วันที่ 11 กรกฎาคม 2561 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม มีมติให้ บริษัท ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SPM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นอยู่ 99.99% ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด 100% หรือจำนวน 992.01 ล้านหุ้น ในบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)หรือ MK โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) ในราคาหุ้นละ 4.10 บาท รวมเป็นมูลค่าประมาณ 4.07 พันล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่า SPM จะทำการยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด หากเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายหุ้นจำนวนน้อยกว่า 25%
SPALI ให้เหตุผลว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจ ..ซึ่งเป็นเหตุผลตามสูตรสำเร็จธรรมดา เพราะคงไม่มีใครบอกตรงกันข้าม
ปมประเด็นหลักอยู่ที่ผู้ถือหุ้นและผู้ที่มีอำนาจควบคุมกิจการของSPALI คือตระกูลตั้งมติธรรม ที่นำโดย นายประทีป ตั้งมติธรรม ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายบุคคลอันดับหนึ่งของ MK ด้วย
คำถามคงไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ประเภทผ่องถ่ายเงิน "จากกระเป๋าซ้าย ย้ายไปกระเป๋าขวา" คนอย่างนายประทีป ไม่เคยมีเรื่องมัวหมองทำนองนี้เลยนับแต่จำความได้ แต่อยู่ที่รายละเอียดของการทำเทนเดอร์มีลักษณะพิเศษ เพื่อครองงำกิจการของคนในตระกูลตั้งมติธรรม ที่ย้อนรอยจาก"พี่ชายขาย น้องชายหวนมาซื้อคืน"
เมื่อ 3 ปีก่อน กลุ่มนายชวน ตั้งมติธรรม ที่ประกอบด้วย นายชวน ตั้งมติธรรม นางอัญชัน ตั้งมติธรรม และนางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ได้ประกาศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ได้ขายหุ้นในครอบครอง 20.46% ใน MK ให้แก่กลุ่มบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด และ บริษัท ซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด ของ “นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ” อดีตนักการเงินมือเก๋าแห่งกลุ่มศรีมิตรในยุคฃองสบู่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟู ในราคาหุ้นละ 6.75 บาท รวมมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท
ภายหลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นแล้วจะทำให้กลุ่มนายชวน ตั้งมติธรรมเหลือหุ้น 5.80% ไม่นับรวมนายประทีป ที่แยกมาต่างหาก ที่ยังคงถือครองหุ้นMKในสัดส่วนเดิม 11.29% โดยไม่มีได้มีส่วนครอบงำการบริหารของ MK แต่อย่างใด เพราะถือในนามส่วนตัว
หลังจากดีลซื้อขาย MK จบลง ปรากฏว่าชื่อบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส หายไป มีรายชื่อของบริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) หรือ FNS มาปรากฏแทนในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง
โดยมีโครงสร้างกรรมการที่ชัดเจนว่ากลุ่มฟินันซ่าเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการบริหารเบ็ดเสร็จ โดยมีนาย สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ เป็นประธานกรรมการ แต่มีตัวแทนหลักของกลุ่มฟินันซ่า นาย วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ นั่งควบตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ
สามปีที่ผ่านมา แม้ว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MK จะจืดจางลงไปจากวงการ เพราะขาดการลงทุนใหญ่ที่สร้างมิติใหม่ แต่ก็ยังคง "กินบุญเก่า" มีกำไรต่อเนื่อง แม้จะถดถอยลงชัดเจนเพราะขาดเชิงรุกทางการตลาด
สภาพกำไรถดถอยของ MK จนอัตรากำไรสุทธิล่าสุดเหลือแค่ต่ำกว่า 5% จากอดีตยุครุ่งเรืองที่เคยสูงกว่า 20% ยาวนาน แม้ยังไม่ถึงกับขาดทุน สะท้อนออกมาในราคาหุ้นที่โรยราลงจนต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี หรือ บุ๊กแวลลู ที่เหนือกว่า 6.10 บาท เปิดทางให้กับการสบช่องเทกโอเวอร์ง่ายดายมาก
คำเสนอซื้อของSPALI จึงมีความพิเศษต่อไปนี้
- มีเจตนาชัดเจนที่จะเข้ามาครอบงำกิจการของ MK จากเงื่อนไขของข้อเสนอที่ระบุชัดว่า หากมีคนเสนอขายน้อยกว่า 25% จะล้มดีล
- เสนอซื้อที่ราคาต่ำกว่า บุ๊กแวลลู ทำให้ฝ่ายผู้ซื้อ (ในกรณีดีลบรรลุเป้าหมาย) สามารถบันทึกกำไรพิเศษจากเงินลงทุนได้ทันที เป็นผลดีต่อ SPALI ชัดเจน
- เป็นการต่อยอดการตลาดเพราะภาพลักษณ์แบรนด์ "ชวนชื่น" ของMK ที่สร้างไว้ยาวนานกว่า 50 ปี ยังเป็นตำนานได้ และไม่ทับซ้อนกับแบรนด์หรือสินค้าในพอร์ตเดิมของ SPALI
- MK กลับสู่มือของคนในตระกูลตั้งมติธรรม อีกครั้ง
- ในทางส่วนตัว นายประทีปสามารถขายหุ้น MK ให้กับ SPALI ได้ในการเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ หอบเงินสดกลับกระเป๋าส่วนตัว ด้วยข้ออ้างกันผลประโยชน์ทับซ้อนสบายๆ และเนียนยิ่ง
- ฐานะการเงินของSPALI จะแกร่งยิ่งขึ้น เพราะดีลนี้ เกิดขึ้นใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ SPALI-W4 ใกล้หมดอายุ และต้องแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ในราคาใช้สิทธิ์แค่ 4 บาท (ราคาล่าสุดคือ 20.50 บาท ขณะที่แม่ราคาใกล้เคียงกัน 24.80 บาท ทำให้โอกาสได้รับเงินสด มาเพิ่มเติม จากกำไรสะสมเดิมเกินหมื่นล้านบาท ไม่สะเทือนสภาพคล่องจากการใช้เงินสดทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ กว่า 4 พันล้านบาท (ซึ่งในทางปฏิบัติไม่มีทางถึงอยู่แล้ว)
- MK ภายใต้ร่มธงของ SPALI จะมีความสามารถทำกำไรได้ดีกว่าภายใต้ร่มธงของกลุ่มฟินันซ่าแน่นอน
ความโดดเด่นที่ว่ามาข้างต้น ยังไม่นับรวมถึงข้อดีหากดีลจบลง และหลังจากนั้น SPALI ซึ่งมีกำไรพิเศษทันทีจากการซื้อ MK ในราคาส่วนลดจากมูลค่าทางบัญชี 35% มีโอกาสที่จะนำสินทรัพย์มาขาย และเปลี่ยนแบรนด์เป็น SPALI เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในอนาคตอีก
ประเด็นยุ่งยากใจของนักลงทุนตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าดีลนี้ที่ยังไม่จบ ควรซื้อ SPALI หรือ MK ดี
คนที่ตอบได้ดีสุดคือ นายประทีป ตั้งมติธรรม ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลยในยามนี้
//////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com
SPALI หนีตั้งมติธรรมไม่พ้น (โดย อีหล่าน้อย บทความจากเว็บไซต์ Share2Trade)
SPALI ให้เหตุผลว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจ ..ซึ่งเป็นเหตุผลตามสูตรสำเร็จธรรมดา เพราะคงไม่มีใครบอกตรงกันข้าม
ปมประเด็นหลักอยู่ที่ผู้ถือหุ้นและผู้ที่มีอำนาจควบคุมกิจการของSPALI คือตระกูลตั้งมติธรรม ที่นำโดย นายประทีป ตั้งมติธรรม ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายบุคคลอันดับหนึ่งของ MK ด้วย
คำถามคงไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ประเภทผ่องถ่ายเงิน "จากกระเป๋าซ้าย ย้ายไปกระเป๋าขวา" คนอย่างนายประทีป ไม่เคยมีเรื่องมัวหมองทำนองนี้เลยนับแต่จำความได้ แต่อยู่ที่รายละเอียดของการทำเทนเดอร์มีลักษณะพิเศษ เพื่อครองงำกิจการของคนในตระกูลตั้งมติธรรม ที่ย้อนรอยจาก"พี่ชายขาย น้องชายหวนมาซื้อคืน"
เมื่อ 3 ปีก่อน กลุ่มนายชวน ตั้งมติธรรม ที่ประกอบด้วย นายชวน ตั้งมติธรรม นางอัญชัน ตั้งมติธรรม และนางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ได้ประกาศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ได้ขายหุ้นในครอบครอง 20.46% ใน MK ให้แก่กลุ่มบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด และ บริษัท ซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด ของ “นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ” อดีตนักการเงินมือเก๋าแห่งกลุ่มศรีมิตรในยุคฃองสบู่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟู ในราคาหุ้นละ 6.75 บาท รวมมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท
ภายหลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นแล้วจะทำให้กลุ่มนายชวน ตั้งมติธรรมเหลือหุ้น 5.80% ไม่นับรวมนายประทีป ที่แยกมาต่างหาก ที่ยังคงถือครองหุ้นMKในสัดส่วนเดิม 11.29% โดยไม่มีได้มีส่วนครอบงำการบริหารของ MK แต่อย่างใด เพราะถือในนามส่วนตัว
หลังจากดีลซื้อขาย MK จบลง ปรากฏว่าชื่อบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส หายไป มีรายชื่อของบริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) หรือ FNS มาปรากฏแทนในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง
โดยมีโครงสร้างกรรมการที่ชัดเจนว่ากลุ่มฟินันซ่าเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการบริหารเบ็ดเสร็จ โดยมีนาย สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ เป็นประธานกรรมการ แต่มีตัวแทนหลักของกลุ่มฟินันซ่า นาย วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ นั่งควบตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ
สามปีที่ผ่านมา แม้ว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MK จะจืดจางลงไปจากวงการ เพราะขาดการลงทุนใหญ่ที่สร้างมิติใหม่ แต่ก็ยังคง "กินบุญเก่า" มีกำไรต่อเนื่อง แม้จะถดถอยลงชัดเจนเพราะขาดเชิงรุกทางการตลาด
สภาพกำไรถดถอยของ MK จนอัตรากำไรสุทธิล่าสุดเหลือแค่ต่ำกว่า 5% จากอดีตยุครุ่งเรืองที่เคยสูงกว่า 20% ยาวนาน แม้ยังไม่ถึงกับขาดทุน สะท้อนออกมาในราคาหุ้นที่โรยราลงจนต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี หรือ บุ๊กแวลลู ที่เหนือกว่า 6.10 บาท เปิดทางให้กับการสบช่องเทกโอเวอร์ง่ายดายมาก
คำเสนอซื้อของSPALI จึงมีความพิเศษต่อไปนี้
- มีเจตนาชัดเจนที่จะเข้ามาครอบงำกิจการของ MK จากเงื่อนไขของข้อเสนอที่ระบุชัดว่า หากมีคนเสนอขายน้อยกว่า 25% จะล้มดีล
- เสนอซื้อที่ราคาต่ำกว่า บุ๊กแวลลู ทำให้ฝ่ายผู้ซื้อ (ในกรณีดีลบรรลุเป้าหมาย) สามารถบันทึกกำไรพิเศษจากเงินลงทุนได้ทันที เป็นผลดีต่อ SPALI ชัดเจน
- เป็นการต่อยอดการตลาดเพราะภาพลักษณ์แบรนด์ "ชวนชื่น" ของMK ที่สร้างไว้ยาวนานกว่า 50 ปี ยังเป็นตำนานได้ และไม่ทับซ้อนกับแบรนด์หรือสินค้าในพอร์ตเดิมของ SPALI
- MK กลับสู่มือของคนในตระกูลตั้งมติธรรม อีกครั้ง
- ในทางส่วนตัว นายประทีปสามารถขายหุ้น MK ให้กับ SPALI ได้ในการเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ หอบเงินสดกลับกระเป๋าส่วนตัว ด้วยข้ออ้างกันผลประโยชน์ทับซ้อนสบายๆ และเนียนยิ่ง
- ฐานะการเงินของSPALI จะแกร่งยิ่งขึ้น เพราะดีลนี้ เกิดขึ้นใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ SPALI-W4 ใกล้หมดอายุ และต้องแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ในราคาใช้สิทธิ์แค่ 4 บาท (ราคาล่าสุดคือ 20.50 บาท ขณะที่แม่ราคาใกล้เคียงกัน 24.80 บาท ทำให้โอกาสได้รับเงินสด มาเพิ่มเติม จากกำไรสะสมเดิมเกินหมื่นล้านบาท ไม่สะเทือนสภาพคล่องจากการใช้เงินสดทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ กว่า 4 พันล้านบาท (ซึ่งในทางปฏิบัติไม่มีทางถึงอยู่แล้ว)
- MK ภายใต้ร่มธงของ SPALI จะมีความสามารถทำกำไรได้ดีกว่าภายใต้ร่มธงของกลุ่มฟินันซ่าแน่นอน
ความโดดเด่นที่ว่ามาข้างต้น ยังไม่นับรวมถึงข้อดีหากดีลจบลง และหลังจากนั้น SPALI ซึ่งมีกำไรพิเศษทันทีจากการซื้อ MK ในราคาส่วนลดจากมูลค่าทางบัญชี 35% มีโอกาสที่จะนำสินทรัพย์มาขาย และเปลี่ยนแบรนด์เป็น SPALI เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในอนาคตอีก
ประเด็นยุ่งยากใจของนักลงทุนตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าดีลนี้ที่ยังไม่จบ ควรซื้อ SPALI หรือ MK ดี
คนที่ตอบได้ดีสุดคือ นายประทีป ตั้งมติธรรม ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลยในยามนี้
//////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com