พระพุทธศาสนาไม่ขัดขวางความเจริญ
ในหนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับขยาย ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต (๒๕๖๐ : ๙๗๑) ท่านพยายามอธิบายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาสอนไม่ขัดขวางความเจริญ ซึ่งข้าพเจ้าได้สอบถามท่านผู้รู้ ท่านอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้
พระพุทธศาสนาสอนให้ละตัณหา ไม่ให้มีความอยาก เมื่อคนไม่อยากได้ ไม่อยากร่ำรวย จะพัฒนาประเทศชาติได้อย่างไร? คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดขวางต่อการพัฒนา
ตัณหา แปลว่า ความอยาก แล้วตัณหานี้อยู่ในธรรมมั้ย ก็อยู่ในธรรม ฉะนั้น เราจะไม่เอาตัณหาไม่ได้ ฉะนั้น เราเอาตัณหา แต่เราจะเอาอะไรไปบวก (+) กับตัณหา
สมมติว่า "ตัณหา" เรามีความอยากความต้องการ เราเอาวิธีการที่ถูกต้องมาบวกที่ดี ตัณหาเราหาด้วยความถูกต้อง วิริยะ อดทน อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ ถูกต้องแน่นอน ถ้าเราเอาตัณหา คือ มีความอยาก แต่เอาความอยากนี้ไปในทางลักขโมย ผิดหรือไม่ ก็ผิดแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาตัณหานี้ไปในทางไหน ไปในทางมิจฉา (ไม่ถูกต้อง) หรือในทางสัมมา (ถูกต้อง) ถ้าเราเอากิเลสไปบวก คือ กิเลสแสวงหาให้ตัณหา เช่น ความโลภ นี้คือกิเลส แต่ถ้าเราโลภ โลภไปในทางที่ดี เป็นสัมมา ถูกต้อง แต่ถ้าเราเอาความโลภนี้ไปขโมยของ เป็นมิจฉา (ไม่ถูกต้อง) ฉะนั้น กิเลสตัณหา ไม่ใช่ว่าไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ไปในทางไหน
ตัณหากับกิเลสนี้เป็นกลางๆ เป็นของธรรม บอกถึงภาวะอารมณ์ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ภาวะอารมณ์ที่อยากได้ อยากเป็น อยากให้อยู่ ไม่อยากเป็นไม่อยากอยู่ เรียกว่า ตัณหา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาอะไรไปบวก (+) บวกก็คือว่า เราเอาเหตุอะไรมาบวกให้กระทำเป็นผล
มีตัณหา เราจะเอาอะไรไปให้ตัณหา ก็คือกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง อะไรอย่างนี้ แต่ด้วยวิธีอะไร เราต้องไปบวก ต้องใช้วิธีที่ถูกต้อง เป็นสัมมา เป็นบุญ วิธีที่มิจฉา คือผิด เป็นบาป
ถ้าหากว่าอธิบายเช่นนี้ แล้วตรงไหนจะขัดกับความเจริญ
นิพพานเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติธรรมก็เพื่อบรรลุนิพพาน แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะอยากในนิพพานไม่ได้ เพราะถ้าอยากได้ ก็กลายเป็นตัณหา กลายเป็นปฏิบัติผิด เมื่อไม่อยากได้แล้วจะปฏิบัติได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดแย้งกันเอง และเป็นการให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ถ้าเราอธิบายตัณหา ตามข้างบนนี้ ก็อยากซะ เราก็หาเหตุอย่างนิพพาน ก็คือ กุศลธรรม เป็นทางสัมมา แล้วจะผิดตรงไหน ถ้าอธิบายอย่างนี้ก็แก้ไขที่เข้าใจผิดได้ทั้งหมดเลย ทุกตัวเลย กลายเป็นไม่ผิด เวลานี้กลายเป็นขัดแย้งกันเอง ตัณหาก็ไม่ผิด กิเลสก็ไม่ผิด แต่วิธีของเราที่เอาไปใช้นี่แหละจะถูกหรือผิดต่างหาก
สมมติว่า ถ้าผมเกิดเป็นเสือ ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์เราก็ตาย แล้วอย่างนี้ผมเป็นมิจฉาหรือเปล่า เพราะไปเข่นฆ่ากวาง เก้ง ฯลฯ
เราเกิดเป็นเสือเราจะต้องกินสัตว์ กัดคอสัตว์ให้ตาย ใช่หรือไม่ ก็ใช่ เรากินด้วยวิธีที่ถูกต้องมั้ย เรากินแล้วอิ่มพอดีมั้ย เราอิ่มแล้วเราหยุด มั้ย หรือว่าเราฆ่าต่อ หรือว่า
!! เจอเมื่อไหร่ก็จะฆ่าอยู่นั่น มีมั้ย แล้วเสือเป็นอย่างนี้มั้ย เสือไม่เป็นอย่างนี้
เสือเขาหิว เขาก็กิน ขนาดว่าเสือไม่หิวยังมานอนเล่นด้วยกัน เสือเขาจะกินเพื่อยังชีพตามธรรมอนุญาตไว้
ถ้าเก้ง กวางเดินมา เสือไม่หิวก็ปล่อยสัตว์เดินผ่านไป ไม่ทำอะไร
ถ้าหนูมากัดกินผ้าเราในบ้าน เป็นสัญชาตญาณ แต่ต้องเป็นสัญชาตญาณอย่างถูกต้อง ถ้าหนูผิดต้องรับได้โทษ แล้วหนูจะรู้ว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเหรอ แต่จะรู้โดยธรรม ต้องบอกหนู ๓ ครั้ง แต่ถ้ายังทำอยู่ อันนี้ถือว่าเราได้เตือนแล้ว หนูก็ต้องไปตามวาระวิบากแห่งกรรม หนูสร้างเหตุกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับเหตุแห่งกรรมนั้น ถ้าไม่ให้หนูอยู่ก็มีหลายวิธี ถ้าหากว่าบางคนใจดีหน่อย ก็จะเอาไม้เขี่ย ก่อกวนให้หนูหนี หนูบางตัวก็ไม่ยอมหนี ทีนี้ก็ต้องฆ่า เพื่อให้ลดจำนวน แม้แต่คน ถ้าคนไม่ดีก็จะทำโทษ เอาไปยิงเป้า ให้โอกาสแล้วเขายังไม่ยอม ยังทำชั่วอยู่อีก ก็ต้องจัดการตามธรรม ตามกรรมของเขา
ถ้าเราบอกกล่าวหนูครบ ๓ ครั้งแล้ว หนูยังมากัดผ้าของเราอีก แล้วถามต่ออีกว่า เราเก็บเสื้อผ้าดีหรือเปล่า เราจะไปแหย่หนูมั้ย เราต้องเก็บให้ดี ถ้าเราเก็บไม่ดี ปล่อยให้หนูมากัดผ้า เราก็มีความผิดด้วย ถ้าเอาเบื่อยาหนู เราก็ต้องได้รับวิบากกรรมกินยาเบื่อครึ่งหนึ่ง เพราะว่าเราผิดครึ่งหนึ่งเพราะว่าเราเก็บเสื้อผ้าไม่ดี เราต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน นี่แหละ สิทธิซึ่งกันและกัน ที่ยุติธรรม เราไม่เก็บให้ดีแล้วจะมาบอกว่าหนูมากัดผ้าเรา เราต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง เพราะว่าเราทำให้หนูเกิดกิเลสที่อยากจะทำ
สมมติว่า เราเห็นสาวในกางเกงขาสั้น โชว์ขาขาว แล้วเกิดกิเลส แล้วเราไปข่มขืนสาวคนนั้น เราต้องรับวิบากตรงนั้นที่ถูกข่มขืน เพราะว่า ผู้หญิงมีวิบากที่ไปยั่วเขา ไม่ใช่ว่าผู้ชายผิดหมด แต่ได้รับครึ่งหนึ่ง
ถ้าสมมติว่า ผู้หญิงถูกข่มขืน แล้วไม่อยากให้เขาฆ่าตาย เพื่อปิดปาก แล้วเราจะทำยังไง? ผู้หญิงต้องรับความจริง แล้วบอกว่าผู้ที่มาข่มขืนว่า "พี่เบาๆ หน่อย น้องเต็มใจ" จบมั้ย ออกมาดีไม่ดี ยังแถมเงินแล้วไปส่งที่บ้าน นี่แหละทำให้ชีวิตรอดจากการโดนข่มขืนแล้วฆ่า เพราะถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราก็จะขัดขืน เราจะหาเรื่องทุกข์เอง เพราะถึงขั้นนั้นแล้วเราจะทำอะไร ก็เอาใจเขาไม่ดีกว่าเหรอ ดีไม่ดี เขาไม่จำเป็นต้องฉีด จับล้วงอวัยวะของเขา ช่วยให้เขาสำเร็จความใคร่ น้ำอสุจิเคลื่อน เดี๋ยวก็หมด คลายอารมณ์เอง น้ำอสุจิออกก็หมดอารมณ์แล้ว นี่แหละวิธีแก้โดยธรรมชาติอย่างสันติ
แล้วถ้าผู้หญิงใช้วิธีเอาเครื่องไฟฟ้าช๊อตจากกระเป๋าตนเอง ก็แล้วแต่วิธีการของใครของมัน แต่มีข้อคำนึงอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราช๊อตเขาแล้วเอาไม่อยู่ เขาก็จะฆ่าเราตาย เพราะว่าผู้หญิงช๊อตเขาแล้ว
เรายอมรับความจริงดีกว่า พอถึงเวลานั้นแล้ว ก็เอาเลย ตามสบาย สนุกกันไป ก็เหมือนกับนางอุบลวรรณเถรี โดนผู้ชายมาข่มขืน ถ้ารับความจริง แล้วพิจารณากรรมนี้ ก็กลายเป็นพระอรหันต์ ขอให้รับความจริง ก็เพราะว่าถึงภาวะตรงนั้นแล้ว มันต้องมีวิบากกรรมพามันไปแน่
แต่ถ้าเขาจะมาข่มขืนเราซ้ำอีกเรื่อยๆ วิธีแก้ เวลาเราเดินทางกลับบ้านเราต้องหาเพื่อนกลับบ้านด้วยกัน ๓-๔ คน คนร้ายก็ไม่อยากทำร้ายเรา หรือไม่ก็ให้ตำรวจมาจัดการ ให้ตำรวจเดินทางไปมากับเรา ๕-๖ เที่ยว แล้วโจรจะกล้าอีกมั้ย นี่เป็นวิธีการแก้ไข แต่ถ้าเขายังจะทำซ้ำเติมอีก ก็คงให้ตำรวจจัดการโดยวิถีแห่งธรรม
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
พระพุทธศาสนาไม่ขัดขวางความเจริญ
ในหนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับขยาย ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต (๒๕๖๐ : ๙๗๑) ท่านพยายามอธิบายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาสอนไม่ขัดขวางความเจริญ ซึ่งข้าพเจ้าได้สอบถามท่านผู้รู้ ท่านอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้
พระพุทธศาสนาสอนให้ละตัณหา ไม่ให้มีความอยาก เมื่อคนไม่อยากได้ ไม่อยากร่ำรวย จะพัฒนาประเทศชาติได้อย่างไร? คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดขวางต่อการพัฒนา
ตัณหา แปลว่า ความอยาก แล้วตัณหานี้อยู่ในธรรมมั้ย ก็อยู่ในธรรม ฉะนั้น เราจะไม่เอาตัณหาไม่ได้ ฉะนั้น เราเอาตัณหา แต่เราจะเอาอะไรไปบวก (+) กับตัณหา
สมมติว่า "ตัณหา" เรามีความอยากความต้องการ เราเอาวิธีการที่ถูกต้องมาบวกที่ดี ตัณหาเราหาด้วยความถูกต้อง วิริยะ อดทน อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ ถูกต้องแน่นอน ถ้าเราเอาตัณหา คือ มีความอยาก แต่เอาความอยากนี้ไปในทางลักขโมย ผิดหรือไม่ ก็ผิดแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาตัณหานี้ไปในทางไหน ไปในทางมิจฉา (ไม่ถูกต้อง) หรือในทางสัมมา (ถูกต้อง) ถ้าเราเอากิเลสไปบวก คือ กิเลสแสวงหาให้ตัณหา เช่น ความโลภ นี้คือกิเลส แต่ถ้าเราโลภ โลภไปในทางที่ดี เป็นสัมมา ถูกต้อง แต่ถ้าเราเอาความโลภนี้ไปขโมยของ เป็นมิจฉา (ไม่ถูกต้อง) ฉะนั้น กิเลสตัณหา ไม่ใช่ว่าไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ไปในทางไหน
ตัณหากับกิเลสนี้เป็นกลางๆ เป็นของธรรม บอกถึงภาวะอารมณ์ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ภาวะอารมณ์ที่อยากได้ อยากเป็น อยากให้อยู่ ไม่อยากเป็นไม่อยากอยู่ เรียกว่า ตัณหา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาอะไรไปบวก (+) บวกก็คือว่า เราเอาเหตุอะไรมาบวกให้กระทำเป็นผล
มีตัณหา เราจะเอาอะไรไปให้ตัณหา ก็คือกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง อะไรอย่างนี้ แต่ด้วยวิธีอะไร เราต้องไปบวก ต้องใช้วิธีที่ถูกต้อง เป็นสัมมา เป็นบุญ วิธีที่มิจฉา คือผิด เป็นบาป
ถ้าหากว่าอธิบายเช่นนี้ แล้วตรงไหนจะขัดกับความเจริญ
นิพพานเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติธรรมก็เพื่อบรรลุนิพพาน แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะอยากในนิพพานไม่ได้ เพราะถ้าอยากได้ ก็กลายเป็นตัณหา กลายเป็นปฏิบัติผิด เมื่อไม่อยากได้แล้วจะปฏิบัติได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดแย้งกันเอง และเป็นการให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ถ้าเราอธิบายตัณหา ตามข้างบนนี้ ก็อยากซะ เราก็หาเหตุอย่างนิพพาน ก็คือ กุศลธรรม เป็นทางสัมมา แล้วจะผิดตรงไหน ถ้าอธิบายอย่างนี้ก็แก้ไขที่เข้าใจผิดได้ทั้งหมดเลย ทุกตัวเลย กลายเป็นไม่ผิด เวลานี้กลายเป็นขัดแย้งกันเอง ตัณหาก็ไม่ผิด กิเลสก็ไม่ผิด แต่วิธีของเราที่เอาไปใช้นี่แหละจะถูกหรือผิดต่างหาก
สมมติว่า ถ้าผมเกิดเป็นเสือ ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์เราก็ตาย แล้วอย่างนี้ผมเป็นมิจฉาหรือเปล่า เพราะไปเข่นฆ่ากวาง เก้ง ฯลฯ
เราเกิดเป็นเสือเราจะต้องกินสัตว์ กัดคอสัตว์ให้ตาย ใช่หรือไม่ ก็ใช่ เรากินด้วยวิธีที่ถูกต้องมั้ย เรากินแล้วอิ่มพอดีมั้ย เราอิ่มแล้วเราหยุด มั้ย หรือว่าเราฆ่าต่อ หรือว่า !! เจอเมื่อไหร่ก็จะฆ่าอยู่นั่น มีมั้ย แล้วเสือเป็นอย่างนี้มั้ย เสือไม่เป็นอย่างนี้
เสือเขาหิว เขาก็กิน ขนาดว่าเสือไม่หิวยังมานอนเล่นด้วยกัน เสือเขาจะกินเพื่อยังชีพตามธรรมอนุญาตไว้
ถ้าเก้ง กวางเดินมา เสือไม่หิวก็ปล่อยสัตว์เดินผ่านไป ไม่ทำอะไร
ถ้าหนูมากัดกินผ้าเราในบ้าน เป็นสัญชาตญาณ แต่ต้องเป็นสัญชาตญาณอย่างถูกต้อง ถ้าหนูผิดต้องรับได้โทษ แล้วหนูจะรู้ว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเหรอ แต่จะรู้โดยธรรม ต้องบอกหนู ๓ ครั้ง แต่ถ้ายังทำอยู่ อันนี้ถือว่าเราได้เตือนแล้ว หนูก็ต้องไปตามวาระวิบากแห่งกรรม หนูสร้างเหตุกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับเหตุแห่งกรรมนั้น ถ้าไม่ให้หนูอยู่ก็มีหลายวิธี ถ้าหากว่าบางคนใจดีหน่อย ก็จะเอาไม้เขี่ย ก่อกวนให้หนูหนี หนูบางตัวก็ไม่ยอมหนี ทีนี้ก็ต้องฆ่า เพื่อให้ลดจำนวน แม้แต่คน ถ้าคนไม่ดีก็จะทำโทษ เอาไปยิงเป้า ให้โอกาสแล้วเขายังไม่ยอม ยังทำชั่วอยู่อีก ก็ต้องจัดการตามธรรม ตามกรรมของเขา
ถ้าเราบอกกล่าวหนูครบ ๓ ครั้งแล้ว หนูยังมากัดผ้าของเราอีก แล้วถามต่ออีกว่า เราเก็บเสื้อผ้าดีหรือเปล่า เราจะไปแหย่หนูมั้ย เราต้องเก็บให้ดี ถ้าเราเก็บไม่ดี ปล่อยให้หนูมากัดผ้า เราก็มีความผิดด้วย ถ้าเอาเบื่อยาหนู เราก็ต้องได้รับวิบากกรรมกินยาเบื่อครึ่งหนึ่ง เพราะว่าเราผิดครึ่งหนึ่งเพราะว่าเราเก็บเสื้อผ้าไม่ดี เราต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน นี่แหละ สิทธิซึ่งกันและกัน ที่ยุติธรรม เราไม่เก็บให้ดีแล้วจะมาบอกว่าหนูมากัดผ้าเรา เราต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง เพราะว่าเราทำให้หนูเกิดกิเลสที่อยากจะทำ
สมมติว่า เราเห็นสาวในกางเกงขาสั้น โชว์ขาขาว แล้วเกิดกิเลส แล้วเราไปข่มขืนสาวคนนั้น เราต้องรับวิบากตรงนั้นที่ถูกข่มขืน เพราะว่า ผู้หญิงมีวิบากที่ไปยั่วเขา ไม่ใช่ว่าผู้ชายผิดหมด แต่ได้รับครึ่งหนึ่ง
ถ้าสมมติว่า ผู้หญิงถูกข่มขืน แล้วไม่อยากให้เขาฆ่าตาย เพื่อปิดปาก แล้วเราจะทำยังไง? ผู้หญิงต้องรับความจริง แล้วบอกว่าผู้ที่มาข่มขืนว่า "พี่เบาๆ หน่อย น้องเต็มใจ" จบมั้ย ออกมาดีไม่ดี ยังแถมเงินแล้วไปส่งที่บ้าน นี่แหละทำให้ชีวิตรอดจากการโดนข่มขืนแล้วฆ่า เพราะถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราก็จะขัดขืน เราจะหาเรื่องทุกข์เอง เพราะถึงขั้นนั้นแล้วเราจะทำอะไร ก็เอาใจเขาไม่ดีกว่าเหรอ ดีไม่ดี เขาไม่จำเป็นต้องฉีด จับล้วงอวัยวะของเขา ช่วยให้เขาสำเร็จความใคร่ น้ำอสุจิเคลื่อน เดี๋ยวก็หมด คลายอารมณ์เอง น้ำอสุจิออกก็หมดอารมณ์แล้ว นี่แหละวิธีแก้โดยธรรมชาติอย่างสันติ
แล้วถ้าผู้หญิงใช้วิธีเอาเครื่องไฟฟ้าช๊อตจากกระเป๋าตนเอง ก็แล้วแต่วิธีการของใครของมัน แต่มีข้อคำนึงอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราช๊อตเขาแล้วเอาไม่อยู่ เขาก็จะฆ่าเราตาย เพราะว่าผู้หญิงช๊อตเขาแล้ว
เรายอมรับความจริงดีกว่า พอถึงเวลานั้นแล้ว ก็เอาเลย ตามสบาย สนุกกันไป ก็เหมือนกับนางอุบลวรรณเถรี โดนผู้ชายมาข่มขืน ถ้ารับความจริง แล้วพิจารณากรรมนี้ ก็กลายเป็นพระอรหันต์ ขอให้รับความจริง ก็เพราะว่าถึงภาวะตรงนั้นแล้ว มันต้องมีวิบากกรรมพามันไปแน่
แต่ถ้าเขาจะมาข่มขืนเราซ้ำอีกเรื่อยๆ วิธีแก้ เวลาเราเดินทางกลับบ้านเราต้องหาเพื่อนกลับบ้านด้วยกัน ๓-๔ คน คนร้ายก็ไม่อยากทำร้ายเรา หรือไม่ก็ให้ตำรวจมาจัดการ ให้ตำรวจเดินทางไปมากับเรา ๕-๖ เที่ยว แล้วโจรจะกล้าอีกมั้ย นี่เป็นวิธีการแก้ไข แต่ถ้าเขายังจะทำซ้ำเติมอีก ก็คงให้ตำรวจจัดการโดยวิถีแห่งธรรม
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์