PTT เปิดเผยว่า บริษัทเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจ และคัดเลือกสินทรัพย์เพื่อโอนเข้าไปในบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด หรือ PTTOR คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)ในช่วงต้นปี 2562
“ตอนนี้ก็ปรับโครงสร้าง คัดเลือกเพื่อโอนขายให้ PTTOR และเลือกโลโก้เพื่อให้ภาพ PTTOR ชัดเจน”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของปตท.และบริษัทในกลุ่มดีขึ้น ได้แก่
– ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น
– เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (productivity improvement) สร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) สูงถึง3.0 หมื่นล้านบาททั้งการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายดำเนินการและค่าใช้จ่ายลงทุน
– รับเงินปันผลและกำไรจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนได้แก่หน่วยลงทุนในกองทุนดัชนีพลังงานและปิโตรเคมี (EPIF) และหุ้นSPRCรวม6.8พันล้านบาท
– เงินบาทแข็งค่าในช่วงปลายปี ทำให้มีกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีที่ผ่านมา ปตท.ได้จัดทำแผนการลงทุน 5 ปี (2561-2565) ตามกลยุทธ์ Do now (แผนระยะสั้นเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน) Decide Now (แผนระยะกลางเพื่อการเติบโต) Design Now (แผนระยะยาวเพื่อสร้าง New S-Curve) ในวงเงิน 3.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นคง ด้านพลังงาน ได้แก่ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 คลังรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) การปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมทั้งการศึกษาธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต อาทิ โครงการ Ethane Extraction โครงการความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรม และ Electricity Value Chain ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ EEC ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยได้เตรียมงบประมาณสำรองในส่วนนี้เพิ่มอีกประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
ภายใต้หลักการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว ปตท.ยังมุ่งเน้นการทำธุรกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Business) และดำเนินกิจการเพื่อสังคมอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยมีโครงการหลักที่ได้ดำเนินการได้แก่
– การจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท.และพัฒนาไปสู่ศูนย์สินค้า Roadside Station ในพื้นที่ท่องเที่ยว
– การพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจชุมชน อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า
– การสนับสนุนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ให้เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำของภูมิภาค
– การสนับสนุนการกีฬาและนักกีฬาไทย ให้สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทย
– การจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่เชื่อมโยงการพัฒนาสังคมกับการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆของกลุ่มปตท. อาทิ ร้านกาแฟอเมซอนของผู้พิการ
นอกจากนี้ ปตท.อยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์ความเย็นจากคลังรับ LNG เพื่อทำห้องเย็นสำหรับผลไม้ที่จังหวัดระยองอีกด้วย
“ปตท.จะมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ พร้อมนำรายได้มาลงทุนโครงข่ายพลังงานและการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้ประเทศขยายลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ EECรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0โดยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรและผู้ประกอบการรายย่อยที่จะเติบโตไปพร้อมกับ ปตท.ควบคู่กับการขยายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักธรรมาภิบาล การกำกับดูแลกิจการที่ดี การทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ ปตท.ให้เป็นที่ยอมรับในสากลและเป็นสมบัติของชาติที่คนไทยภาคภูมิใจต่อไป”
PTT เดินหน้าดัน PTTOR เข้าเทรดต้นปี62
“ตอนนี้ก็ปรับโครงสร้าง คัดเลือกเพื่อโอนขายให้ PTTOR และเลือกโลโก้เพื่อให้ภาพ PTTOR ชัดเจน”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของปตท.และบริษัทในกลุ่มดีขึ้น ได้แก่
– ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น
– เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (productivity improvement) สร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) สูงถึง3.0 หมื่นล้านบาททั้งการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายดำเนินการและค่าใช้จ่ายลงทุน
– รับเงินปันผลและกำไรจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนได้แก่หน่วยลงทุนในกองทุนดัชนีพลังงานและปิโตรเคมี (EPIF) และหุ้นSPRCรวม6.8พันล้านบาท
– เงินบาทแข็งค่าในช่วงปลายปี ทำให้มีกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีที่ผ่านมา ปตท.ได้จัดทำแผนการลงทุน 5 ปี (2561-2565) ตามกลยุทธ์ Do now (แผนระยะสั้นเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน) Decide Now (แผนระยะกลางเพื่อการเติบโต) Design Now (แผนระยะยาวเพื่อสร้าง New S-Curve) ในวงเงิน 3.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นคง ด้านพลังงาน ได้แก่ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 คลังรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) การปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมทั้งการศึกษาธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต อาทิ โครงการ Ethane Extraction โครงการความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรม และ Electricity Value Chain ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ EEC ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยได้เตรียมงบประมาณสำรองในส่วนนี้เพิ่มอีกประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
ภายใต้หลักการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว ปตท.ยังมุ่งเน้นการทำธุรกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Business) และดำเนินกิจการเพื่อสังคมอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยมีโครงการหลักที่ได้ดำเนินการได้แก่
– การจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท.และพัฒนาไปสู่ศูนย์สินค้า Roadside Station ในพื้นที่ท่องเที่ยว
– การพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจชุมชน อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า
– การสนับสนุนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ให้เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำของภูมิภาค
– การสนับสนุนการกีฬาและนักกีฬาไทย ให้สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทย
– การจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่เชื่อมโยงการพัฒนาสังคมกับการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆของกลุ่มปตท. อาทิ ร้านกาแฟอเมซอนของผู้พิการ
นอกจากนี้ ปตท.อยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์ความเย็นจากคลังรับ LNG เพื่อทำห้องเย็นสำหรับผลไม้ที่จังหวัดระยองอีกด้วย
“ปตท.จะมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ พร้อมนำรายได้มาลงทุนโครงข่ายพลังงานและการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้ประเทศขยายลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ EECรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0โดยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรและผู้ประกอบการรายย่อยที่จะเติบโตไปพร้อมกับ ปตท.ควบคู่กับการขยายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักธรรมาภิบาล การกำกับดูแลกิจการที่ดี การทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ ปตท.ให้เป็นที่ยอมรับในสากลและเป็นสมบัติของชาติที่คนไทยภาคภูมิใจต่อไป”