"กฎบัตรแมกนา คาร์ตา" "ความเท่าเทียม" VS. "Natural Selection"


803 ปีของการลงนามในกฎบัตรแมกนา คาร์ตา (15 มกราคม ค.ศ. 1215) ที่รันนีมีด (Runnymede) ทางตอนล่างของอังกฤษ ซึ่ง ‘แมกนา คาร์ตา’ เป็นข้อตกลงระหว่างกลุ่มขุนนางและกษัตริย์ ที่ว่ากษัตริย์ และข้าราชบริพารของพระองค์จะปกครองประเทศอย่างไร? กฎบัตรนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมการเมืองและกฎหมายของสหราชอาณาจักร รวมทั้งอีกหลายๆ ประเทศ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาด้วย


Magna Carta Monument at Runnymede


‘แมกนา คาร์ตา’ ถูกร่างขึ้นเพื่อแก้วิกฤติระหว่างพระเจ้าจอห์นและขุนนางของพระองค์ เมื่อปี ค.ศ.1215 โดยคณะบาทหลวง ขุนนาง และพลเมืองชั้นนำ ต่อมาได้รับการการขัดเกลาแก้ไขในปี ค.ศ. 1216 และอีกครั้งในปี ค.ศ.1225

ปัจจุบันเนื้อหาส่วนมากได้ถูกแก้ไขใหม่แทบทั้งหมดแล้ว แต่หลักการสำคัญบางประการยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เช่น ในมาตรา 39 ที่เขียนว่า “เสรีชนจะถูกจับกุมคุมขังไม่ได้ ยกเว้นโดยการตัดสินตามกฎหมาย โดยคณะลูกขุนหรือตามกฎหมายแห่งรัฐ” และในมาตรา 40 “ห้ามขาย ห้ามปฏิเสธ หรือถ่วงสิทธิ์ส่วนบุคคลหรือความยุติธรรม”


การปกครองประเทศอังกฤษของพระเจ้าจอห์น ไม่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่สุดสองกลุ่ม คือ กลุ่มขุนนาง และกลุ่มนักบวชได้รวมกันต่อต้านพระองค์ โดยในยุคศักดินาของอังกฤษ การกบฏต่อต้านการปกครองที่ไม่ชอบของกษัตริย์ จะเป็นในลักษณะการสนับสนุนให้คู่แข่งในราชบัลลังก์ขึ้นมาครองราชย์แทน แต่เดวิด สตาร์คีย์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ชี้ว่าในช่วงนั้นพระเจ้าจอห์นไม่มีคู่แข่ง ฝ่ายกบฏจึงได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ พวกเขาไม่ได้กบฏเพื่อสนับสนุนตัวบุคคล แต่เพื่อแนวความคิด นั่นคือเพื่อปฏิรูปกฎหมายและการปกครองให้อยู่ในรูปแบบของคำปฏิญาณหรือกฎบัตร


ความสำคัญของกฎบัตรแมกนา คาร์ตา มีด้วยกันสองประการ ประการแรก กฎบัตรนี้ได้สร้างหลักนิติธรรมขึ้นในอังกฤษ เนื่องจากกฎบัตรแมกนา คาร์ตากำหนดว่ากษัตริย์และขุนนางไม่สามารถประพฤติตนตามอำเภอใจได้ เช่น การขึ้นอัตราภาษีตามใจชอบ นอกจากนี้ยังได้กำหนดว่าเสรีชนทุกคนจะต้องได้รับความยุติธรรมและมีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเสรี ประการที่สอง แมกนา คาร์ตาเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการสู่การปกครองระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตย ตัวกฎบัตรแมกนา คาร์ตาเองไม่ได้ก่อตั้งประชาธิปไตย แต่กระบวนการการมีส่วนร่วมที่ทำให้เกิดข้อตกลงนี้รวมทั้งสมมติฐานที่ว่าทุกคนต้องได้รับความยุติธรรมและความเสมอภาคตามกฎหมายได้เป็นตัวกำหนดแนวทางวัฒนธรรมทางการเมืองของอังกฤษตลอด 800 ปีหลังจากนั้น นั่นคือแนวโน้มที่จะทุกฝ่ายจะประนีประนอมเพื่อพบกันครึ่งทางอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน


มหากฎบัตร Magna Carta

หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานของการพัฒนาไปสู่ระบอบรัฐสภาที่มีบทบาทมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในโครงสร้างการปกครองของประเทศ เมื่อการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจก้าวไป (เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรม) องค์ประกอบของสภาก็ขยายมากขึ้นจนมีรูปแบบปัจจุบัน คือ มีสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป และบทบาทของสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลและรัฐสภาก็ชัดเจนขึ้นจากธรรมเนียมปฏิบัติและระเบียบแบบแผน

มหากฎบัตรได้รับการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอดยุคมืด และแก้ไขต่อในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์และราชวงศ์สจวต และต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 (พ.ศ. 2144-2343) ล่วงมาถึงช่วงแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาตราต่าง ๆ ที่มีเดิมในกฎหมายอังกฤษถูกยกเลิกหรือได้รับการปรับปรุงไปเกือบหมด

ปัจจุบันนี้เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่สมเด็จพระราชินีนาถพระราชทานพระราชอำนาจให้รัฐบาลของพระองค์ใช้ในการปกครองประเทศ หลักการแมกนา คาร์ตาจึงเกี่ยวข้องกับอำนาจการบริหารมากกว่าตัวองค์กษัตริย์หรือพระราชินี

การที่แมกนา คาร์ตา ทำให้เกิดหลักนิติธรรมเป็นการวางรากฐานให้การพัฒนาประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภาในอังกฤษและบริเตนใหญ่ ลักษณะวิวัฒนาการของกระบวนการนี้เป็นสิ่งสำคัญ ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ ดาร์วินได้อธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการไว้ในหนังสือ “กำเนิดสปีชีส์ (On the Origin of the Species)” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ในขณะที่สภาพแวดล้อมก็วิวัฒนาการไปด้วย


ชาร์ล ดาร์วิน เจ้าของ "ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ"

ผมเชื่อว่าระบบการเมืองก็เช่นกัน ระบบการเมืองควรจะสะท้อนความเชื่อมโยงกับสังคม และวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ จากการอภิปรายอย่างมีข้อมูลและสม่ำเสมอในสังคมโดยรวม ลักษณะเช่นนี้ยังคงสืบเนื่องมาถึงการเมืองปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากการลงคะแนนเสียงประชามติเรื่องการแยกตัวเป็นเอกราชของสกอตแลนด์ และประชามติที่กำลังจะมีขึ้นเรื่องสมาชิกภาพของอังกฤษในสหภาพยุโรป


มาตรา39 ในอาคารจัดแสดง Magna Carta


สำหรับประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษโดยมากแล้ว ระบบการปกครองได้ค่อยๆ วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ โดยผ่านการเจรจาและความขัดแย้งซึ่งนำไปสู่ฉันทามติและธรรมเนียมปฏิบัติของผู้มีบทบาท แม้จะมีบางช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และการปฏิวัติ แต่ก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ซึ่งก็นำไปสู่การประนีประนอมเพื่อพบกันครึ่งทาง ขณะเดียวกันก็ยังคงทำให้เกิดวิวัฒนาการขึ้น กระบวนการแมกนา คาร์ตาเองเป็นตัวอย่างที่ดี

กฎบัตรนี้เสนอโดยกลุ่มกบฏ ได้รับการแก้ไขและเสนอใหม่โดยผู้สนับสนุนกษัตริย์ ก่อนที่กษัตริย์จะนำมาบังคับใช้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งหมายความว่าทุกฝ่ายมีส่วนเป็นเจ้าของกฎบัตรนี้ในทางการเมือง และผลที่ได้ก็คือกษัตริย์และชนชั้นผู้มีสิทธิ์ทางการเมืองได้เห็นตรงกันว่าประเทศควรมีการปกครองตามหลักการบางประการ

วิวัฒนาการอีกแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่กล่าวถึงข้างต้นคือการเปลี่ยนแปลงจากบนสู่ล่าง เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นระยะๆ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นอุปสรรคต่อการสร้างฉันทามติในสังคม และต่อการสร้างความปรองดองโดยผ่านการอภิปราย ถ้ามีการนำระบบการเมืองใหม่ๆ มาใช้โดยคนกลุ่มเล็กๆ อยู่บ่อยครั้ง ประชาชนในวงกว้างก็ย่อมปราศจากแรงจูงใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการอภิปรายและในกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

การปฏิรูปที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมซึ่งเป็นผลมาจากการอภิปรายแสดงความคิดเห็นจะมีทางประสบความสำเร็จมากกว่า และสะท้อนให้เห็นความสนใจที่หลากหลายของสังคม ระบบการเมืองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่จะต้องมีการนำระบบมาใช้โดยผนวกกับการปฏิบัติทางการเมือง จารีตประเพณี และวัฒนธรรม เป็นไปไม่ได้ที่รัฐธรรมนูญจะครอบคลุมเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเพื่อควบคุมผู้มีบทบาททางการเมือง และในทางปฏิบัติก็จะมีการหาทางลบข้อจำกัดต่างๆ จึงเป็นการดีกว่าถ้าเราจะใช้เวลาปลูกฝังการศึกษาทางการเมือง และสร้างความเข้าใจในหน้าที่ของพลเมือง หน้าที่ทางการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมืองเพื่อหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม

อิทธิพลของแมกนา คาร์ตาไม่ได้จำกัดอยู่ในอังกฤษและสหราชอาณาจักรเท่านั้น ในสหรัฐอเมริกาเองแนวคิดเกี่ยวกับแมกนา คาร์ตาก็มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคำประกาศอิสรภาพ และบัญญัติสิทธิ์ (Bill of Rights) บรรดาผู้พิพากษาในศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาได้อ้างแมกนา คาร์ตาในคำพิพากษากว่า 400 ครั้ง ภาษาที่ใช้ในแมกนา คาร์ตายังได้ปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนปี ค.ศ. 1948 และนางเอลินอร์ รูสเวลท์ได้อ้างถึงแมกนา คาร์ตาอย่างชัดเจนในการประกาศใช้ปฏิญญาสากลนั้น


มาตรา40ในอาคารจัดแสดง Magna Carta


ผมเชื่อว่าหลักการที่ระบุอยู่ในแมกนา คาร์ตาเป็นหลักการสากลอย่างแท้จริง โดยสรุป แมกนา คาร์ตาวางแนวคิดเกี่ยวกับหลักนิติธรรม และกระบวนการซึ่งได้พัฒนาเป็นระบบรัฐสภา และในเวลาต่อมาเป็นระบบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม กล่าวง่ายๆ ก็คือ สังคมที่มั่นคงและประสบความสำเร็จที่สุดคือสังคมที่ปฏิบัติต่อพลเมืองอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน (หลักนิติธรรม) และคือสังคมที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม หรือมีผู้แทนร่วมในการปกครองประเทศ หลักการของแมกนา คาร์ตายังคงเหมาะสมต่อสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะในอังกฤษ และในสหราชอาณาจักร แต่ในทุกประเทศที่ต้องการมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง



ปรับปรุงจากบทความของ นายมาร์ค เคนท์ อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย

https://www.thairath.co.th/content/504696
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่