กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้เชิงคำถามหรอกคับ เนื่องจากลงกระทู้สนทนาไม่ได้ต้องยืนยันตัวตนที่ค่อยข้างจะเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป เลยขอลงในกระทู้คำถามแทนละกันคับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ ก่อนอื่นก็สวัสดีทุกคนนะคับ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับผมเองเป็นเรื่องแปลกๆเลยอยากเล่าสู่กันฟังคับ ไม่รู้ว่าแปลกที่ผมหรืออะไรที่แปลก เรื่องมีอยู่ว่า ผมเคยฝันเมื่อตอนเด็กๆ ฝันซ้ำๆกันหรือบางทีก็เหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน บางวันก็ฝันบางวันก็ไม่ฝัน ตอนนี้ผมอายุได้ 33 ปีแล้วคับ แต่ความฝันนั้นก็ยังวนเวียนมาเป็นครั้งคราว ชวนให้คิดอยู่เสมอ เรื่องราวในฝันนั้น ผมฝันเห็นตัวเองล่องลอยอยู่ในดินแดนที่ไม่มีดวงอาทิตย์ แต่มีความสว่างแสงนวลๆสลัวๆ แล้วก็ร่อนลงพัก ณ ที่แห่งหนึ่งบรรยากาศรอบๆสวยงามมาก เป็นทุ่งหญ้านุ่มๆ เหมือนไม่ใช่โลกนี้นี้เลย ไม่มีสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดเลย ขณะที่ผมยื่นอยู่ก็ได้ยินเสียงคนพูดกันลอยมาตามสายลม ผมจึงตามเสียงนั้นไป เมื่อเดินไปได้สักระยะหนึ่งเห็นมีต้นไม้ใหญ่อยู่บนเนินหนึ่งต้น ผมเลยไปยื่นใต้ต้นไม้นั้น และเห็นว่าด้านล่างมี คนกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน เลยล่องลอยลงไปดูใกล้ๆ เมื่อไปถึงก็เห็นใครคนหนึ่งเหมือนตัวผมมากแต่งตัวนุ่งห่มผ้าเหลืองเหมือนกับพระหรือเณร วิ่งเล่นกันอยู่ที่ลานกว้างกับเพื่อนๆอีกสองสามคน ผมพยายามเรียกเพื่อจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของผมเลย ผมร้องไห้แล้วเดินออกมาจากตรงนั้น มาเจอต้นไม้ใหญ่อีกต้น อยู่ใกล้ลำธารเล็กๆมีน้ำใหลตลอดเวลา ผมรู้สึกหิวมากจึงเอามือรองน้ำขึ้นมากิน แล้วก็รู้สึกมึนๆเหมือนตัวเองหมุนวนๆหวิวๆเหมือนตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แล้วก็ตื่นขึ้นมาจากความฝัน ฝันอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ตั้งแต่เด็กๆเริ่มจำความได้จนตอนนี้ก็ยังคงฝันเห็นเหตุการณ์ดังที่เล่ามานี้อยู่หลายครั้ง
ครั้งหนึ่งผมเคยบวชเป็นสามเณรเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็เคยฝันเรื่องนี้เป็นประจำ แต่ค่อยเล่าให้ใครฟัง เพราะคิดว่าก็แค่ความฝันคงไม่มีอะไร จนกระทั้งสึกออกมา ก็ยังคงฝันถึงเรื่องนั้นอยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ทำไมเราถึงฝันเรื่องนี้อยู่ตลอด มันคืออะไรกันแน่" และเล่าให้คุณยายฟังอยู่ครั้งหนึ่ง คุณยายก็บอกว่า "ก็แค่ความฝันไม่มีอะไรหลอกลูก" หลังจากนั้นผมก็ไม่ใส่ใจกับความฝันนั้นอีก จนมาวันหนึ่งผมกับคุณยายไปทำบุญสืบชะตาที่วัดแห่งหนึ่งใกล้บ้านเพราะว่าตั้งแต่สึกออกจากวัดมาก็ไม่ค่อยจะสบายเลยป่วยบ่อยๆ เข้าๆออกโรงพยาบาลอยู่ตลอด โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า คุณยายท่านก็บอกว่า "ควรจะไปทำบุญบ้างนะลูก" เลยตั้งใจไปทำบุญกัน หลังจากรับพรจากพระเสร็จแล้ว ก็ตั้งใจจะถามหลวงพ่อท่านถึงความฝันของผม ด้วยคิดว่าท่านจะแก้ความฝันของผมได้ แล้วก็เล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านก็หลับตาแล้วพยักหน้า เหมือนจะรู้อะไรสักอย่าง สักพักท่านก็พูดว่า "นั้นเป็นจิตของเราที่ยังคงมีความทรงจำในช่วงหนึ่งที่วิญญาณได้ล่องลอยออกจากร่างไปแล้ว อยู่ในภพหนึ่งหลังจากที่ตายไปแล้ว ที่เห็นพระหรือเณรเป็นตัวเองนั้นก็หมายถึง ชาติก่อนหน้าที่จะมาเกิดนี้เป็นพระหรือเณรมาก่อนหรือชาติที่จะมาเกิดใหม่นี้จะได้บวชเป็นพระเป็นเณรนั้นเอง หมายถึงว่า เรามีบุญได้บวชในพระพุทธศาสนาเมื่ออดีตชาติแล้วมรณะภาพในสมณะเพศหรืออาจจะหมายถึงชาตินี้เราจะมีบุญได้บวชไนพระพุทธศาสนา" ผมก็ตอบกลับหลวงพ่อท่านไปว่า "ผมเคยบวชแล้วคับ บวชเณร 4 พรรษา บวชพระอีก 1 พรรษา คับ" หลวงพ่อท่านตอบกลับมาว่า "กรรมของโยมกับผ้าเหลืองยังไม่หมดสิ้นกันเท่านี้ดอก ถ้ามีโอกาสก็บวชเสียเถิด ชะตาของโยมอาจจะต้องชวชตลอดชีวิตหรือไม่ก็ตายคาผ้าเหลืองนั้นแหละ" ฟังหลวงพ่อพูดจบก็กราบลาท่านกลับบ้าน นั่งคิดเรื่องนี้อยู่นานว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านบอกคือความจริงหรือไม่ หากแม้ว่าเป็นความทรงจำแต่อดีตกาลก่อนมา ทำไมถึงจำไม่ได้ว่า ชาติที่แล้วเราเป็นใคร??? ตายยังไง แล้วมาเกิดเป็นเราได้ชาตินี้ได้ยังไง และอาการเจ็บป่วยทั้งหลายนี้เป็นผลมาจากกรรมเก่าในอดีตชาติจริงหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้มาจนถึงวันนี้...
ระลึกชาติได้หรือแค่ความฝัน ??
ครั้งหนึ่งผมเคยบวชเป็นสามเณรเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็เคยฝันเรื่องนี้เป็นประจำ แต่ค่อยเล่าให้ใครฟัง เพราะคิดว่าก็แค่ความฝันคงไม่มีอะไร จนกระทั้งสึกออกมา ก็ยังคงฝันถึงเรื่องนั้นอยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ทำไมเราถึงฝันเรื่องนี้อยู่ตลอด มันคืออะไรกันแน่" และเล่าให้คุณยายฟังอยู่ครั้งหนึ่ง คุณยายก็บอกว่า "ก็แค่ความฝันไม่มีอะไรหลอกลูก" หลังจากนั้นผมก็ไม่ใส่ใจกับความฝันนั้นอีก จนมาวันหนึ่งผมกับคุณยายไปทำบุญสืบชะตาที่วัดแห่งหนึ่งใกล้บ้านเพราะว่าตั้งแต่สึกออกจากวัดมาก็ไม่ค่อยจะสบายเลยป่วยบ่อยๆ เข้าๆออกโรงพยาบาลอยู่ตลอด โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า คุณยายท่านก็บอกว่า "ควรจะไปทำบุญบ้างนะลูก" เลยตั้งใจไปทำบุญกัน หลังจากรับพรจากพระเสร็จแล้ว ก็ตั้งใจจะถามหลวงพ่อท่านถึงความฝันของผม ด้วยคิดว่าท่านจะแก้ความฝันของผมได้ แล้วก็เล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านก็หลับตาแล้วพยักหน้า เหมือนจะรู้อะไรสักอย่าง สักพักท่านก็พูดว่า "นั้นเป็นจิตของเราที่ยังคงมีความทรงจำในช่วงหนึ่งที่วิญญาณได้ล่องลอยออกจากร่างไปแล้ว อยู่ในภพหนึ่งหลังจากที่ตายไปแล้ว ที่เห็นพระหรือเณรเป็นตัวเองนั้นก็หมายถึง ชาติก่อนหน้าที่จะมาเกิดนี้เป็นพระหรือเณรมาก่อนหรือชาติที่จะมาเกิดใหม่นี้จะได้บวชเป็นพระเป็นเณรนั้นเอง หมายถึงว่า เรามีบุญได้บวชในพระพุทธศาสนาเมื่ออดีตชาติแล้วมรณะภาพในสมณะเพศหรืออาจจะหมายถึงชาตินี้เราจะมีบุญได้บวชไนพระพุทธศาสนา" ผมก็ตอบกลับหลวงพ่อท่านไปว่า "ผมเคยบวชแล้วคับ บวชเณร 4 พรรษา บวชพระอีก 1 พรรษา คับ" หลวงพ่อท่านตอบกลับมาว่า "กรรมของโยมกับผ้าเหลืองยังไม่หมดสิ้นกันเท่านี้ดอก ถ้ามีโอกาสก็บวชเสียเถิด ชะตาของโยมอาจจะต้องชวชตลอดชีวิตหรือไม่ก็ตายคาผ้าเหลืองนั้นแหละ" ฟังหลวงพ่อพูดจบก็กราบลาท่านกลับบ้าน นั่งคิดเรื่องนี้อยู่นานว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านบอกคือความจริงหรือไม่ หากแม้ว่าเป็นความทรงจำแต่อดีตกาลก่อนมา ทำไมถึงจำไม่ได้ว่า ชาติที่แล้วเราเป็นใคร??? ตายยังไง แล้วมาเกิดเป็นเราได้ชาตินี้ได้ยังไง และอาการเจ็บป่วยทั้งหลายนี้เป็นผลมาจากกรรมเก่าในอดีตชาติจริงหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้มาจนถึงวันนี้...