความเมตตา ถ้าใครได้ยินเสียงเจ้าหง่าวตอนนี้จะแทบไม่เชื่อว่า นี่หรือคือแมวเกเรประจำหมู่บ้าน
บางทีสัญชาตญาณแห่งการอยู่รอดของแมวทั้งหลาย ก็คือลูกอ้อนนี่เอง
“ออกมานี่เจ้าหง่าว...” คุณยายก้มลงดูใต้กองฟืนและลากเจ้าหง่าวออกมาจนได้ สภาพแมวนักเลงแทบไม่เหลือซากของความเป็นแมวนักเลงเหลืออยู่เลย หัวหูยุ่งเหยิงขะมุกขะมอมเปรอะเปื้อนมอซอหนักเข้าไปอีก
“เวรกรรมแท้ ๆ” คุณยายบ่นพึมพำตามประสาคนแก่ จัดการอุ้มเจ้าหง่าวเดินเข้าไปยังแคร่ไม้ที่วางอยู่ใต้ถุน หาผ้ามาเช็ดมาถูให้ตามมีตามเกิด
“ไอ้หง่าวมันก็ทำตัวเป็นอันธพาล ประจำหมู่บ้าน...นึกแล้วไม่มีผิดสักวันต้องโดนกรรมเวรเล่นงาน ดีไม่โดนกัดตาย เฮ้อ...วันหน้าอย่าเกเรแบบนี้อีกนะ เราเป็นแมวก็อยู่ส่วนแมว ไปยุ่งกับหมามันทำไม หนอย... วันนี้ริบังอาจตะลุยดงหมา”
ส่วนแมวปิฬาร์พอจัดการสั่งสอนและช่วยเหลือแมวนักเลงบ้านนอกแล้ว ก็ปีนขึ้นหลังคาบ้านกลับหามะเหมี่ยวอีกครั้ง รู้สึกว่าบ้านเรือนตามบ้านนอกปีนป่ายง่ายกว่าอาคารบ้านเรือนหมู่ตึกในเมือง เพราะบริเวณบ้านมักจะมีกองฟืน ห้องครัว หรือไม่ก็เพิงหมาแหงน เอาไว้เก็บผลผลิตจากไร่จากสวน ทำให้ดูเป็นพื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เป็นระเบียบแต่ก็ปีนป่ายได้สนุกถูกใจที่สุด
มะเหมี่ยวกำลังยืนรออยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งด้วยความเป็นห่วง
“คุณใจกล้าจริง ๆ” นั่นเป็นประโยคแรกที่แมวสาวบ้านนอกเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม
“ของมันแน่อยู่แล้ว” แมวปิฬาร์ยืดตัวทันที “เจ้าหง่าวไม่เท่าไรหรอก พูดแล้วจะหาว่าคุย อยู่ในเมืองฉันยังเคยไล่กัดหมากระเจิงมาแล้ว คิดว่าเจ้าหง่าวคงไม่มาจุ้นจ้านวุ่นวายกับเธออีกนาน”
“คุณปิฬาร์ก็ช่วยเจ้าหง่าวไว้ “
“ฉันต้องการสั่งสอนมันเท่านั้น ไม่อยากให้แมวตัวไหนตายหรอก อย่างไรพวกเราก็เป็นชาวแมว จะเกเรจะแย่อย่างไรก็ไม่อยากให้โดนชาวหมากัดตาย”
“สมแล้วกับเป็นแมวในเมือง”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
คอของแมวในเมืองยืดออกไปจนไม่สามารถยืดออกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ด้วยความบ้ายอ ลูกของมะเหมี่ยวก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยฟังข่าวอย่างใจจรดใจจ่อ พอเห็นมะเหมี่ยวและแมวในเมืองโผล่พ้นเหลี่ยมหน้าจั่วหลังคา ก็พากันร้องถามข่าวเซ็งแซ่ตามประสาลูกแมว แม่แมวต้องรับบทแมวนักข่าวเล่าเรื่องให้ลูกแมวผู้นั่งตาแป๋วฟังอย่างตั้งใจไม่ดื้อไม่ซน
“ไชโย.....พี่ปิฬาร์ผู้ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เกรียงไกร...ซุปเปอร์แมว ยอดแมว ยอดมากเลย”
“พี่ปิฬาร์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแมว ขจัดแมวพาล อภิบาลแมวดี...”
“พี่ปิฬาร์จอมแมว ผู้กลับชาติมาเกิด...”
กุดจี่กับกะปอมแมวน้อย พอฟังเรื่องราวจากแม่มะเหมี่ยวจบ ก็กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างดีใจ ส่งเสียงร้องด้วยความชื่นชมไม่ขาดปาก เพราะเกลียดเจ้าหง่าวมาตั้งแต่เกิดแล้ว แมวปิฬาร์ฟังแล้วหน้าบานเท่ากระด้ง ตัวยืดตัวยาวอีกต่างหาก มีแต่เหมียวน้อยที่เชิดหน้าไม่มองเดินหลบออกไปจากหน้าจั่วหลังคา
“เชอะ...ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ก็แค่แมวธรรมดาแค่นั้น” เหมียวน้อยพูดพลางหันหน้าไปทางอื่น
“นี่เหมียวน้อย พูดจาให้มันดีหน่อย” เสียงมะเหมี่ยวดุลูก เหมียวน้อยมองค้อนแบบแมว ๆ ขวับหนึ่ง แล้วเดินไปหมอบนิ่งอยู่มุมชายคา ของหลังคาห้องครัว แมวปิฬาร์ยิ้มแห้ง ๆ แล้วหันไปบอกมะเหมี่ยวว่า
“อย่าไปถือสาถือเลย เวลาผ่านไปเดี๋ยวเหมียวน้อยก็ดีเอง”
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ถือสาเหมียวน้อย...คงเป็นแมวขาดความอบอุ่นทางใจ”
“อ้อ...ฉันมีปลาย่างค้างหลายคืนมาตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเธอจะกินไหม” แมวสาวเอ่ยอย่างนึกได้ แล้ววิ่งไปยังบริเวณที่วางปลาย่างไว้ ก่อนเปิดศึกกับเจ้าหง่าว คาบมาวางให้มะเหมี่ยว
“มันมีกลิ่นไม่ค่อยดี ฉันกินไม่ลง พวกเธอจะเอาไหม”
มะเหมี่ยวทำหน้าสงสัย ก้มลงดมพิสูจน์กลิ่นไปมาพักหนึ่งแล้วเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ ก่อนพูดว่า
“อะไรกันคะคุณปิฬาร์ นี่ปลาย่างอย่างดีเลย พวกเราไม่เคยได้กินปลาย่างแบบนี้มานานแล้ว คุณไม่กินจริง ๆ หรือคะ”
“ไม่กิน ยกให้พวกเธอก็แล้วกัน”
“คุณปิฬาร์ใจดีและน่ารักจังเลย แมวน้อยทั้งหลายมากินปลาย่างกันเร็ว”
ประโยคหลังมะเหมี่ยวหันไปบอกลูก ๆ ที่พากันยิ้มกริ่มเข้ามาด้วยความดีใจ ยกเว้นเหมี่ยวน้อยที่ยังคงทำเป็นไม่สนใจนอนนิ่งอยู่อย่างไม่สนใจใคร ไม่สนใจแม้แต่เสียงเรียกของแม่แมว
“โอ...นี่มันอะไรกัน...อร่อยมากเลยครับ พี่ปิฬาร์…ความหอมโปร่งไม่จัดจ้านและมีทิศทาง แยกกลิ่นและรสออกจากได้ชัดเจนแต่ผสมกลมกลืนกันได้อย่างเหมาะสม นุ่นเนียนลำคอและลิ้นอย่างที่สุดแห่งที่สุดเลย”
กุดจี่แทะไปร้องไปด้วยความอร่อย ปลาย่างสำหรับแมวแล้วคืออาหารชั้นสูง ไม่มีโอกาสกินง่ายนัก ขนาดแมวบางตัวเกิดมาไม่เคยได้กิน
“เนื้อทั้งหอมทั้งมัน เคี้ยวกรุบกรับ ความนุ่มหอมของเนื้อบวกกับความกรุบกรับของกระดูกผสมกับกลิ่นย่างไฟจนหอมกรุ่นอร่อยจนน่าตกใจจริงๆ โอย... ไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้นานแล้ว..โอย...อร่อยจะขาดใจ”
กะปอมกินไปร้องไปเหมือนกัน ในขณะแม่แมวได้แต่จ้องมองลูกด้วยความสุข เมื่อเห็นลูก ๆ กินอาหารด้วยความอร่อย ไม่ว่าเป็นแม่คนหรือเป็นแม่แมวก็คิดไม่ต่างกันนัก
“อ้าว มะเหมี่ยว เธอไม่กินเหรอ” แมวปิฬาร์หันไปถามแม่แมวอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นยืนมองเฉยอยู่ “ปลามันตัวใหญ่พอจะแบ่งให้เธอได้นะ”
“เห็นลูกๆ ได้กินฉันก็อิ่มแล้วค่ะ”
นั่นเป็นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสายตาแห่งความรักความห่วงไยของความเป็นแม่แมว ดูแล้วเต็มไปด้วยความอบอุ่นเหลือเกิน คล้าย ๆ สายตาของคุณนายใจดี โอ...คุณนายใจดี..ป่านนี้จะคิดถึงเราบ้างไหมนะ น้ำเสียงและสายตาแบบนี้คุณนายใจดีเคยมีให้ปิฬาร์เสมอ แม้ว่าคุณนายใจดีจะไม่ใช่แม่แมวก็ตาม
เราเป็นแมว.... แมวธรรมดาตัวหนึ่ง พอเราหายไป คุณนายใจดีก็คงไม่คิดอะไรมากมาย มีแมวสวย แมวน่ารักมากมายในโลก บางตัวไม่เพียงแต่เป็นแมวในเมือง ยังเป็นถึงแมวเมืองนอก แพงกว่า สวยกว่า ปิฬาร์มากมายหลายเท่า คุณนายใจดีไม่หามาเลี้ยงไม่ยาก และอาจลืมเราไปแล้ว
หนูแจ๋ว..คนรับใช้มือหนึ่ง ก็คงจะดีใจมาก เพราะไม่มีแมวจอมซนแกล้งก่อกวนให้หนูแจ๋วโดนดุ ไม่มีแมวคอยขัดแข้งขัดขาให้หกล้มถ้วยชามแตก ไม่มีแมวคอยคาบอาหารในจานหนูแจ๋ว จนต้องวิ่งไล่ล่ากันอีกแล้ว แมวตัวใหม่คงสงบเสงี่ยมเรียบร้อย พอเราจากมาครอบครัวเขาคงร่มเย็นเป็นสุข ยิ่งคิดยิ่งใจหายวูบๆอย่างประหลาด ..คิดถึงอ้อมกอดอบอุ่นของคุณนาย คิดถึงหนูแจ๋วผู้ว่างจากงานบ้านก็มักจะมาจับปิฬาร์อุ้มและเดินเล่นรอบบ้านเสมอ หรือบางครั้งเวลาดึกเกิดเหงาในอารมณ์ร้องเหมียว ๆ ก็จะมีหนูแจ๋วนี่ล่ะที่ลุกมาจากห้องนอน อุ้มปิฬาร์ไปนอนเป็นเพื่อนบนเตียงนุ่มอุ่นด้วยเสมออย่างไม่มีการแบ่งชนชั้นว่าเป็นคนเป็นแมว ทั้งที่เวลากลางวันทะเลาะกันแทบบ้านแตก
หรือเราจะกลายเป็นแมวเจ้าปัญหาอีกตัวแล้วนี่
“เป็นอะไรไปคะ...คุณปิฬาร์” เสียงถามของมะเหมี่ยวทำให้แมวใจลอยสะดุ้งจากอาการครุ่นคิดคำนึง “หรือคิดถึงบ้านคะ”
เสียงแม่แมวบ้านนอกถามแทงใจดำพอดีเหมือนจะรู้ใจ ฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบคำถาม เพราะตอบไปตรง ๆ ก็จะเหมือนเป็นแมวอ่อนแอ..ไม่ได้ เราแมวในเมือง ต้องเข้มแข็ง จะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เดี๋ยวเสียอิมเมจแมวในเมือง
“เหมียวน้อยยังไม่กินอะไรเลย” เฉไฉไปพูดเรื่องอื่น “เดี๋ยวหิวคงกินเองค่ะไม่ต้องห่วง ตกเย็นเดี๋ยวเจ้านายกลับมาก็จะคลุกข้าวให้กิน ยังคงมีอาหารอีกมื้อสำรอง ว่าแต่คุณปิฬาร์ยังไม่เห็นทานอะไรเลย ไม่หิวหรือคะ”
เสียงของมะเหมี่ยวมีแววห่วงใย แมวปิฬาร์ส่ายหน้าบอกว่า
“เดี๋ยวจะออกไปหากินอะไรแถวนี้ล่ะ”
ไม่รู้ว่า “อะไร” ที่ว่าคืออะไร และจะอยู่แถวนี้หรือแถวไหนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ แมวปิฬาร์ก็กระโดดไปตามแนวชายคาหลังคาและรั้วบ้านตามประสาแมวไม่อยู่เป็นสุข เมื่อสำรวจพื้นที่อย่างละเอียดทั่วหมู่บ้านแล้วก็แวะไปบ้านคุณยายใจดีอีกครั้ง
.
ปิฬาร์ แมวบ้านนอก 5.........คุณยายใจดี
https://ppantip.com/topic/37902949
ความเดินตอนที่แล้ว
เจ้าหม่าว แมวนักเลงภูธร มารุ่มร่ามมะเหมี่ยว แมวลูกติด แต่ปิฬาร์มาขัดจังหวะ
ทำให้เจ้าหง่าวไม่พอใจ ไล่ทำร้าย ปิฬาร์ล่อหลอกให้หง่าวหลงวิ่งฝ่าเข้าไปในดงหมา ถูกรุมแทบตาย
ดีว่าปิฬาร์มาช่วยในช่วงคับขันนัน
.......
เจ้าหง่าวได้โอกาสเมื่อพวกหมาชะงักการกลุ้มรุม รีบวิ่งออกจากวงล้อมเข้าไปหลบใต้กองฟืนข้างบ้าน ในสภาพขนฟูขาดวิ่นกระดำกระด่าง หูข้างหนึ่งห้อยฉีกขาดเลือดไหล ขาหลังข้างซ้ายมีรอยงับจนขนกระจุยแต่ก็นับว่าเอาตัวรอดจากความตายอันสยดสยองไปได้แบบหวุดหวิดที่สุด
เมื่อตามไปกัดเจ้าหง่าวไม่ได้เพราะลอดใต้กองฟืนไม่ได้ หมาหมู่ก็หันไปเห่ากระโชกแมวแปลกหน้าด้วยความแค้นเคือง ฝ่ายถูกเห่าก็ยืดคอให้เห่าอย่างภาคภูมิใจ เพราะโดนเห่าข้างเดียวแบบไม่มีทางกัด
......
ขณะกำลังพากันรุมเห่าเข้าไปใต้กองฟืนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันใดนั้นเองวัตถุอะไรบางอย่างก็หมุนคว้างตัดอากาศมาอย่างรวดเร็ว เข้ามายังฝูงหมาทั้งหลาย
“เอ๋ง.!”
จ่าฝูงจอมซวยโดนอีกแล้ว ฟืนไร้เงาของคุณยายนั่นเอง โดนเข้ากลางลำตัวพอดี ได้ผล..หมาทุกตัวคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมแล้วว่า แบบนี้ต้องเผ่นกระเจิงตัวใครตัวมัน ไม่ต้องรอให้จ่าฝูงอนุมัติ
“หนอย..ไอ้พวกหน้าหมา”
คุณยายเดินงก ๆ เงิ่น ๆ ออกมาจากใต้ถุนบ้าน ในมือยังมีไม้ฟืนอยู่อีกดุ้นกวัดแกว่งไปมาเป็นการข่มขวัญ มากกว่าจะคิดปาใส่หัวหมาตัวไหนอย่างจริงจัง เพราะอย่างไรก็คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จากลูกหมาตัวเท่ากำปั้นจนกลายมาเป็นหมาเต็มวัย
“สมกับเป็นพวกหมาหมู่จริงๆ รุมกัดแมวตัวเดียว หน้าไม่อาย.เออ....หมามันจะอายเป็นหรือเปล่าฟะ.. ไอ้หง่าวเอ๊ย...เป็นไงบ้างวะ”
ประโยคหลังแกเรียกหาเจ้าหง่าวด้วยความเป็นห่วง แม้ว่ามันจะเป็นแมวเกเรอันธพาล แต่คุณยายก็มีความรักความเมตตาเผื่อแผ่เศษอาหารให้เสมอ
“เมี๊ยว....!”
เสียงโอดครวญของแมวนักเลงดังแว่วมาจากใต้กองฟืนซึ่งวางเรียงรายบนขอนไม้ใหญ่คู่หนึ่งบริเวณข้างบ้าน ด้านล่างจึงพื้นที่เล็ก ๆ ว่างไว้เป็นแหล่งหลบภัยของสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้ เสียงเจ้าหง่าวสั่นเครือปานใจจะขาด ตามแบบฉบับของแมวอ้อนขออาหารขอความเมตตา ถ้าใครได้ยินเสียงเจ้าหง่าวตอนนี้จะแทบไม่เชื่อว่า นี่หรือคือแมวเกเรประจำหมู่บ้าน
บางทีสัญชาตญาณแห่งการอยู่รอดของแมวทั้งหลาย ก็คือลูกอ้อนนี่เอง
“ออกมานี่เจ้าหง่าว...” คุณยายก้มลงดูใต้กองฟืนและลากเจ้าหง่าวออกมาจนได้ สภาพแมวนักเลงแทบไม่เหลือซากของความเป็นแมวนักเลงเหลืออยู่เลย หัวหูยุ่งเหยิงขะมุกขะมอมเปรอะเปื้อนมอซอหนักเข้าไปอีก
“เวรกรรมแท้ ๆ” คุณยายบ่นพึมพำตามประสาคนแก่ จัดการอุ้มเจ้าหง่าวเดินเข้าไปยังแคร่ไม้ที่วางอยู่ใต้ถุน หาผ้ามาเช็ดมาถูให้ตามมีตามเกิด
“ไอ้หง่าวมันก็ทำตัวเป็นอันธพาล ประจำหมู่บ้าน...นึกแล้วไม่มีผิดสักวันต้องโดนกรรมเวรเล่นงาน ดีไม่โดนกัดตาย เฮ้อ...วันหน้าอย่าเกเรแบบนี้อีกนะ เราเป็นแมวก็อยู่ส่วนแมว ไปยุ่งกับหมามันทำไม หนอย... วันนี้ริบังอาจตะลุยดงหมา”
ส่วนแมวปิฬาร์พอจัดการสั่งสอนและช่วยเหลือแมวนักเลงบ้านนอกแล้ว ก็ปีนขึ้นหลังคาบ้านกลับหามะเหมี่ยวอีกครั้ง รู้สึกว่าบ้านเรือนตามบ้านนอกปีนป่ายง่ายกว่าอาคารบ้านเรือนหมู่ตึกในเมือง เพราะบริเวณบ้านมักจะมีกองฟืน ห้องครัว หรือไม่ก็เพิงหมาแหงน เอาไว้เก็บผลผลิตจากไร่จากสวน ทำให้ดูเป็นพื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เป็นระเบียบแต่ก็ปีนป่ายได้สนุกถูกใจที่สุด
มะเหมี่ยวกำลังยืนรออยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งด้วยความเป็นห่วง
“คุณใจกล้าจริง ๆ” นั่นเป็นประโยคแรกที่แมวสาวบ้านนอกเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม
“ของมันแน่อยู่แล้ว” แมวปิฬาร์ยืดตัวทันที “เจ้าหง่าวไม่เท่าไรหรอก พูดแล้วจะหาว่าคุย อยู่ในเมืองฉันยังเคยไล่กัดหมากระเจิงมาแล้ว คิดว่าเจ้าหง่าวคงไม่มาจุ้นจ้านวุ่นวายกับเธออีกนาน”
“คุณปิฬาร์ก็ช่วยเจ้าหง่าวไว้ “
“ฉันต้องการสั่งสอนมันเท่านั้น ไม่อยากให้แมวตัวไหนตายหรอก อย่างไรพวกเราก็เป็นชาวแมว จะเกเรจะแย่อย่างไรก็ไม่อยากให้โดนชาวหมากัดตาย”
“สมแล้วกับเป็นแมวในเมือง”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
คอของแมวในเมืองยืดออกไปจนไม่สามารถยืดออกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ด้วยความบ้ายอ ลูกของมะเหมี่ยวก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยฟังข่าวอย่างใจจรดใจจ่อ พอเห็นมะเหมี่ยวและแมวในเมืองโผล่พ้นเหลี่ยมหน้าจั่วหลังคา ก็พากันร้องถามข่าวเซ็งแซ่ตามประสาลูกแมว แม่แมวต้องรับบทแมวนักข่าวเล่าเรื่องให้ลูกแมวผู้นั่งตาแป๋วฟังอย่างตั้งใจไม่ดื้อไม่ซน
“ไชโย.....พี่ปิฬาร์ผู้ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เกรียงไกร...ซุปเปอร์แมว ยอดแมว ยอดมากเลย”
“พี่ปิฬาร์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแมว ขจัดแมวพาล อภิบาลแมวดี...”
“พี่ปิฬาร์จอมแมว ผู้กลับชาติมาเกิด...”
กุดจี่กับกะปอมแมวน้อย พอฟังเรื่องราวจากแม่มะเหมี่ยวจบ ก็กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างดีใจ ส่งเสียงร้องด้วยความชื่นชมไม่ขาดปาก เพราะเกลียดเจ้าหง่าวมาตั้งแต่เกิดแล้ว แมวปิฬาร์ฟังแล้วหน้าบานเท่ากระด้ง ตัวยืดตัวยาวอีกต่างหาก มีแต่เหมียวน้อยที่เชิดหน้าไม่มองเดินหลบออกไปจากหน้าจั่วหลังคา
“เชอะ...ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ก็แค่แมวธรรมดาแค่นั้น” เหมียวน้อยพูดพลางหันหน้าไปทางอื่น
“นี่เหมียวน้อย พูดจาให้มันดีหน่อย” เสียงมะเหมี่ยวดุลูก เหมียวน้อยมองค้อนแบบแมว ๆ ขวับหนึ่ง แล้วเดินไปหมอบนิ่งอยู่มุมชายคา ของหลังคาห้องครัว แมวปิฬาร์ยิ้มแห้ง ๆ แล้วหันไปบอกมะเหมี่ยวว่า
“อย่าไปถือสาถือเลย เวลาผ่านไปเดี๋ยวเหมียวน้อยก็ดีเอง”
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ถือสาเหมียวน้อย...คงเป็นแมวขาดความอบอุ่นทางใจ”
“อ้อ...ฉันมีปลาย่างค้างหลายคืนมาตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเธอจะกินไหม” แมวสาวเอ่ยอย่างนึกได้ แล้ววิ่งไปยังบริเวณที่วางปลาย่างไว้ ก่อนเปิดศึกกับเจ้าหง่าว คาบมาวางให้มะเหมี่ยว
“มันมีกลิ่นไม่ค่อยดี ฉันกินไม่ลง พวกเธอจะเอาไหม”
มะเหมี่ยวทำหน้าสงสัย ก้มลงดมพิสูจน์กลิ่นไปมาพักหนึ่งแล้วเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ ก่อนพูดว่า
“อะไรกันคะคุณปิฬาร์ นี่ปลาย่างอย่างดีเลย พวกเราไม่เคยได้กินปลาย่างแบบนี้มานานแล้ว คุณไม่กินจริง ๆ หรือคะ”
“ไม่กิน ยกให้พวกเธอก็แล้วกัน”
“คุณปิฬาร์ใจดีและน่ารักจังเลย แมวน้อยทั้งหลายมากินปลาย่างกันเร็ว”
ประโยคหลังมะเหมี่ยวหันไปบอกลูก ๆ ที่พากันยิ้มกริ่มเข้ามาด้วยความดีใจ ยกเว้นเหมี่ยวน้อยที่ยังคงทำเป็นไม่สนใจนอนนิ่งอยู่อย่างไม่สนใจใคร ไม่สนใจแม้แต่เสียงเรียกของแม่แมว
“โอ...นี่มันอะไรกัน...อร่อยมากเลยครับ พี่ปิฬาร์…ความหอมโปร่งไม่จัดจ้านและมีทิศทาง แยกกลิ่นและรสออกจากได้ชัดเจนแต่ผสมกลมกลืนกันได้อย่างเหมาะสม นุ่นเนียนลำคอและลิ้นอย่างที่สุดแห่งที่สุดเลย”
กุดจี่แทะไปร้องไปด้วยความอร่อย ปลาย่างสำหรับแมวแล้วคืออาหารชั้นสูง ไม่มีโอกาสกินง่ายนัก ขนาดแมวบางตัวเกิดมาไม่เคยได้กิน
“เนื้อทั้งหอมทั้งมัน เคี้ยวกรุบกรับ ความนุ่มหอมของเนื้อบวกกับความกรุบกรับของกระดูกผสมกับกลิ่นย่างไฟจนหอมกรุ่นอร่อยจนน่าตกใจจริงๆ โอย... ไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้นานแล้ว..โอย...อร่อยจะขาดใจ”
กะปอมกินไปร้องไปเหมือนกัน ในขณะแม่แมวได้แต่จ้องมองลูกด้วยความสุข เมื่อเห็นลูก ๆ กินอาหารด้วยความอร่อย ไม่ว่าเป็นแม่คนหรือเป็นแม่แมวก็คิดไม่ต่างกันนัก
“อ้าว มะเหมี่ยว เธอไม่กินเหรอ” แมวปิฬาร์หันไปถามแม่แมวอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นยืนมองเฉยอยู่ “ปลามันตัวใหญ่พอจะแบ่งให้เธอได้นะ”
“เห็นลูกๆ ได้กินฉันก็อิ่มแล้วค่ะ”
นั่นเป็นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสายตาแห่งความรักความห่วงไยของความเป็นแม่แมว ดูแล้วเต็มไปด้วยความอบอุ่นเหลือเกิน คล้าย ๆ สายตาของคุณนายใจดี โอ...คุณนายใจดี..ป่านนี้จะคิดถึงเราบ้างไหมนะ น้ำเสียงและสายตาแบบนี้คุณนายใจดีเคยมีให้ปิฬาร์เสมอ แม้ว่าคุณนายใจดีจะไม่ใช่แม่แมวก็ตาม
เราเป็นแมว.... แมวธรรมดาตัวหนึ่ง พอเราหายไป คุณนายใจดีก็คงไม่คิดอะไรมากมาย มีแมวสวย แมวน่ารักมากมายในโลก บางตัวไม่เพียงแต่เป็นแมวในเมือง ยังเป็นถึงแมวเมืองนอก แพงกว่า สวยกว่า ปิฬาร์มากมายหลายเท่า คุณนายใจดีไม่หามาเลี้ยงไม่ยาก และอาจลืมเราไปแล้ว
หนูแจ๋ว..คนรับใช้มือหนึ่ง ก็คงจะดีใจมาก เพราะไม่มีแมวจอมซนแกล้งก่อกวนให้หนูแจ๋วโดนดุ ไม่มีแมวคอยขัดแข้งขัดขาให้หกล้มถ้วยชามแตก ไม่มีแมวคอยคาบอาหารในจานหนูแจ๋ว จนต้องวิ่งไล่ล่ากันอีกแล้ว แมวตัวใหม่คงสงบเสงี่ยมเรียบร้อย พอเราจากมาครอบครัวเขาคงร่มเย็นเป็นสุข ยิ่งคิดยิ่งใจหายวูบๆอย่างประหลาด ..คิดถึงอ้อมกอดอบอุ่นของคุณนาย คิดถึงหนูแจ๋วผู้ว่างจากงานบ้านก็มักจะมาจับปิฬาร์อุ้มและเดินเล่นรอบบ้านเสมอ หรือบางครั้งเวลาดึกเกิดเหงาในอารมณ์ร้องเหมียว ๆ ก็จะมีหนูแจ๋วนี่ล่ะที่ลุกมาจากห้องนอน อุ้มปิฬาร์ไปนอนเป็นเพื่อนบนเตียงนุ่มอุ่นด้วยเสมออย่างไม่มีการแบ่งชนชั้นว่าเป็นคนเป็นแมว ทั้งที่เวลากลางวันทะเลาะกันแทบบ้านแตก
หรือเราจะกลายเป็นแมวเจ้าปัญหาอีกตัวแล้วนี่
“เป็นอะไรไปคะ...คุณปิฬาร์” เสียงถามของมะเหมี่ยวทำให้แมวใจลอยสะดุ้งจากอาการครุ่นคิดคำนึง “หรือคิดถึงบ้านคะ”
เสียงแม่แมวบ้านนอกถามแทงใจดำพอดีเหมือนจะรู้ใจ ฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบคำถาม เพราะตอบไปตรง ๆ ก็จะเหมือนเป็นแมวอ่อนแอ..ไม่ได้ เราแมวในเมือง ต้องเข้มแข็ง จะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เดี๋ยวเสียอิมเมจแมวในเมือง
“เหมียวน้อยยังไม่กินอะไรเลย” เฉไฉไปพูดเรื่องอื่น “เดี๋ยวหิวคงกินเองค่ะไม่ต้องห่วง ตกเย็นเดี๋ยวเจ้านายกลับมาก็จะคลุกข้าวให้กิน ยังคงมีอาหารอีกมื้อสำรอง ว่าแต่คุณปิฬาร์ยังไม่เห็นทานอะไรเลย ไม่หิวหรือคะ”
เสียงของมะเหมี่ยวมีแววห่วงใย แมวปิฬาร์ส่ายหน้าบอกว่า
“เดี๋ยวจะออกไปหากินอะไรแถวนี้ล่ะ”
ไม่รู้ว่า “อะไร” ที่ว่าคืออะไร และจะอยู่แถวนี้หรือแถวไหนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ แมวปิฬาร์ก็กระโดดไปตามแนวชายคาหลังคาและรั้วบ้านตามประสาแมวไม่อยู่เป็นสุข เมื่อสำรวจพื้นที่อย่างละเอียดทั่วหมู่บ้านแล้วก็แวะไปบ้านคุณยายใจดีอีกครั้ง
.