เล่าปสก.ไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิตเป็นอย่างไร????

กระทู้นี้เขียนขึ้นมาเพื่อต้องการจะเล่า
ปสก.ของจขกท.เมื่อครั้งเข้าปฏิบัติธรรมครั้งแรกหาได้มีเจตนาอวดอ้างหรือแสดงตนว่าเป็นผู้รู้แต่อย่างใด.  
    หากผู้อ่านท่านใดผ่านปสก.หรือมองว่าเป็นเบสิกที่สามารถทำได้แล้วขอให้ผ่านกระทู้นี้ไปได้เลยนะค่ะ.
     ขออนุญาติใช้ภาษาพูด หากใช้คำไม่ถูกต้องๆขออภัยด้วยนะค่ะ. เนื้อหาจะยาวหน่อยนะค่ะ
  
       คนส่วนใหญ่"รักสุข เกลียดทุกข์" หากไม่ทุกข์ก้อไม่ค่อยสนใจจะเข้าวัดปฏิบัติธรรม ซึ่งก้อหมายรวมถึงจขกท.ด้วย

       เมื่อครั้งจขกท.อายุ25-26ปีเป็นช่วงที่ตกต่ำและล้มเหลวในชีวิต ดิ้นรนขนขวายเพื่อให้ตนเองพ้นจากปัญหาที่ประสบอยู่. จนมีผู้แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมเวฬุวันจ.ขอนแก่น (วัดสาขาหลวงพ่อจรัญ )
จขกท.เดินทางไปที่วัด โดยไม่รู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง หลังจากบอกกับสามีว่าจะไปปฏิบัติธรรมก้อขับรถมาเองใช้เวลา 2ชั่วโมงครึ่ง

       เมื่อมาถึงวัด.ก้อไปลงทะเบียนผู้มาใหม่.  จนท.มอบคู่มือพร้อมให้ยืมชุดขาว2ชุดและแจ้งว่า ก่อนเข้ารับกรรมฐานสามารถทานอาหารได้ที่โรงครัว แต่หลังจากที่เข้ารับกรรมฐานแล้วต้องถือศีล8 งดข้าวเย็น

       ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติธรรม ที่พักยังเป็นเรือนไม้สองชั้น สองหลังแยกชายหญิง ห้องน้ำรวมแยกชายหญิง จขกท.ได้พักห้องรวมหญิงพักรวมกันน่าจะ 20กว่าคนได้
ชุดขาวต้องซักทำความสะอาดเอง หากชุดไม่พอก้อไปยืมเพิ่มแล้วเราก้อทำบุญหย่อนตู้ไป

       แต่ปัจจุบันนี้ ทุกอย่างสะดวกสบายขึ้น จขกท.ไปมาแล้วทั้งหมด4ครั้ง
       ปัจจุบันที่พักสร้างเป็นอาคารสถานที่สะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก ที่พักแยกเป็นห้องๆ พักได้ห้องละ 8-10คน มีห้องน้ำ2ห้องในตัว  มีชุดขาวให้ยืมวันละ 3ชุด มีโรงซักทำความสะอาด เรานำชุดเก่าไปเปลี่ยนรับชุดใหม่ก้อทำบุญหย่อนตู้เป็นค่าซักทำความสะอาด ซึ่งถือว่าสะดวกต่อผู้มาปฏิบัติอย่างมาก
        ตอนเย็นเมื่อพระอาจารย์มาให้กรรมฐานแล้ว ท่านจะสอนวิธีการทำกรรมฐาน การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภานา การแผ่เมตตา การอุทิศบุญกุศล และพูดคุยสนทนาธรรมจนถึง 3ทุ่ม. ก้อแยกย้ายพักผ่อน.  
    
   ที่วัดมีตารางการปฏิบัติกรรมฐานที่ชัดเจน

วันแรก ต้องตื่นตี3 ลุกมาต่อคิวอาบน้ำ เตรียมพร้อมเพื่อไปทำวัตรเช้าในเวลาตี4 เป็นอะไรที่ขี้เกียจมากเมื่อยมาก ไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้เลย  การสวดมนต์ทำวัตรเช้าเป็นไปด้วยความง่วงและทรมาน นึกถึงบ้านนึกถึงที่นอนนุ่มๆ สวดไปแบบไม่รู้เรื่องใจไปอยู่ที่บ้าน คิดถึงความสะดวกสบายที่บ้าน สวดไปสัปหงกไปทนสวดมนต์จนเสร็จ พระอาจารย์พาเดินจงกรม 30นาที นั่งสมาธิ 30นาที ความทุกข์ประเดประดังเข้ามา เดินจงกรมแทบจะหลับกลางอากาศในใจคิดแต่ว่าทำไมมันถึงยุ่งยากและลำบากอย่างนี้. อยู่ข้างนอกก้อเจอแต่เรื่องทำให้ไม่สบายใจ มาวัดคิดว่าจะดีขึ้นกลับมาทำให้ตัวเองลำบากเพิ่มขึ้นอีก ไม่รู้คิดถูกคิดผิดที่มา ตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ก้อพยายามทำตามที่พระอาจารย์สอนนะค่ะ ไม่หนีไปนอน ไม่ไปหลบในห้องน้ำ อดทนทำจนหมดเวลา

7.00โมง พักรับประทานอาหารเช้า และพักผ่อน จนถึง9โมง

9.00-11.30 เข้าปฏิบัติเดินจงกรม-นั่งสมาธิโดยพระอาจารย์จะกำหนดเวลาเดิน-นั่งอย่างละ 30นาที/45นาที/1ชั่วโมง แล้วแต่ผู้ปฏิบัติจะตั้งใจอธิษฐานจิตจะทำกี่นาที แต่พระอาจารย์จะพาทำก่อน. จขกท.เริ่มต้นจากเดิน-นั่งอย่างละ 30นาที แรกๆที่ทำมีแต่ความง่วง ฟุ้งซ่าน เมื่อย คิดนั่นคิดนี่ ไม่มีความสงบใดๆเกิดขึ้นเลย มีความรู้สึกว่าทำไมเวลาถึงช้าอย่างนี้เมื่อไหร่จะหมดเวลา แต่ก้อทนทำจนหมดเวลา รู้สึกขัดเคืองใจ โมโหตัวเองคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดที่มา สับสนและอยากกลับบ้าน

11.30-13.00 พักรับประทานอาหารเที่ยง
ด้วยความที่ไม่เคยมาปฏิบัติธรรมไม่ชินกับอาหารเห็นแล้วก้อรู้สึกขัดใจไม่มีอะไรที่ตัวเองชอบกินเลย  นอนก้อทุกข์กินก้อทุกข์

13.00 - 16.00  เข้าปฏิบัติกรรมฐาน ช่วงนี้เหนื่อยมาก ง่วง ท้อแท้ มีหลายๆคนที่มาใหม่. เริ่มถอดใจไม่อยากปฏิบัติต่ออยากลากรรมฐาน  จขกท. เห็นคนอื่นเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกตอนนั้นเริ่มสับสน เดินจงกรมก้อคิดฟุ้งซ่านจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ด้วยความที่มันอัดอั้นในจิตใจรู้สึกว่ามันเก็บกดในใจ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนทำไมชีวิตเรามันทุกข์อย่างนี้ลำบากอย่างนี้ เรามาที่นี่ทำไม อยากกลับบ้านแล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว.
พระอาจารย์คงสังเกตเห็นว่าร้องไห้ ท่านเดินมาบอกเบาๆให้ตามพระอาจารย์มา ท่านนำไปนั่งด้านหน้าต่อหน้าพระพุทธรูป ซึ่งมีผู้ปฏิบัติท่านนึงเป็นผู้หญิงนั่งหลับตาอยู่แต่เราสังเกตว่าเขาร้องไห้ มารู้ทีหลังผู้หญิงคนนี้อกหักคิดฆ่าตัวตายแม่เลยพามาที่นี้

พระอาจารย์ถามจขกท.ว่าโยมมีอะไรในใจหรือเปล่าให้ระบายออกมาเถอะ หากยังเป็นอยู่อย่างนี้ โยมจะไม่ได้อะไรเลย ทำกรรมฐานก้อเปล่าประโยชน์

จขกท.ระบายออกไปว่า ทำไมชีวิตโยมมันลำบากและทุกข์จังพระอาจารย์ อยู่ข้างนอกก้อทุกข์มาวัดหวังว่าจะหมดทุกข์ก้อยังมาทุกข์อีก.

พระอาจารย์ว่า โยมบอกอยู่ข้างนอกก้อทุกข์มาวัดก้อทุกข์ แสดงว่าความทุกข์มันอยู่ที่ไหน โยมเคยสังเกตไหม ต่อให้โยมหนีจากวัดไปที่อื่น พระอาจารย์เชื่อว่า โยมก้อไม่หายทุกข์

จขกท.ฟังไปก้อร้องไห้ไป
พระอาจารย์ว่าต่อ ทุกข์มันอยู่ในใจโยม โยมก้อต้องแก้ที่ใจ โยมบอกลำบากหาทางออกไม่ได้ โยมตั้งใจมากี่วัน

จขกท. ตอบ 7วันค่ะ

พระอาจารย์ ถาม  แล้วโยมปฏิบัติได้กี่วันแล้ว

จขกท. วันแรกค่ะ

พระอาจารย์ ว่าต่อ วันแรกโยมยังแพ้กิเลสและบททดสอบง่ายๆเหล่านี้ แล้วสนามชีวิตจริงโยมจะผ่านไปได้อย่างไร การมาปฏิบัติกรรมฐานคือการเรียนรู้ให้อยู่กับสุขและทุกข์ได้โดยปกติ ไม่ใช่มาปฏิบัติแล้วมันจะไม่ทุกข์แต่มาฝึกตนให้รู้จักและเข้าใจธรรมชาติของชีวิต.มันต้องฝืนใจ คนอื่นเขาก้อทุกข์เหมือนกัน. อาจจะหนักกว่าโยมอีก  เขาผ่านได้โยมก้อต้องผ่านได้นะ

หลังจากฟังพระอาจารย์สอน จขกท.ก้อกลับมาปฏิบัติต่อจนหมดเวลา ตอนนั้นในจิตใจรู้สึกโล่งเหมือนมันได้ระบายออกมา

16.00. พักผ่อนคิดว่าเมื่อไหร่จะครบ 7วัน อยากกลับบ้าน. ความคิดนี้ผุดขึ้นมาอีกแล้ว

17.00 -21.00 สวดมนต์ทำวัตรเย็น. พักรับน้ำปานะ. ปฏิบัติกรรมฐานต่อ จนกว่าจะหมดเวลาหลังปฏิบัติพระอาจารย์จะเทศนาธรรมให้ฟัง หลังจากนั้นก้อแยกย้ายกันพักผ่อน.

วันที่2 วันนี้ยังขี้เกียจลุกเหมือนเดิม เช้าฟังพระอาจารย์เทศนาเรื่องกรรมฐานแก้กรรมทำให้ชีวิตดีขึ้น. จขกท.ฟังแล้วมีกำลังใจขึ้น พระอาจารย์บอก อยากได้ของจริงก้อต้องทำจริง  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้คาถาอาคมเสกมา ทุกอย่างต้องสร้างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่มีใครทำกรรมฐานแล้วตาย ถ้าตายพระอาจารย์จะเป็นเจ้าภาพให้เอง เราได้ฟังเท่านั้นแหล่ะความคิดมันพลิกเลย มีความมุ่งมั่นตั้งใจขึ้นว่ายังไงก้อจะอยู่ให้ครบ 7วัน การปฏิบัติ วันนี้จิตก้อยังไม่สงบนะค่ะ ทรมานกับความเหนื่อยและความหิวมาก นั่งนับวันรอเมื่อไหร่จะครบ 7วัน พอครบ 7วันชีวิตเราจะดีขึ้นไหม คือคิดฟุ้งซ่านไปหมด

วันที่3 ตื่นนอนรู้สึกกระปรี้กีะเปร่ากว่าทุกวัน มีความตั้งใจและมีสมาธิในการสวดมนต์มากกว่าทุกครั้ง เดินจงกรม-นั่งสมาธิ  สามารถอยู่กับเวทนาได้อย่างไม่กระวนกระวายเหมือน2วันที่ผ่านมาขณะที่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ช่วงแผ่เมตตาจขกท.ได้กลิ่นสาป กลิ่นเหมือน รถเก็บขยะผ่านกลิ่นแรงมากๆ มีคนหันมาถามจขกท.ว่าได้กลิ่นเหม็นอะไรไหม จขกท.ก้อพยักหน้า มีหลายคนได้กลิ่นและพูดกันถึงเรื่องนี้ ซึ่งวันหลังๆก้อได้กลิ่นอีกแต่จะเป็นช่วงแผ่เมตตา และเสียงนกที่วัดจำนวนมากจะร้องกันเสียงดังเลยในช่วงแผ่เมตตาเราคิดว่าถ้าใครไปปฏิบัติที่นี้น่าจะเจอเช่นกัน

ฟังธรรมจากพระอาจารย์ในวันนี้รู้สึกจิตใจเบิกบาน มั่นคงขึ้น. พระอาจารย์พูดเรื่องการอธิษฐานจิตไม่ออกจากมาธิก่อนเวลาเป็นการสร้างขันติและสัจจะบารมี ซึ่งจขกท.จะอดทนกำหนดจนครบกำหนดทุกครั้ง มีหลายๆครั้งที่เหมือนจะทนปวดไม่ไหวใจนึกอยากเปลี่ยนท่าแต่ก้อพยายามฝืนไม่อยากเสียสัจจะ. พระอาจารย์ให้กำหนดอยู่กับปัจจุบัน ไม่ส่งจิตออกนอก กำหนดทุกอิริยาบท วันนี้ปฏิบัติจิตใจเริ่มสงบ อยู่กับปัจจุบัน กำหนดอยู่กับกายและจิตของตนเอง.  แม้เจอเวทนาปวดก้อทนได้ ไม่ทุรนทุราย

วันที่4 วันนี้เริ่มปรับตัวได้ทั้งการกินการนอน เริ่มสงบ นิ่งมากขึ้น พระอาจารย์ให้จขกท.ปรับเวลามาเดิน-นั่งอย่างละ 45นาที ในขณะที่นั่งสมาธิเจอเวทนาปวดมาก เพราะเพิ่งปรับเวลาจาก 30นาทีมาเป็น 45นาที  15 นาทีที่เพิ่มขึ้นมันเป็น15 นาทีของความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสปวดเหมือนร่างจะแตก ถูกบีบรัด พยายามกำหนดแต่เหมือนยิ่งกำหนดยิ่งปวด ปวดมากถึงมากที่สุด  พระอาจารย์ก้อบอกให้เราใช้สติดูตัวปวด ดูไปเรื่อยๆ ดูเฉยๆ อย่าเอาจิตไปเกาะ ไปยึด เราก้อพยายามทนปวด ดูไปเรื่อยๆ. ในใจมีสิ่งหนึ่งผุดมาว่า อดทนนี่คือกระบวนการเผาผลาญกรรม มีหลายครั้งที่จขกท.อยากยอมแพ้ มันไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก้อนึกถึงคำพูดของพระอาจารย์ท่านบอก ไม่มีใครทำกรรมฐานแล้วตาย ถ้าตายท่านจะเป็นเจ้าภาพ เราก้อเอาว่ะ  ลองอดทนดูดิว่ามันจะปวดจนตายไหม อยู่ๆมันซ่าไปทั่วร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า  มีความรู้สึกว่ากายมันเบา ใจมันนิ่ง ความปวดหายไป แล้วเสียงสัญญาณหมดเวลาก้อดังขึ้น.  ความรู้สึกตอนนั้นจำได้ว่ายิ้มออกมา เราทำได้ เราไม่แพ้ อยากตะโกนออกมาดังๆ รู้สึกภูมิใจ ฟังธรรมกับพระอาจารย์ก้อรู้สึกอิ่มเอิบมีกำลังใจ. ลืมเรื่องอยากกลับบ้านไปเลย สนใจอยู่กับการปฏิบัติตลอดทั้งวัน. เริ่มเห็นความสงบทางใจมากขึ้น เป็นความสุข สงบที่เกิดขึ้นภายในมันรู้สึกอิ่ม

วันที่5-6 การปฏิบัติยังคงดำเนินต่อไป แต่เจอสภาวะธรรมในขณะที่นั่งสมาธิตัวจะสั่นโคลง
ความรู้สึกเหมือนตัวยืดตัวยาว มันเงียบ ความรู้สึกตอนนั้นคือกลัว เพราะเป็นครั้งแรกที่เจอ ถามว่ากลัวอะไร ตอบตรงๆเลยกลัวผี กลัวว่าจะมีผีโผล่มา รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ก้อกำหนดไป ความรู้สึกนั้นหายไป  ความปวดในการเดิน-นั่งต้องเจอทุกวันเริ่มชินล่ะ เริ่มเห็นเป็นสิ่งที่ต้องเจอบังคับไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือทำใจให้อยู่กับมันให้ได้จนหมดเวลา.หลังจากออกจากกรรมฐานพระอาจารย์จะให้สอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติจขก.จะไปขอคำแนะนำเสมอ หลังจากนั้นก้อแยกย้ายไปพักผ่อน.

วันที่7. วันสุดท้ายแล้วเหรอนี่ ทำไมมันไวอย่างนี้. ความรู้สึกวันแรกกับวันสุดท้ายทำไมแตกต่างอย่างนี้  จขกท.ปฏิบัติกรรมฐานด้วยใจสงบและมั่นคงขึ้น  วันนี้ในขณะที่นั่งสมาธิจิตสงบ ก้อมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่า เราเกิดมาทำไม ต้องการอะไร สุดท้ายเราก้อต้องตาย เราขวนขวายดิ้นรนไปเพื่ออะไร มีก้อทุกข์ ไม่มีก้อทุกข์ อยู่ๆความคิดนี้มันก้อผุดขึ้นมา ทำให้จิตใจของจขกท. ณ เวลานั้นรู้สึกสลดหดหู่.  การปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของวัน ในขณะที่นั่งฟังพระอาจารย์ ในใจรู้สึกใจหาย นี่เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เราต้องออกไปเจอโลกของความเป็นจริงแล้วเหรอ จขกท.บอกกับตัวเองว่าถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาที่นี้อีก และจขกท.ก้อได้กลับมาจริงๆ รวม 4ครั้งที่ได้มาปฏิบัติธรรมที่นี้. สถานที่ๆทำให้จขกท.รู้จักคำว่ากรรมฐาน. รู้จักความสุข สงบทางใจที่แท้จริง

จขกท.ได้ไปลาพระอาจารย์ๆท่านบอกว่ากลับออกไปอย่าทิ้งกรรมฐานๆมีคุณค่ามหาศาลช่วยแก้ปัญหาได้กลับไปให้ทำอย่างต่อเนื่อง
หลังจากกลับมาจากวัด เราก้อยังทำกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง แต่ปรับเรื่องเวลาตามความเหมาะสม. จากการไปปฏิบัติทั้ง4ครั้ง เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปในทางที่ดีขึ้น และทำให้เราหันมาสนใจธรรมะและการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจนมาถึงทุกวันนี้
(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่