งานบรรพชาเป็นสามเณรของผมไม่มีอะไรมาก มหรสพการแสดงไม่ต้องพูดถึง เพราะแค่ค่าซื้อบริขารเครื่องใช้สำหรับลูกเณร แม่ท่านก็ลำบากเก็บผักบุ้งและหาปลาในท้องนามาขายเก็บหอมรอมริบอยู่นาน หรือแม้แต่บาตรก็อาศัยบาตรเก่าๆ ของวัดมาขัดสนิมแล้วลงสีให้ดูใหม่ ที่ผมดีใจและตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นรองเท้าแตะใหม่คู่แรกในชีวิต ตั้งแต่จำความได้ เท้าผมติดพื้นดินโดยไม่มีอะไรกั้นกลางมาตลอด ตะปู เศษแก้วและหนาม เท้าผมล้วนผ่านมาหมด รองเท้าคู่แรกคู่นั้นผมยังจำมันได้ดีแม้จะผ่านมาเกือบสี่สิบปีแล้วก็ตาม เป็นคู่เล็กๆ สำหรับเด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ อายุสิบสองขวบคนหนึ่ง เป็นสีที่ผมโปรดคือสีฟ้าซะด้วย จำได้ว่าใส่มันอยู่เกือบสามพรรษาจนเท้าโตกว่าขนาดรองเท้า โยมแม่ถึงซื้อคู่ใหม่ถวายในพรรษาที่สี่
เพราะต้องรอแม่เก็บหอมรอมริบหาเงินซื้อบริขารเครื่องใช้ให้ครบก่อน ระยะเวลาการ “อยู่นาค” ห่มขาวในวัดของผมจึงยาวนานกว่าปรกติ คือผมอยู่ในวัดเป็นนาคถือศีลแปดอยู่สามเดือนกว่าๆ ท่องบทขอบรรพชาจนขึ้นใจ(จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังท่องได้) วัดประจำหมู่บ้านก็เป็นวัดบ้านนอกเป็นวัดเล็ก เอาแค่ "คณะ" แต่ละคณะของวัดในกรุงเทพฯ นั้น ใหญ่กว่าวัดหลายสิบเท่า ไม่มีพระอุโบสถอาศัยก้อนหินในบริเวณนั้นกำหนดเป็นหลักเขตพัทธสีมา มีศาลาการเปรียญไม้เก่าๆ และกุฏิเล็กๆ สองหลัง
นอกจากเงินค่าใช้จ่ายซื้อบริขารและถวายพระแล้ว เงินอีกจำนวนหนึ่งที่แม่ต้องลำบากหยิบยืมญาติมาใช้จ่ายเป็นค่ารถเดินทางไปบวชที่วัดของพระอุปปัชฌาย์จำนวนสองร้อยห้าสิบบาท ที่ต้องหยิบยืมเพราะฤดูกาลเข้าพรรษางวดใกล้เข้ามา เกรงว่าจะหาเงินไม่ทันให้ผมบวชก่อนเข้าพรรษา และนั่นเป็นการได้นั่งรถในระยะทางที่ไกลที่สุดครั้งแรกในชีวิต (หมู่บ้านผมอยูไกลจากทางรถ นานๆ รถจะเข้าหมู่บ้านที พวกเด็กๆ อย่างพวกผมพากันวิ่งแห่ไปดูและห้อยโหนเกาะท้ายรถอย่างดีใจ) การได้นั่งรถอย่างแบบจริงๆ จังๆ จึงเป็นประสบการณ์น่าตื้นเต้นมากสำหรับเด็กบ้านนอกผม
วันนั้นแม่และพี่สาวทั้งสี่คนของผมร้องไห้ตาบวมเกือบทั้งวัน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพี่ชายผมทั้งห้าคนและน้องชายอีกคนไม่มีใครได้บวชเลย แม่เคยขอร้องให้ทุกคนบวชให้ท่าน ทุกคนปฏิเสธหมด ยิ่งต่อมาพี่ชายคนโตสุดและรองลงต้องติดคุกด้วยข้อห้าชิงทรัพย์ แม่ยิ่งเสียใจหนัก....หลังจากที่ผมผลัดผ้าจากผ้าขาวแล้วมาห่มผ้าเหลืองแทนแล้ว แม่จ้องผมแทบไม่กระพริบตา ท่านก้มกราบผมพร้อมน้ำตา....สะอื้นพลางกล่าวพลางว่า ชาตินี้คิดว่าจะไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองลูกชายเสียแล้ว เห็นน้ำตาแม่....ก็สะอึกจุกขึ้นมาที่ลำคอ ภาพนั้นเป็นภาพที่ติดตามาถึงทุกวันนี้และเป็นภาพที่ผมภูมิใจที่สุดในชีวิต
พรรษาแรกที่บวชแทบจะเรียกได้ว่าเป็นห้วงเวลาแห่งการเรียนรู้วิถีแห่งสมณะ เริ่มต้นง่ายๆ เช่นว่าการเลิกใช้คำพูด “กรู” และ “เมิง” ทั้งหมดไม่ว่ากับผู้ใหญ่หรือเด็กๆ ทางภาคอีสานทั่วๆไป จะเรียกตัวเองว่า “ข่อย” เรียกคนอื่นว่า “เจ้า" เรียกคนตามเพศเช่นผู้ชายเรียกว่า “พ่อออก” ผู้หญิงเรียก “แม่ออก” (ผมบวชเป็นสามเณรอยู่เกือบสิบพรรษา สิกขาลาเพศออกมายังไม่ถนัดใช้คำว่ากรูเมิงเลย ได้ยินทีก็สะดุ้งอยู่บ่อยๆ พูดรวมๆ ก็คือการที่ต้องพยายาม ระมัดระวัง กาย วาจา และใจนั่นเอง)
ในพรรษานั้น ที่วัดมีสามเณรเพียงสองรูปคือส่วนพระอีกสี่รูป ผมกับสามเณรอีกรูปต้องกลางมุ้งนอนบนศาลากันเพราะกุฏิสองหลังเป็นหลังเล็กๆ เอง กิจวัตรหลักๆ ของสามเณรก็คือตื่นตีสี่ จัดเตรียมอาสนะบนศาลาให้พระท่านมานั่งทำวัตรเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงตีห้ากว่าๆ จากนั้นก็จะนั่งสมาธิถึงหกโมงเช้า ทำวัตรเช้าเสร็จก็ต้มน้ำร้อนหรือบางวันก็น้ำมะตูมถวายพระหลังจากกวาดวิหารลานเจดีย์เสร็จ จากนั้นก็ตระเตรียมบาตรแล้วออกบิณฑบาตรในหมู่บ้าน
ในพรรษาแรก ผมทำเรื่องขายหน้าอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือว้นแรกที่ออกบิณฑบาตรเลยคือทำบาตรหล่นตกพื้น คงจะด้วยสรีระที่เล็กบวกกับบาตรเริ่มหนักขึ้นๆ ....เนื้อบาตรเป็นเหล็กเจอความร้อนของข้าวที่พึ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ ก้นบาตรที่อุ้มก็ร้อนตาม ยิ่งตอนเปิดฝาบาตรก็ต้องยกก้นบาตรมือเดียว...ทนร้อนไม่ไหวปล่อยบาตรหล่นตกพื้นต่อหน้าโยมเลย วันถัดมา...หลวงพ่อเจ้าอาวาสหา “ปลอกบาตร” เก่ามาให้หุ้มบาตร ค่อยยังชั่วขึ้นมา ส่วนเรื่องที่สองคือวันถัดมาทำฝาบาตรหล่นพื้น คราวนี้ไม่ใช่ความร้อนอะไร แต่เป็นเพราะผ้าจีวรที่ครองอยู่กำลังจะหลุดจากบ่า ปลายผ้าจีวรที่ฟั่นเป็น “ลูกบวบ” แล้วหนีบเอาไว้นั่นเริ่มหลวมกำลังจะหลุดจากบ่าขณะเปิดฝาบาตร ตอนนั้นต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างปล่อยให้ผ้าจีวรหลุด(เสี่ยงต่อการหลุดไปกองกับพื้นมาก เพราะครองจีวรไม่ถนัด)กับปล่อยฝาบาตรลงพื้นแล้วไปกระชับผ้าจีวร
ประสบการณ์เก้าฝน “...ไร้เดียงสา พรรษาแรก...”
เพราะต้องรอแม่เก็บหอมรอมริบหาเงินซื้อบริขารเครื่องใช้ให้ครบก่อน ระยะเวลาการ “อยู่นาค” ห่มขาวในวัดของผมจึงยาวนานกว่าปรกติ คือผมอยู่ในวัดเป็นนาคถือศีลแปดอยู่สามเดือนกว่าๆ ท่องบทขอบรรพชาจนขึ้นใจ(จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังท่องได้) วัดประจำหมู่บ้านก็เป็นวัดบ้านนอกเป็นวัดเล็ก เอาแค่ "คณะ" แต่ละคณะของวัดในกรุงเทพฯ นั้น ใหญ่กว่าวัดหลายสิบเท่า ไม่มีพระอุโบสถอาศัยก้อนหินในบริเวณนั้นกำหนดเป็นหลักเขตพัทธสีมา มีศาลาการเปรียญไม้เก่าๆ และกุฏิเล็กๆ สองหลัง
นอกจากเงินค่าใช้จ่ายซื้อบริขารและถวายพระแล้ว เงินอีกจำนวนหนึ่งที่แม่ต้องลำบากหยิบยืมญาติมาใช้จ่ายเป็นค่ารถเดินทางไปบวชที่วัดของพระอุปปัชฌาย์จำนวนสองร้อยห้าสิบบาท ที่ต้องหยิบยืมเพราะฤดูกาลเข้าพรรษางวดใกล้เข้ามา เกรงว่าจะหาเงินไม่ทันให้ผมบวชก่อนเข้าพรรษา และนั่นเป็นการได้นั่งรถในระยะทางที่ไกลที่สุดครั้งแรกในชีวิต (หมู่บ้านผมอยูไกลจากทางรถ นานๆ รถจะเข้าหมู่บ้านที พวกเด็กๆ อย่างพวกผมพากันวิ่งแห่ไปดูและห้อยโหนเกาะท้ายรถอย่างดีใจ) การได้นั่งรถอย่างแบบจริงๆ จังๆ จึงเป็นประสบการณ์น่าตื้นเต้นมากสำหรับเด็กบ้านนอกผม
วันนั้นแม่และพี่สาวทั้งสี่คนของผมร้องไห้ตาบวมเกือบทั้งวัน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพี่ชายผมทั้งห้าคนและน้องชายอีกคนไม่มีใครได้บวชเลย แม่เคยขอร้องให้ทุกคนบวชให้ท่าน ทุกคนปฏิเสธหมด ยิ่งต่อมาพี่ชายคนโตสุดและรองลงต้องติดคุกด้วยข้อห้าชิงทรัพย์ แม่ยิ่งเสียใจหนัก....หลังจากที่ผมผลัดผ้าจากผ้าขาวแล้วมาห่มผ้าเหลืองแทนแล้ว แม่จ้องผมแทบไม่กระพริบตา ท่านก้มกราบผมพร้อมน้ำตา....สะอื้นพลางกล่าวพลางว่า ชาตินี้คิดว่าจะไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองลูกชายเสียแล้ว เห็นน้ำตาแม่....ก็สะอึกจุกขึ้นมาที่ลำคอ ภาพนั้นเป็นภาพที่ติดตามาถึงทุกวันนี้และเป็นภาพที่ผมภูมิใจที่สุดในชีวิต
พรรษาแรกที่บวชแทบจะเรียกได้ว่าเป็นห้วงเวลาแห่งการเรียนรู้วิถีแห่งสมณะ เริ่มต้นง่ายๆ เช่นว่าการเลิกใช้คำพูด “กรู” และ “เมิง” ทั้งหมดไม่ว่ากับผู้ใหญ่หรือเด็กๆ ทางภาคอีสานทั่วๆไป จะเรียกตัวเองว่า “ข่อย” เรียกคนอื่นว่า “เจ้า" เรียกคนตามเพศเช่นผู้ชายเรียกว่า “พ่อออก” ผู้หญิงเรียก “แม่ออก” (ผมบวชเป็นสามเณรอยู่เกือบสิบพรรษา สิกขาลาเพศออกมายังไม่ถนัดใช้คำว่ากรูเมิงเลย ได้ยินทีก็สะดุ้งอยู่บ่อยๆ พูดรวมๆ ก็คือการที่ต้องพยายาม ระมัดระวัง กาย วาจา และใจนั่นเอง)
ในพรรษานั้น ที่วัดมีสามเณรเพียงสองรูปคือส่วนพระอีกสี่รูป ผมกับสามเณรอีกรูปต้องกลางมุ้งนอนบนศาลากันเพราะกุฏิสองหลังเป็นหลังเล็กๆ เอง กิจวัตรหลักๆ ของสามเณรก็คือตื่นตีสี่ จัดเตรียมอาสนะบนศาลาให้พระท่านมานั่งทำวัตรเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงตีห้ากว่าๆ จากนั้นก็จะนั่งสมาธิถึงหกโมงเช้า ทำวัตรเช้าเสร็จก็ต้มน้ำร้อนหรือบางวันก็น้ำมะตูมถวายพระหลังจากกวาดวิหารลานเจดีย์เสร็จ จากนั้นก็ตระเตรียมบาตรแล้วออกบิณฑบาตรในหมู่บ้าน
ในพรรษาแรก ผมทำเรื่องขายหน้าอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือว้นแรกที่ออกบิณฑบาตรเลยคือทำบาตรหล่นตกพื้น คงจะด้วยสรีระที่เล็กบวกกับบาตรเริ่มหนักขึ้นๆ ....เนื้อบาตรเป็นเหล็กเจอความร้อนของข้าวที่พึ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ ก้นบาตรที่อุ้มก็ร้อนตาม ยิ่งตอนเปิดฝาบาตรก็ต้องยกก้นบาตรมือเดียว...ทนร้อนไม่ไหวปล่อยบาตรหล่นตกพื้นต่อหน้าโยมเลย วันถัดมา...หลวงพ่อเจ้าอาวาสหา “ปลอกบาตร” เก่ามาให้หุ้มบาตร ค่อยยังชั่วขึ้นมา ส่วนเรื่องที่สองคือวันถัดมาทำฝาบาตรหล่นพื้น คราวนี้ไม่ใช่ความร้อนอะไร แต่เป็นเพราะผ้าจีวรที่ครองอยู่กำลังจะหลุดจากบ่า ปลายผ้าจีวรที่ฟั่นเป็น “ลูกบวบ” แล้วหนีบเอาไว้นั่นเริ่มหลวมกำลังจะหลุดจากบ่าขณะเปิดฝาบาตร ตอนนั้นต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างปล่อยให้ผ้าจีวรหลุด(เสี่ยงต่อการหลุดไปกองกับพื้นมาก เพราะครองจีวรไม่ถนัด)กับปล่อยฝาบาตรลงพื้นแล้วไปกระชับผ้าจีวร