“พิชญ์” มาเหนือเมฆ! ไม่หวั่นกวาดหุ้น JAS ต้นทุนสูง เผยเตรียมลดทุนชู๊ต EPS โตสนั่น จับตาพีอี 20 เท่ายืนเหนือ 9 บาทสบาย ด้านสื่อชี้ยุทธการราคาหุ้นรอบนี้ ทำเทนเดอร์หมดความหมายโดยปริยาย
นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า ขณะนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนเพื่อเตรียมดำเนินการลดทุนจดทะเบียนบริษัท หลังมีการอนุมัติโครงการรับซื้อหุ้นคืนไปเมื่อ วันที่ 29 เมษายน 2559 และได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนจนแล้วเสร็จในช่วงระหว่าง วันที่ 1-10 มิถุนายน 2559 โดยบริษัทซื้อหุ้นคืนจำนวน 1.20 พันล้านหุ้น หรือราว 16.82% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ณ ขณะนั้น ที่ราคา 5 บาทต่อหุ้น ซึ่งใช้เงินสำหรับโครงการดังกล่าว รวมกันทั้งสิ้น 6 พันล้านบาท
อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา มีรายงานว่า นายพิชญ์ ได้ทำการซื้อหุ้นJAS รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 3 (วอแรนต์) หรือ JAS-W3 คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มเติมอีก 29.42% และ 12.06% ส่งผลให้ถือครองหุ้นทั้งหมดเป็นสัดส่วน 60.49% และ 22.33% ตามลำดับ โดยมีต้นทุนเฉลี่ยในการซื้อครั้งนี้อยู่ที่ 7.23 บาทต่อ 1 หุ้นสามัญ และ 3.67 บาทต่อ 1 วอแรนต์ และเป็นการทำรายการผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ขณะที่การซื้อหุ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก นายพิชญ์ ประกาศทำคำเสนอซื้อ หรือ “เทนเดอร์ ออฟเฟอร์” หุ้น JAS และ JAS-W3 ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน
ทั้งนี้ นายพิชญ์ เปิดเผยต่อกรณีข้อสงสัยเกี่ยวกับต้นทุนในการซื้อหุ้นครั้งนี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวเสมือนเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง แต่หากเปรียบเทียบกับสัดส่วนของการถือครองหุ้นทั้งหมดหลังจากทำรายการ และ ผลกำไรต่อหุ้น หรือ EPS ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามแผนการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท และแนวโน้มรายได้จากธุรกิจบรอดแบรนด์ที่จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มั่นใจได้ว่า การลงทุนในครั้งนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อีกทั้งการลดทุนถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เงินลงทุนของผู้ถือหุ้น โดยสามารถสะท้อนได้จากอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield ที่จะปรับตัวขึ้นตาม EPS ที่สูงขึ้น
หากอ้างอิงจากผลประกอบการในปี 2556 และ 2557 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 3 พันล้านบาท และ 3.27 พันล้านบาท ตามลำดับ และบริษัทจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปีหน้า (2560) ก็จะส่งผลให้EPS เพิ่มขึ้นเป็น 0.51 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลจากจำนวนหุ้นสามัญที่ลดลงเหลือ 5.94 พันล้านหุ้น จากเดิม 7.14 พันล้านหุ้น และภายใต้สมมติฐานข้อนี้ราคาเหมาะสมของหุ้น JAS ในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 10.20 บาท โดยใช้อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E ที่ระดับ 20 เท่า
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น JAS ปิดตลาดวันนี้ (21 ก.ย.) ที่ระดับ 7.40 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 2.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.86 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงกว่า ราคาที่มีการกำหนดทำ “เทนเดอร์ ออฟเฟอร์” ที่ระดับ 7.25 บาท อีกทั้งเมื่อเทียบกับราคาหุ้น JAS ตามการคาดการณ์ จึงทำให้โอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะยอมขายตามคำเสนอซื้อของ นายพิชญ์ แทบจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
อนึ่ง นายพิชญ์ ได้เปิดเผยถึงยุทธการ “3 ไม่ 1 ลด” ซึ่งหมายถึง ไม่ขาย ไม่ควบ ไม่ออก แถมลดทุน กับทาง หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ โดยท่านผู้อ่านสามารถติดตามรายละเอียดดังกล่าวได้จากข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 22 กันยายน 2559 หรือ ในรูปแบบของหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านทาง www.kaohoon.com ได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 22.00 น. ของวันนี้ เป็นต้นไป
http://www.kaohoon.com/online/content/view/47529/
https://www.facebook.com/intuchinvestor/
พิชญ์” มั่นใจ JAS ลดทุนหนุนกำไรโตกระฉูด!! จับตาวิ่งทะลุ 9 บาท ฉุดเทนเดอร์ไร้ความหมาย
นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า ขณะนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนเพื่อเตรียมดำเนินการลดทุนจดทะเบียนบริษัท หลังมีการอนุมัติโครงการรับซื้อหุ้นคืนไปเมื่อ วันที่ 29 เมษายน 2559 และได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนจนแล้วเสร็จในช่วงระหว่าง วันที่ 1-10 มิถุนายน 2559 โดยบริษัทซื้อหุ้นคืนจำนวน 1.20 พันล้านหุ้น หรือราว 16.82% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ณ ขณะนั้น ที่ราคา 5 บาทต่อหุ้น ซึ่งใช้เงินสำหรับโครงการดังกล่าว รวมกันทั้งสิ้น 6 พันล้านบาท
อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา มีรายงานว่า นายพิชญ์ ได้ทำการซื้อหุ้นJAS รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 3 (วอแรนต์) หรือ JAS-W3 คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มเติมอีก 29.42% และ 12.06% ส่งผลให้ถือครองหุ้นทั้งหมดเป็นสัดส่วน 60.49% และ 22.33% ตามลำดับ โดยมีต้นทุนเฉลี่ยในการซื้อครั้งนี้อยู่ที่ 7.23 บาทต่อ 1 หุ้นสามัญ และ 3.67 บาทต่อ 1 วอแรนต์ และเป็นการทำรายการผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ขณะที่การซื้อหุ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก นายพิชญ์ ประกาศทำคำเสนอซื้อ หรือ “เทนเดอร์ ออฟเฟอร์” หุ้น JAS และ JAS-W3 ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน
ทั้งนี้ นายพิชญ์ เปิดเผยต่อกรณีข้อสงสัยเกี่ยวกับต้นทุนในการซื้อหุ้นครั้งนี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวเสมือนเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง แต่หากเปรียบเทียบกับสัดส่วนของการถือครองหุ้นทั้งหมดหลังจากทำรายการ และ ผลกำไรต่อหุ้น หรือ EPS ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามแผนการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท และแนวโน้มรายได้จากธุรกิจบรอดแบรนด์ที่จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มั่นใจได้ว่า การลงทุนในครั้งนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อีกทั้งการลดทุนถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เงินลงทุนของผู้ถือหุ้น โดยสามารถสะท้อนได้จากอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield ที่จะปรับตัวขึ้นตาม EPS ที่สูงขึ้น
หากอ้างอิงจากผลประกอบการในปี 2556 และ 2557 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 3 พันล้านบาท และ 3.27 พันล้านบาท ตามลำดับ และบริษัทจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปีหน้า (2560) ก็จะส่งผลให้EPS เพิ่มขึ้นเป็น 0.51 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลจากจำนวนหุ้นสามัญที่ลดลงเหลือ 5.94 พันล้านหุ้น จากเดิม 7.14 พันล้านหุ้น และภายใต้สมมติฐานข้อนี้ราคาเหมาะสมของหุ้น JAS ในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 10.20 บาท โดยใช้อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E ที่ระดับ 20 เท่า
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น JAS ปิดตลาดวันนี้ (21 ก.ย.) ที่ระดับ 7.40 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 2.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.86 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงกว่า ราคาที่มีการกำหนดทำ “เทนเดอร์ ออฟเฟอร์” ที่ระดับ 7.25 บาท อีกทั้งเมื่อเทียบกับราคาหุ้น JAS ตามการคาดการณ์ จึงทำให้โอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะยอมขายตามคำเสนอซื้อของ นายพิชญ์ แทบจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
อนึ่ง นายพิชญ์ ได้เปิดเผยถึงยุทธการ “3 ไม่ 1 ลด” ซึ่งหมายถึง ไม่ขาย ไม่ควบ ไม่ออก แถมลดทุน กับทาง หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ โดยท่านผู้อ่านสามารถติดตามรายละเอียดดังกล่าวได้จากข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 22 กันยายน 2559 หรือ ในรูปแบบของหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านทาง www.kaohoon.com ได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 22.00 น. ของวันนี้ เป็นต้นไป
http://www.kaohoon.com/online/content/view/47529/
https://www.facebook.com/intuchinvestor/