สวัสดีค่ะ พี่น้องชาวไทย ชาว pantip ทุกท่าน
เราเป็นน้องใหม่มากๆในการโพสต์กระทู้ (ปกติเข้ามาเสพอย่างเดียว หุหุ)
เลยต้องออกตัวก่อนเลยว่าหากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะคะ น้อมรับทุกความคิดเห็น คำติชม และข้อแนะนำ
คำเตือน กระทู้นี้อาจจะยาวไปหน่อย น่าจะไม่มีคนอ่าน แต่ก็ถือว่า ได้มาระบายความในใจให้คนอื่นๆได้ผ่านตาก็แล้วกัน (ฮา)
ตามชื่อกระทู้ จะมาพูดถึงว่า ไอ้การคอรัปชั่นเนี่ย มันจะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทยจริงๆหรอ (เซ็ง)
แล้วเราก็แอบให้คำตอบกับตัวเองไปแล้วค่ะ ว่า...มันคงไม่มีวันนั้น
เพราะอะไรน่ะหรอ ทำไมถึงตอบตัวเองให้ดูสิ้นหวังจัง?
ตอบเลยก็เพราะว่ามัน คือโลกแห่งความจริงไงล่ะ
เพราะเรื่องที่ประสบพบเจอมานี้ ไม่ได้เอามาจากการเสพสื่อข่าว ไม่ได้เอามาจากการคิดวิเคราะห์ของใคร
แต่เป็นเรื่องจริงที่เราได้เจอมาจริงๆ
ตัวเราเอง จขกท. ก็เป็นแค่ประชาชนธรรมดาเดินดินคนหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้ความสามารถอะไร
แถมยังเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ได้อยากรู้เรื่องใคร ไม่ได้จ้องจับผิดอะไร
เป็นแค่คนๆหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสกลับมาอยู่บ้านเกิด
ที่เคยคิดวาดฝันไว้ว่า บ้านเกิดชนบทของเรา จะสงบ น่าอยู่ มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ มีเพื่อนบ้านที่ดีมีน้ำใจ
แต่เรื่องจริงมันโหดร้ายกว่านั้นเยอะ
คือมาอยู่ได้ปีแรก
คนข้างบ้านก็มาขอเจรจากับเราค่ะ ว่าจะขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่อยู่อาศัยที่อยู่ติดกับบ้านเรา ให้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร
และให้คำมั่นสัญญากับเราว่า จะไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น
ผ่านไป 2 ปี สัญญาเริ่มไม่เป็นสัญญา
เริ่มมีการใช้สารเคมีอันตรายอย่างยาฆ่าหญ้า มาฉีดพ่นให้เรานอนดม เพราะห้องนอนเรา ติดอยู่กับที่ดินของอีกฝ่ายพอดี
หมดกันความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของฉัน (น้องหมาเราตายเพราะยาฆ่าหญ้านี้ไป 3 ตัว)
นอนเปิดหน้าต่างรับลมจากแม่น้ำปิงอยู่ดีๆ ก็ต้องสูดสารเคมีอันตรายเข้าไป
เลยมีการโต้แย้งกันเกิดขึ้น ทางเราเลยไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เผื่อว่าต้องใช้ดำเนินคดี
และเริ่มกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จากผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และจบลงที่ อบต. โดยหลักที่เจ้าหน้าที่ ที่มาไกล่เกลี่ยใช้คือ ต้องอยู่ร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย ลงเอยที่เราต้องยอมให้เขาฉีดยาต่อไป โดยให้เว้นระยะห่างจากบ้านเราประมาณ 2.5 เมตร ตลอดแนวรั้วบ้าน
ซึ่ง...ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยในความเป็นจริง
- ทั้งๆที่การฉีดสารเคมีนั้น ทำในชุมชนที่เป็นเขตพื้นที่ที่เป็นที่ใช้อยู่อาศัย มีบ้านเรือนอยู่เรียงรายเต็มตลอดริมแม่น้ำ
- แถมยังติดแม่น้ำปิงด้วย ห่างกันไม่ถึง 100 เมตร
- ซึ่งบางหมู่บ้าน ใช้น้ำในแม่น้ำปิงทำน้ำประปาเพื่ออุปโภค บริโภค (สะพรึง!)
- ส่วนด้านหลังก็ติดคลองชลประทาน ที่ชาวบ้านปลายน้ำใช้ในการปลูกข้าวไร้สารพิษ!!! (สะพรึง!!)
แต่...เจ้าหน้าที่รัฐที่มาไกลเกลี่ยบอกว่าสามารถทำได้! (หรอ?)
เอาจริงๆนะ เด็กประถมที่เรียน ส.ป.ช.(เดี๋ยวนี้ยังมีวิชานี้อยู่ไหม?) วิทยาศาสตร์ ยังรู้เลยว่ามันไม่ควรทำได้
อ่ะ! พูดมาตั้งนานแล้วมันเกี่ยวกับคอรัปชั่นอย่างไร
... เกี่ยวตรงที่ ต่อมาไม่นานผู้ใหญ่บ้านมีประกาศในที่ประชุม ว่าจะทำการฉีดยาฆ่าหญ้ารอบหมู่บ้าน (ที่ติดแม่น้ำ ลำคลองนั่นแหละ ไม่ต้องสงสัยค่ะ)
โดยใช้งบประมาณด้านการพัฒนาชุมชนในการจัดซื้อสารเคมีดังกล่าว จากที่แต่เดิมการพัฒนาชุมชน จะเป็นการให้ชาวบ้านออกไปร่วมกันถางหญ้ากวาดถนน ใครมีเครื่องตัดหญ้าก็ออกไปตัด ป้าๆน้าๆก็เดินตามกวาดเศษหญ้า ใครไม่มีแรงทำ ก็คอยบริการด้านอาหารการกิน มันไม่มีอีกแล้วสินะภาพเหล่านั้น (เศร้า)
พอฟังไปฟังมา ก็บ้านผู้ใหญ่บ้านเองนั่นแหละค่ะ เป็นคนจำหน่ายยาฆ่าหญ้า สารเคมีทางการเกษตร ปุ๋ยเคมีให้คนในชุมชน (อ่าว...เขาไม่ได้รณรงค์ให้ทำเกษตรอินทรีย์กันหรอ?) ถือเป็นการหมุนเวียนงบประมาณชุมชน จากมือผู้ใหญ่บ้านสู่มือผู้ใหญ่บ้านหรือเปล่านะ(???)
แหม เอื้อเฟื้อ...กันจริงๆ
เลยอดสงสัยไม่ได้ค่ะ ว่าที่ให้ฉีดพ่นสารเคมีในพื้นที่อยู่อาศัยในชุมชนได้เนี่ย เพื่อการนี้เลยหรือเปล่าคะ (?)
เพราะพบว่ามีอีก 2-3 หมู่บ้านใกล้เคียง ก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน ( ตำบลเรา อยู่ติดตลอดริมฝั่งแม่น้ำปิง ทุกหมูบ้าน )
ต่อมา... สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมงานผู้ใหญ่บ้านนี่แหละค่ะ เป็นคนดูแลรับผิดชอบดูแลโครงการอบรมเกษตรกรรายย่อย ที่มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี (แต่ผู้ใหญ่บ้านขายสารเคมีให้คนในชุมชนนะ)
โดยมีวิทยากรจากเกษตรจังหวัดมาบรรยาย (แม่ของ จขกท .ไปร่วมอบรมด้วย)
ซึ่งก็เป็นโครงการที่ดีนะคะ (ฟังจากที่แม่มาเล่า) ได้ความรู้ ได้แรงบันดาลใจในการปลูกผักเยอะเลย
แต่ แต่ แต่....การอบรมนี้ มีเบี้ยเลี้ยงให้กับผู้เข้าร่วมอบรมด้วย
โดยวิทยากรที่มาจากเกษตรจังหวัดเป็นคนแจ้งว่า ได้เบี้ยเลี้ยงนะจ๊ะ วันละ 200 บาท อบรม 3 วัน ได้ 600 บาทจ้า
แต่...วันรับจริง เหลือแค่ 450 บาท อ่าว... หายไปไหน 150 บาท ล่องหนหรอ ฮ่าๆๆๆ
พอแม่ไปถามเพื่อนที่อยู่ตำบลอื่น เขาก็ได้รับวันละ 200 บาทตามที่แจ้งมานะคะ
เอ๋~ งั้นของหมู่บ้านเราหายไปไหน ฮ่าๆๆๆ
คือไม่ได้อยากได้เงินทองอะไรหรอกนะคะ แม่เราไปอบรมได้ความรู้มาก็ดีใจมากแล้ว
เพียงแต่คิดว่า เล็กๆน้อยๆก็เอาหรอ มันนควรหมดไปสักทีได้ไหม
พอถามไป ถามมา แม่บอกว่าเขาก็หักไปตลอดแหละ ทีมงานผู้ใหญ่บ้านชุดนี้
ตอนที่น้ำท่วมใหญ่ ได้เงินชดเชยทางการเกษตรมารายละ 3000 บาท
เขาก็หักออกรายละ 100 บาท เพื่อเอาไปซื้อคอมพิวเตอร์ให้กับเกษตรจังหวัด(???)
แต่ก็ไม่มีใครเห็นการรับมอบ ไม่มีใครเห็นว่าซื้อจริงไหม ไม่มีการมาชี้แจงใดๆหลังหักเงินชาวบ้านไป
100 บาท อาจจะไม่มากสำหรับเรานะ แต่ชาวบ้านบางคนเขาไม่มีจริงๆ 100 บาท สำหรับเขาก็อยู่ได้หลายวันเลยนะ
เวลามีโครงการช่วยเหลือชาวบ้าน น้ำท่วม ภัยแล้ง แจ้งทำสมุดเกษตร ต้องใช้เอกสารใดๆ
ทางทีมงานผู้ใหญ่บ้าน ก็จะนำเอกสารราชการออกมาจำหน่ายในราคาแผ่นละ 2 บาท
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เอกสาร 5-6 แผ่นได้มั้ง ขายชุดละ 20 บาท บอกว่ารวมค่ามือในการกรอกข้อมูลให้ด้วย
มันก็ไม่มากมายหรอกค่ะ แต่แค่คิดว่า เมื่อเป็นข้าราชการ ไม่ได้ต้องดูแลประชาชนหรอกหรอ(???)
คุณก็ไปในเมืองทุกวันอยู่แล้ว ร้านถ่ายเอกสารก็อยู่หน้าโรงเรียนที่คุณต้องไปรับลูก ถ่ายมาให้ชาวบ้านไม่ได้หรอคะแค่แผ่นละ 50 สตางค์เอง
ตัว จขกท.เอง เคยบอกแม่ว่า ขอเสนอตัวไปเป็นคนจัดเตรียมเองสารให้พวกชาวบ้านได้ไหม
ถ้าบอกมาเนิ่นๆหนูเขียนข้อมูลให้ด้วย ไม่คิดเงิน แม่บอกว่าอย่าเลย เดี๋ยวมีปัญหา นั่นผลประโยชน์ของเค้า อืมมมม...(เศร้า)
บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับการที่อะไรๆรัฐก็จ่ายเงินชดเชย ทำไร่ ทำนา ดีหรือไม่ดีก็ได้เงินชดเชย แก้อะไรที่ปลายเหตุ
แต่ก็นะ...ในเมื่อมันเป็นเงินเพื่อให้ประชาชนแล้ว คุณๆ ผู้เป็นข้าราชการ มีหน้าที่ดูแลประชาชน ก็ไม่มีสิทธิมาเบียดบังเอาไปนะคะ
ไปดูงาน ท่องเที่ยวทั่วไทยก็เช่นกัน อบต.ใช้งบในการไปดูงานเท่าไหร่
ผลที่ได้ออกมาสะท้อนให้เห็นว่าการไปดูงานเหล่านั้น ทำให้ชุมชนเจริญขึ้น (อยู่ตรงไหน?) อย่างไร
คนที่ไปดูงานมาก็กลับมาซื้อปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้าไปฉีดไร่ นา สวน เช่นเดิม
คนในชุมชนก็ไม่เคยรู้ถึงพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตรเหมือนเดิม
จะเป็นไปได้ไหมที่งบดูงานที่หมดไปนั้นจะมีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ
ขอให้คนที่ไปดูงานกลับมา เป็นอาสาสมัครในการทำไร่ นา สวน อินทรีย์ ให้เป็นตัวอย่างกับชุมชนได้ไหม
ไม่ใช่ไปแล้วเที่ยวกลับมาก็ทำเหมือนเดิม ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆเลย
งบดูงานที่ว่า เพื่อการใดกันแน่ ไปดูงานมา หรือ.....พาไป เพื่อสิ่งใด
ผลประโยชน์นั้นตอบแทนเพื่อชุมชน หรือเพื่อตัวบุคคลใด(???)
มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆนะคะ ระดับรากหญ้าเลยก็ว่าได้
แต่พอคิดกลับกันว่า ถ้าทุจริตมันซึมลึกลงมาขนาดนี้แล้ว มันจะหมดไปได้จริงๆหรือ ???
คอรัปชั่น คือการทุจริตโดยใช้หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่อำนาจและอิทธิพลที่ตนมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ระบายความในใจ เป็นเพียงความคิดและมุมมองส่วนตัวนะคะ
และขอบคุณผู้ที่หลงเข้ามาอ่านทุกท่านค่ะ ฮ่าๆๆๆ
คอรัปชั่น/ฉ้อราษฎร์บังหลวง มันไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย (???)
เราเป็นน้องใหม่มากๆในการโพสต์กระทู้ (ปกติเข้ามาเสพอย่างเดียว หุหุ)
เลยต้องออกตัวก่อนเลยว่าหากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะคะ น้อมรับทุกความคิดเห็น คำติชม และข้อแนะนำ
คำเตือน กระทู้นี้อาจจะยาวไปหน่อย น่าจะไม่มีคนอ่าน แต่ก็ถือว่า ได้มาระบายความในใจให้คนอื่นๆได้ผ่านตาก็แล้วกัน (ฮา)
ตามชื่อกระทู้ จะมาพูดถึงว่า ไอ้การคอรัปชั่นเนี่ย มันจะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทยจริงๆหรอ (เซ็ง)
แล้วเราก็แอบให้คำตอบกับตัวเองไปแล้วค่ะ ว่า...มันคงไม่มีวันนั้น
เพราะอะไรน่ะหรอ ทำไมถึงตอบตัวเองให้ดูสิ้นหวังจัง?
ตอบเลยก็เพราะว่ามัน คือโลกแห่งความจริงไงล่ะ
เพราะเรื่องที่ประสบพบเจอมานี้ ไม่ได้เอามาจากการเสพสื่อข่าว ไม่ได้เอามาจากการคิดวิเคราะห์ของใคร
แต่เป็นเรื่องจริงที่เราได้เจอมาจริงๆ
ตัวเราเอง จขกท. ก็เป็นแค่ประชาชนธรรมดาเดินดินคนหนึ่ง ไม่ได้มีความรู้ความสามารถอะไร
แถมยังเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ได้อยากรู้เรื่องใคร ไม่ได้จ้องจับผิดอะไร
เป็นแค่คนๆหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสกลับมาอยู่บ้านเกิด
ที่เคยคิดวาดฝันไว้ว่า บ้านเกิดชนบทของเรา จะสงบ น่าอยู่ มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ มีเพื่อนบ้านที่ดีมีน้ำใจ
แต่เรื่องจริงมันโหดร้ายกว่านั้นเยอะ
คือมาอยู่ได้ปีแรก
คนข้างบ้านก็มาขอเจรจากับเราค่ะ ว่าจะขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่อยู่อาศัยที่อยู่ติดกับบ้านเรา ให้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร
และให้คำมั่นสัญญากับเราว่า จะไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น
ผ่านไป 2 ปี สัญญาเริ่มไม่เป็นสัญญา
เริ่มมีการใช้สารเคมีอันตรายอย่างยาฆ่าหญ้า มาฉีดพ่นให้เรานอนดม เพราะห้องนอนเรา ติดอยู่กับที่ดินของอีกฝ่ายพอดี
หมดกันความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของฉัน (น้องหมาเราตายเพราะยาฆ่าหญ้านี้ไป 3 ตัว)
นอนเปิดหน้าต่างรับลมจากแม่น้ำปิงอยู่ดีๆ ก็ต้องสูดสารเคมีอันตรายเข้าไป
เลยมีการโต้แย้งกันเกิดขึ้น ทางเราเลยไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เผื่อว่าต้องใช้ดำเนินคดี
และเริ่มกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จากผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และจบลงที่ อบต. โดยหลักที่เจ้าหน้าที่ ที่มาไกล่เกลี่ยใช้คือ ต้องอยู่ร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย ลงเอยที่เราต้องยอมให้เขาฉีดยาต่อไป โดยให้เว้นระยะห่างจากบ้านเราประมาณ 2.5 เมตร ตลอดแนวรั้วบ้าน
ซึ่ง...ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยในความเป็นจริง
- ทั้งๆที่การฉีดสารเคมีนั้น ทำในชุมชนที่เป็นเขตพื้นที่ที่เป็นที่ใช้อยู่อาศัย มีบ้านเรือนอยู่เรียงรายเต็มตลอดริมแม่น้ำ
- แถมยังติดแม่น้ำปิงด้วย ห่างกันไม่ถึง 100 เมตร
- ซึ่งบางหมู่บ้าน ใช้น้ำในแม่น้ำปิงทำน้ำประปาเพื่ออุปโภค บริโภค (สะพรึง!)
- ส่วนด้านหลังก็ติดคลองชลประทาน ที่ชาวบ้านปลายน้ำใช้ในการปลูกข้าวไร้สารพิษ!!! (สะพรึง!!)
แต่...เจ้าหน้าที่รัฐที่มาไกลเกลี่ยบอกว่าสามารถทำได้! (หรอ?)
เอาจริงๆนะ เด็กประถมที่เรียน ส.ป.ช.(เดี๋ยวนี้ยังมีวิชานี้อยู่ไหม?) วิทยาศาสตร์ ยังรู้เลยว่ามันไม่ควรทำได้
อ่ะ! พูดมาตั้งนานแล้วมันเกี่ยวกับคอรัปชั่นอย่างไร
... เกี่ยวตรงที่ ต่อมาไม่นานผู้ใหญ่บ้านมีประกาศในที่ประชุม ว่าจะทำการฉีดยาฆ่าหญ้ารอบหมู่บ้าน (ที่ติดแม่น้ำ ลำคลองนั่นแหละ ไม่ต้องสงสัยค่ะ)
โดยใช้งบประมาณด้านการพัฒนาชุมชนในการจัดซื้อสารเคมีดังกล่าว จากที่แต่เดิมการพัฒนาชุมชน จะเป็นการให้ชาวบ้านออกไปร่วมกันถางหญ้ากวาดถนน ใครมีเครื่องตัดหญ้าก็ออกไปตัด ป้าๆน้าๆก็เดินตามกวาดเศษหญ้า ใครไม่มีแรงทำ ก็คอยบริการด้านอาหารการกิน มันไม่มีอีกแล้วสินะภาพเหล่านั้น (เศร้า)
พอฟังไปฟังมา ก็บ้านผู้ใหญ่บ้านเองนั่นแหละค่ะ เป็นคนจำหน่ายยาฆ่าหญ้า สารเคมีทางการเกษตร ปุ๋ยเคมีให้คนในชุมชน (อ่าว...เขาไม่ได้รณรงค์ให้ทำเกษตรอินทรีย์กันหรอ?) ถือเป็นการหมุนเวียนงบประมาณชุมชน จากมือผู้ใหญ่บ้านสู่มือผู้ใหญ่บ้านหรือเปล่านะ(???)
แหม เอื้อเฟื้อ...กันจริงๆ
เลยอดสงสัยไม่ได้ค่ะ ว่าที่ให้ฉีดพ่นสารเคมีในพื้นที่อยู่อาศัยในชุมชนได้เนี่ย เพื่อการนี้เลยหรือเปล่าคะ (?)
เพราะพบว่ามีอีก 2-3 หมู่บ้านใกล้เคียง ก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน ( ตำบลเรา อยู่ติดตลอดริมฝั่งแม่น้ำปิง ทุกหมูบ้าน )
ต่อมา... สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมงานผู้ใหญ่บ้านนี่แหละค่ะ เป็นคนดูแลรับผิดชอบดูแลโครงการอบรมเกษตรกรรายย่อย ที่มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี (แต่ผู้ใหญ่บ้านขายสารเคมีให้คนในชุมชนนะ)
โดยมีวิทยากรจากเกษตรจังหวัดมาบรรยาย (แม่ของ จขกท .ไปร่วมอบรมด้วย)
ซึ่งก็เป็นโครงการที่ดีนะคะ (ฟังจากที่แม่มาเล่า) ได้ความรู้ ได้แรงบันดาลใจในการปลูกผักเยอะเลย
แต่ แต่ แต่....การอบรมนี้ มีเบี้ยเลี้ยงให้กับผู้เข้าร่วมอบรมด้วย
โดยวิทยากรที่มาจากเกษตรจังหวัดเป็นคนแจ้งว่า ได้เบี้ยเลี้ยงนะจ๊ะ วันละ 200 บาท อบรม 3 วัน ได้ 600 บาทจ้า
แต่...วันรับจริง เหลือแค่ 450 บาท อ่าว... หายไปไหน 150 บาท ล่องหนหรอ ฮ่าๆๆๆ
พอแม่ไปถามเพื่อนที่อยู่ตำบลอื่น เขาก็ได้รับวันละ 200 บาทตามที่แจ้งมานะคะ
เอ๋~ งั้นของหมู่บ้านเราหายไปไหน ฮ่าๆๆๆ
คือไม่ได้อยากได้เงินทองอะไรหรอกนะคะ แม่เราไปอบรมได้ความรู้มาก็ดีใจมากแล้ว
เพียงแต่คิดว่า เล็กๆน้อยๆก็เอาหรอ มันนควรหมดไปสักทีได้ไหม
พอถามไป ถามมา แม่บอกว่าเขาก็หักไปตลอดแหละ ทีมงานผู้ใหญ่บ้านชุดนี้
ตอนที่น้ำท่วมใหญ่ ได้เงินชดเชยทางการเกษตรมารายละ 3000 บาท
เขาก็หักออกรายละ 100 บาท เพื่อเอาไปซื้อคอมพิวเตอร์ให้กับเกษตรจังหวัด(???)
แต่ก็ไม่มีใครเห็นการรับมอบ ไม่มีใครเห็นว่าซื้อจริงไหม ไม่มีการมาชี้แจงใดๆหลังหักเงินชาวบ้านไป
100 บาท อาจจะไม่มากสำหรับเรานะ แต่ชาวบ้านบางคนเขาไม่มีจริงๆ 100 บาท สำหรับเขาก็อยู่ได้หลายวันเลยนะ
เวลามีโครงการช่วยเหลือชาวบ้าน น้ำท่วม ภัยแล้ง แจ้งทำสมุดเกษตร ต้องใช้เอกสารใดๆ
ทางทีมงานผู้ใหญ่บ้าน ก็จะนำเอกสารราชการออกมาจำหน่ายในราคาแผ่นละ 2 บาท
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เอกสาร 5-6 แผ่นได้มั้ง ขายชุดละ 20 บาท บอกว่ารวมค่ามือในการกรอกข้อมูลให้ด้วย
มันก็ไม่มากมายหรอกค่ะ แต่แค่คิดว่า เมื่อเป็นข้าราชการ ไม่ได้ต้องดูแลประชาชนหรอกหรอ(???)
คุณก็ไปในเมืองทุกวันอยู่แล้ว ร้านถ่ายเอกสารก็อยู่หน้าโรงเรียนที่คุณต้องไปรับลูก ถ่ายมาให้ชาวบ้านไม่ได้หรอคะแค่แผ่นละ 50 สตางค์เอง
ตัว จขกท.เอง เคยบอกแม่ว่า ขอเสนอตัวไปเป็นคนจัดเตรียมเองสารให้พวกชาวบ้านได้ไหม
ถ้าบอกมาเนิ่นๆหนูเขียนข้อมูลให้ด้วย ไม่คิดเงิน แม่บอกว่าอย่าเลย เดี๋ยวมีปัญหา นั่นผลประโยชน์ของเค้า อืมมมม...(เศร้า)
บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับการที่อะไรๆรัฐก็จ่ายเงินชดเชย ทำไร่ ทำนา ดีหรือไม่ดีก็ได้เงินชดเชย แก้อะไรที่ปลายเหตุ
แต่ก็นะ...ในเมื่อมันเป็นเงินเพื่อให้ประชาชนแล้ว คุณๆ ผู้เป็นข้าราชการ มีหน้าที่ดูแลประชาชน ก็ไม่มีสิทธิมาเบียดบังเอาไปนะคะ
ไปดูงาน ท่องเที่ยวทั่วไทยก็เช่นกัน อบต.ใช้งบในการไปดูงานเท่าไหร่
ผลที่ได้ออกมาสะท้อนให้เห็นว่าการไปดูงานเหล่านั้น ทำให้ชุมชนเจริญขึ้น (อยู่ตรงไหน?) อย่างไร
คนที่ไปดูงานมาก็กลับมาซื้อปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้าไปฉีดไร่ นา สวน เช่นเดิม
คนในชุมชนก็ไม่เคยรู้ถึงพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตรเหมือนเดิม
จะเป็นไปได้ไหมที่งบดูงานที่หมดไปนั้นจะมีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ
ขอให้คนที่ไปดูงานกลับมา เป็นอาสาสมัครในการทำไร่ นา สวน อินทรีย์ ให้เป็นตัวอย่างกับชุมชนได้ไหม
ไม่ใช่ไปแล้วเที่ยวกลับมาก็ทำเหมือนเดิม ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆเลย
งบดูงานที่ว่า เพื่อการใดกันแน่ ไปดูงานมา หรือ.....พาไป เพื่อสิ่งใด
ผลประโยชน์นั้นตอบแทนเพื่อชุมชน หรือเพื่อตัวบุคคลใด(???)
มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆนะคะ ระดับรากหญ้าเลยก็ว่าได้
แต่พอคิดกลับกันว่า ถ้าทุจริตมันซึมลึกลงมาขนาดนี้แล้ว มันจะหมดไปได้จริงๆหรือ ???
คอรัปชั่น คือการทุจริตโดยใช้หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่อำนาจและอิทธิพลที่ตนมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ระบายความในใจ เป็นเพียงความคิดและมุมมองส่วนตัวนะคะ
และขอบคุณผู้ที่หลงเข้ามาอ่านทุกท่านค่ะ ฮ่าๆๆๆ