ติดตามรีวิวใหม่ๆ ก่อนใครได้ที่ : https://www.Facebook.com/23SCENES
feature film, action
เรื่อง: Inuyashiki (Shinsuke Sato, 2018)
คะแนน: 8/10
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อคุณลุงวัย 58 ปี อิจิโร่ อินุยาชิกิ ผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคร้ายและสามารถใช้ชีวิตได้อีกเพียงแค่ 3 เดือน ได้เผชิญกับเหตุระเบิดลึกลับเมื่อเขาฟื้นตัวได้ เขาพบว่าตัวเองได้กลายเป็นเครื่องจักรสมรรถนะสูง แต่ในเหตุระเบิดครั้งนั้นเขาไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ เด็กหนุ่มมัธยมปลาย ฮิโระ ชิชิกามิ ก็อยู่ที่นั่น และเขาก็ได้รับพลังความสามารถเหมือนกัน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะได้รับพลังเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ในการใช้พลังนั้นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อินุยาชิกิใช้พลังนี้เพื่อปกป้องผู้คน ส่วนชิชิกามิใช้พลังนี้เพื่อฆ่าทุกคนที่เขาไม่ชอบหน้าและคนที่คอยขัดขวางเขา ซึ่งรวมถึงผู้บริสุทธิ์ด้วย และเมื่อชิชิกามิได้เปิดสงครามกับคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ คนที่สามารถหยุดเขาได้จึงมีเพียงแค่คนที่มีความสามารถเดียวกับเขา “อิจิโร่ อินุยาชิกิ” เท่านั้น
เป็นหนังที่เล่าเรื่องสนุก แต่ช่วงองก์แรกปูเรื่องได้ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิด กว่าหนังจะมา start ติด และเริ่มดึงคนดูให้เอนจอยไปกับหนังได้ ก็เกือบๆ กลางองก์สองเลย ซึ่งพอหนังมันเล่าออกมาเป็นสองตัวละครที่ต้องพบเจอชีวิตที่แตกต่างกัน แต่หนังดันเน้นการเล่าเรื่องไปที่ ฮิโระ มากเป็นพิเศษ เลยทำให้ตัวหนังที่ว่าด้วย loser กอบกู้โลก ให้ค่าน้ำหนักที่ไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่
สำหรับฉากแอคชั่นในหนังเรื่องนี้ ถือว่า design ออกมาได้เก๋ไก๋และเท่มากๆ ถึงแม้จะแอบมีมั่วๆ ไปบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ภาพรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ไม่ผิดหวังเลย ยิ่งช่วงองก์สามนี่ บู๊กันแบบจัดเต็มจริงๆ
นักแสดงในเรื่อง แสดงออกมาได้แข็งมากๆ เราไม่สามารถรู้สึกร่วมไปกับนักแสดงในหลายๆ เหตุการณ์ได้เลย แถมแต่ละเหตุการณ์ที่เราไม่รู้สึกนี่ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ตรงนี้เลยแอบเสียดายมากๆ
ชอบแรงจูงใจของตัวละคร ฮิโระ และพาร์ท revenge มากๆ ชอบที่หนังพาเราไปสำรวจตัวละครตัวนี้ ถึงทัศนคติ ความเชื่อ ความกดดัน พร้อมทั้งตั้งคำถามถึงตัวเรา ว่าถ้าเป็นเราในสภาพนั้น เราจะเลือกทำแบบนี้ไหม ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่าหนังทำออกมาได้ดีสุดๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกเสียดายมากๆ เลยคือ พาร์ทครอบครัวของ อิจิโร่ ที่เหมือนหนังจะใช้เวลาไปกับการปูเรื่องนี้นานมากพอสมควร จนทำให้องก์แรกของหนังน่าเบื่อมากๆ ซึ่งสิ่งที่หนังเลือกปูไว้ พอมันเล่าออกมาเรื่อยๆ ยาวไปจนถึงองก์สาม สุดท้าย conflict ที่หนังสร้างก็ทำหน้าที่ของมันได้ไม่สุด ทั้งที่จริงๆ สามารถเรียกน้ำตาจากผู้ชมได้เลยแท้ๆ
หนังว่าด้วยเรื่องของจิตใจที่ไม่ว่ายังไง ต่อให้เราอยู่ในสภาวะไหน ลึกๆ เราล้วนมีความเป็นมนุษย์ทุกคน เราล้วนมีทั้งคนที่เกลียด หรือต่อให้เรารู้สึกว่าเราเกลียดคนทั้งโลก ลึกๆ มันก็จะต้องมีใครสักคน ที่เป็นคนที่สำคัญกับชีวิตของเรามากๆ คนที่เราให้คุณค่ากับเค้า และอยากจะรักษาเค้าไว้ให้มากที่สุด
ชอบที่หนังญี่ปุ่นยังคงใส่กิมมิคที่พูดถึงเรื่องของสภาพสังคมญี่ปุ่น ความกดดันจากที่ทำงาน การใช้ชีวิต ครอบครัว หรือแม้แต่การ bully กันในหมู่นักเรียน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมในโรงเรียนของญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน และไม่ได้ลดน้อยลงเลย ยังคงเป็นกิมมิคเล็กๆ ที่หนังญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องมักจะหาโอกาสหยิบยกมาพูดถึงเสมอ
โดยรวมเป็นหนังที่สนุกและดูได้เพลินๆ แต่น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถทำให้เราประทับใจได้เท่าที่เราคาดหวังไว้ เสียดายหลายๆ อย่างในหนัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ดีมากๆ เลย
[CR] Movie Review : Inuyashiki - คุณลุงไซบอร์ก [8/10]
feature film, action
เรื่อง: Inuyashiki (Shinsuke Sato, 2018)
คะแนน: 8/10
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อคุณลุงวัย 58 ปี อิจิโร่ อินุยาชิกิ ผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคร้ายและสามารถใช้ชีวิตได้อีกเพียงแค่ 3 เดือน ได้เผชิญกับเหตุระเบิดลึกลับเมื่อเขาฟื้นตัวได้ เขาพบว่าตัวเองได้กลายเป็นเครื่องจักรสมรรถนะสูง แต่ในเหตุระเบิดครั้งนั้นเขาไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ เด็กหนุ่มมัธยมปลาย ฮิโระ ชิชิกามิ ก็อยู่ที่นั่น และเขาก็ได้รับพลังความสามารถเหมือนกัน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะได้รับพลังเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ในการใช้พลังนั้นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อินุยาชิกิใช้พลังนี้เพื่อปกป้องผู้คน ส่วนชิชิกามิใช้พลังนี้เพื่อฆ่าทุกคนที่เขาไม่ชอบหน้าและคนที่คอยขัดขวางเขา ซึ่งรวมถึงผู้บริสุทธิ์ด้วย และเมื่อชิชิกามิได้เปิดสงครามกับคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ คนที่สามารถหยุดเขาได้จึงมีเพียงแค่คนที่มีความสามารถเดียวกับเขา “อิจิโร่ อินุยาชิกิ” เท่านั้น
เป็นหนังที่เล่าเรื่องสนุก แต่ช่วงองก์แรกปูเรื่องได้ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิด กว่าหนังจะมา start ติด และเริ่มดึงคนดูให้เอนจอยไปกับหนังได้ ก็เกือบๆ กลางองก์สองเลย ซึ่งพอหนังมันเล่าออกมาเป็นสองตัวละครที่ต้องพบเจอชีวิตที่แตกต่างกัน แต่หนังดันเน้นการเล่าเรื่องไปที่ ฮิโระ มากเป็นพิเศษ เลยทำให้ตัวหนังที่ว่าด้วย loser กอบกู้โลก ให้ค่าน้ำหนักที่ไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่
สำหรับฉากแอคชั่นในหนังเรื่องนี้ ถือว่า design ออกมาได้เก๋ไก๋และเท่มากๆ ถึงแม้จะแอบมีมั่วๆ ไปบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ภาพรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ไม่ผิดหวังเลย ยิ่งช่วงองก์สามนี่ บู๊กันแบบจัดเต็มจริงๆ
นักแสดงในเรื่อง แสดงออกมาได้แข็งมากๆ เราไม่สามารถรู้สึกร่วมไปกับนักแสดงในหลายๆ เหตุการณ์ได้เลย แถมแต่ละเหตุการณ์ที่เราไม่รู้สึกนี่ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ตรงนี้เลยแอบเสียดายมากๆ
ชอบแรงจูงใจของตัวละคร ฮิโระ และพาร์ท revenge มากๆ ชอบที่หนังพาเราไปสำรวจตัวละครตัวนี้ ถึงทัศนคติ ความเชื่อ ความกดดัน พร้อมทั้งตั้งคำถามถึงตัวเรา ว่าถ้าเป็นเราในสภาพนั้น เราจะเลือกทำแบบนี้ไหม ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่าหนังทำออกมาได้ดีสุดๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกเสียดายมากๆ เลยคือ พาร์ทครอบครัวของ อิจิโร่ ที่เหมือนหนังจะใช้เวลาไปกับการปูเรื่องนี้นานมากพอสมควร จนทำให้องก์แรกของหนังน่าเบื่อมากๆ ซึ่งสิ่งที่หนังเลือกปูไว้ พอมันเล่าออกมาเรื่อยๆ ยาวไปจนถึงองก์สาม สุดท้าย conflict ที่หนังสร้างก็ทำหน้าที่ของมันได้ไม่สุด ทั้งที่จริงๆ สามารถเรียกน้ำตาจากผู้ชมได้เลยแท้ๆ
หนังว่าด้วยเรื่องของจิตใจที่ไม่ว่ายังไง ต่อให้เราอยู่ในสภาวะไหน ลึกๆ เราล้วนมีความเป็นมนุษย์ทุกคน เราล้วนมีทั้งคนที่เกลียด หรือต่อให้เรารู้สึกว่าเราเกลียดคนทั้งโลก ลึกๆ มันก็จะต้องมีใครสักคน ที่เป็นคนที่สำคัญกับชีวิตของเรามากๆ คนที่เราให้คุณค่ากับเค้า และอยากจะรักษาเค้าไว้ให้มากที่สุด
ชอบที่หนังญี่ปุ่นยังคงใส่กิมมิคที่พูดถึงเรื่องของสภาพสังคมญี่ปุ่น ความกดดันจากที่ทำงาน การใช้ชีวิต ครอบครัว หรือแม้แต่การ bully กันในหมู่นักเรียน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมในโรงเรียนของญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน และไม่ได้ลดน้อยลงเลย ยังคงเป็นกิมมิคเล็กๆ ที่หนังญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องมักจะหาโอกาสหยิบยกมาพูดถึงเสมอ
โดยรวมเป็นหนังที่สนุกและดูได้เพลินๆ แต่น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถทำให้เราประทับใจได้เท่าที่เราคาดหวังไว้ เสียดายหลายๆ อย่างในหนัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ดีมากๆ เลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้