คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 51
ทั้ง 3 ตัวมีส่วนผสมของน้ำตาล "จำนวนสูงมากๆ" ของที่คุณคิดว่ามีประโยชน์แบบ ชาเขียว หรือพวกน้ำสุขภาพบำรุงสมองต่างๆ รวมถึงนมด้วย ขวดหนึ่งอาจมีปริมาณน้ำตาล 13-14 ช้อนชา นะครับ ลองเอาช้อนกาแฟตักน้ำตาลดู 13 ช้อนชาแล้วดูว่ามันเยอะแค่ไหน ปริมาณน้ำตาลที่มนุษย์ควรกินต่อวันไม่เกิน 6 ช้อนชา นั่นคือค่อนข้างสูงแล้ว คุณกินชาเขียวขวดเดียวเกินไป 2 เท่าแล้ว ถ้าคุณกินขวดลิตร แก้วยักษ์ทั้งหลาย วันละ 3 มื้อ กินอาหารสำเร็จรูป ขนมหวานแสบคอทั้งหลาย ทั้งวันคุณกินน้ำตาลเกินไปเท่าไหร่ ตอนนี้เป็นเบาหวานกันตอนอายุไม่ถึง 30 กันเป็นเรื่องปกติแล้ว นั่นแปลว่าเด็กรุ่นใหม่ทุกวันนี้โยนชีวิตตัวเองทิ้งไปประมาณ 30 ปีนะครับ ตอนนี้สถานพยาบาลไม่พอสาเหตุมาจากอาหารที่กินเข้าไปนี่แหละ
อีกอย่างที่น่ากลัวมากๆ แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่อันตรายคือ คาเฟอีน กาแฟ ชาเย็น เครื่องดื่มบำรุงกำลัง Energy Drink ทั้งหลาย อันตรายกว่าที่คุณคิดมาก ผมขออธิบายง่ายๆนะ
- จริงๆแล้วคาเฟอืนมีคุณสมบัติเป็นยานะครับ ไม่ใช่อาหาร แพทย์หลายคนบอกว่ามันควรจะถูกควบคุมเหมือนยาได้แล้ว เอ้า เป็นยาก็ดีซิ กินเยอะๆ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นยาหมายถึงมันเป็นสารเคมีที่มีผลต่อร่างกาย คาเฟอีนมีผลโดยตรงกับหัวใจ และระบบการเผาผลาญ และน้ำตาลในเลือดแม้จะกินในปริมาณเล็กน้อย ตรงนี้แหละครับที่กลุ่มทุนที่ขายกาแฟเอาผลที่เกิดมาเป็น % น้อยๆ ในกลุ่มทดลองแค่หยิบมือที่มีน้ำตาลในเลือดลดลง ตรงนี้มาเคลมว่า ลดอัลไซเมอร์ ป้องกันเป็นเบาหวาน ทั้งที่การทดลองพวกนี้ไม่ได้ทดลองกินกาแฟจริงๆ หรือทดลองนานพอด้วยซ้ำ คนทั่วๆไปไม่รู้จักการวิจัย ไม่รู้จัก percentage ก็คิดว่ามันป้องกันได้ตามการโฆษณา
แต่ในความจริงแล้ว ผลมันไม่เคลียร์ มันไม่ได้ทำให้น้ำตาลในเลือดลดอย่างเดียว แต่มันทำให้แกว่ง เรารู้แต่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้น้ำตาลในเลือดเรา แกว่ง แม้เพียงเล็กน้อย อย่างน้ำตาล แป้งขัดขาว หรือแม้แต่คาร์บที่กากใยน้อย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ทั้งสิ้น แล้วกาแฟมีผลแรงกว่านั้นมาก เรายังไม่รู้จริงๆว่ามันมีผลต่อร่างกายในเชิงลึกอย่างไร แต่จากตัวเลขจากการเก็บสถิติตามโรงพยาบาลชัดเจนว่า คนดื่มกาแฟเป็นประจำจะลงเอยด้วยโรค หัวใจและหลอดเลือด กับ เบาหวาน และโรค NCDs อื่นๆที่มีผลตามมาจากเบาหวาน
- อีกอย่างคือกาแฟเป็นสารเสพติดชัดเจน ผมรู้ซึ้งตอนเลิกมันนี่แหละ มันมีอาการถอนยาค่อนข้างแรงนะครับ คลื่นไส้ปวดหัวแทบอาเจียนทีเดียว ขนาดผมกินไม่เยอะวันละ 2 แก้วเท่านั้น ที่น่ากลัวคือพวก Energy Drink เพราะเดี๋ยวนี้เจาะกลุ่ม เด็ก วัยรุ่น พวกนี้มันแช่เย็นและกินง่าย กินบ่อยกว่ากาแฟมาก ถ้าดื่มบ่อยและดื่มตั้งแต่อายุน้อยๆก็จะป่วยไว และตายไวมาก
- อยากให้ดูอีกอย่างคือพวกยาลดความอ้วนทั้งหลาย ที่พยายามรณรงค์ให้เลิกกินมันคืออะไร จริงๆส่วนประกอบของมันคือ คาเฟอืน ครับแต่เข้มข้นกว่ากาแฟ มากกว่าไม่เท่าไหร่แต่ทำให้ ป่วย ทำให้ตาย พิการกันมาหลายคนแล้ว ฉะนั้นกาแฟถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ
- อีกอย่างเหมือนกับยาเสพติดทุกชนิด คือเรามีอาการดื้อยาครับ เราจะต้องการเสพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม ถ้าใครกินเพื่อให้สดชื่นถ้าจะให้ได้ผลเท่าเดิมคุณต้องดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ กินเท่าเดิมทำให้คุณเฉื่อยชากว่าคนที่ไม่ติดกาแฟเลยซะอีก แต่ถ้าไม่ได้กินเมื่อไหร่จะมีอาการ ถอนยา ชนิดที่หงุดหงิดไปหมด ปวดหัว คลื่นไส้ ทำอะไรไม่ได้เลย
- กาแฟทำให้ฮอร์โมน ขาดความสมดุลย์ หลับไม่สนิท หลั่งโก๊รธฮอร์โมนน้อยลง และสถรรถภาพทางเพศ สมรรถภาพทางกายเสื่อมถอย เพิ่ม LDL ลด HDL ทั้งหมดนี้ในเรทของ "สารเคมี" นะครับ ไม่ใช่เรทของอาหาร แย่กว่า น้ำตาล ทรานส์แฟต มากๆ
อีกอย่างที่น่ากลัวมากๆ แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่อันตรายคือ คาเฟอีน กาแฟ ชาเย็น เครื่องดื่มบำรุงกำลัง Energy Drink ทั้งหลาย อันตรายกว่าที่คุณคิดมาก ผมขออธิบายง่ายๆนะ
- จริงๆแล้วคาเฟอืนมีคุณสมบัติเป็นยานะครับ ไม่ใช่อาหาร แพทย์หลายคนบอกว่ามันควรจะถูกควบคุมเหมือนยาได้แล้ว เอ้า เป็นยาก็ดีซิ กินเยอะๆ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นยาหมายถึงมันเป็นสารเคมีที่มีผลต่อร่างกาย คาเฟอีนมีผลโดยตรงกับหัวใจ และระบบการเผาผลาญ และน้ำตาลในเลือดแม้จะกินในปริมาณเล็กน้อย ตรงนี้แหละครับที่กลุ่มทุนที่ขายกาแฟเอาผลที่เกิดมาเป็น % น้อยๆ ในกลุ่มทดลองแค่หยิบมือที่มีน้ำตาลในเลือดลดลง ตรงนี้มาเคลมว่า ลดอัลไซเมอร์ ป้องกันเป็นเบาหวาน ทั้งที่การทดลองพวกนี้ไม่ได้ทดลองกินกาแฟจริงๆ หรือทดลองนานพอด้วยซ้ำ คนทั่วๆไปไม่รู้จักการวิจัย ไม่รู้จัก percentage ก็คิดว่ามันป้องกันได้ตามการโฆษณา
แต่ในความจริงแล้ว ผลมันไม่เคลียร์ มันไม่ได้ทำให้น้ำตาลในเลือดลดอย่างเดียว แต่มันทำให้แกว่ง เรารู้แต่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้น้ำตาลในเลือดเรา แกว่ง แม้เพียงเล็กน้อย อย่างน้ำตาล แป้งขัดขาว หรือแม้แต่คาร์บที่กากใยน้อย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ทั้งสิ้น แล้วกาแฟมีผลแรงกว่านั้นมาก เรายังไม่รู้จริงๆว่ามันมีผลต่อร่างกายในเชิงลึกอย่างไร แต่จากตัวเลขจากการเก็บสถิติตามโรงพยาบาลชัดเจนว่า คนดื่มกาแฟเป็นประจำจะลงเอยด้วยโรค หัวใจและหลอดเลือด กับ เบาหวาน และโรค NCDs อื่นๆที่มีผลตามมาจากเบาหวาน
- อีกอย่างคือกาแฟเป็นสารเสพติดชัดเจน ผมรู้ซึ้งตอนเลิกมันนี่แหละ มันมีอาการถอนยาค่อนข้างแรงนะครับ คลื่นไส้ปวดหัวแทบอาเจียนทีเดียว ขนาดผมกินไม่เยอะวันละ 2 แก้วเท่านั้น ที่น่ากลัวคือพวก Energy Drink เพราะเดี๋ยวนี้เจาะกลุ่ม เด็ก วัยรุ่น พวกนี้มันแช่เย็นและกินง่าย กินบ่อยกว่ากาแฟมาก ถ้าดื่มบ่อยและดื่มตั้งแต่อายุน้อยๆก็จะป่วยไว และตายไวมาก
- อยากให้ดูอีกอย่างคือพวกยาลดความอ้วนทั้งหลาย ที่พยายามรณรงค์ให้เลิกกินมันคืออะไร จริงๆส่วนประกอบของมันคือ คาเฟอืน ครับแต่เข้มข้นกว่ากาแฟ มากกว่าไม่เท่าไหร่แต่ทำให้ ป่วย ทำให้ตาย พิการกันมาหลายคนแล้ว ฉะนั้นกาแฟถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ
- อีกอย่างเหมือนกับยาเสพติดทุกชนิด คือเรามีอาการดื้อยาครับ เราจะต้องการเสพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม ถ้าใครกินเพื่อให้สดชื่นถ้าจะให้ได้ผลเท่าเดิมคุณต้องดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ กินเท่าเดิมทำให้คุณเฉื่อยชากว่าคนที่ไม่ติดกาแฟเลยซะอีก แต่ถ้าไม่ได้กินเมื่อไหร่จะมีอาการ ถอนยา ชนิดที่หงุดหงิดไปหมด ปวดหัว คลื่นไส้ ทำอะไรไม่ได้เลย
- กาแฟทำให้ฮอร์โมน ขาดความสมดุลย์ หลับไม่สนิท หลั่งโก๊รธฮอร์โมนน้อยลง และสถรรถภาพทางเพศ สมรรถภาพทางกายเสื่อมถอย เพิ่ม LDL ลด HDL ทั้งหมดนี้ในเรทของ "สารเคมี" นะครับ ไม่ใช่เรทของอาหาร แย่กว่า น้ำตาล ทรานส์แฟต มากๆ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ก. น้ำอัดลม
ประโยชน์ ผมคิดว่า ไม่มี เลยครับ
โทษ น้ำตาลสูง และ(อาจ)ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมต่ำได้
ข. ชาเย็น
ประโยชน์ ชาเย็น นั้น แทบไม่มีประโยชน์เลยครับ เพราะผ่านการชงด้วยการใส่ส่วนผสมอื่น ๆ เยอะไปหมด
แต่หากเป็นชาเขียว หรือ ชาที่ชงเข้มข้นแบบชาจีน ก็จะมีสาร Catechins มาก มีสรรพคุณทางยาในการต้านโรคหลายโรคครับ
โทษ หากดื่มชามากเกินไป อาจได้รับสาร Oxalate มากเกินไป มีผลต่อการทำให้ไตเสื่อมได้ครับ
ค. กาแฟเย็น
ประโยชน์ มีคาเฟอีนช่วยกระตุ้นสมอง ทำงานบางอย่างอาจดีขึ้น
และ(อาจ)มีผลในการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคพาร์กินสัน (พบในงานวิจัยเรื่องนี้)
โทษ น้ำตาลสูง ราคาแพง และหากกินมานานจนติดกาแฟไปแล้ว ก็อาจเกิดอาการ
กระสับกระส่าย วิตกกังวล ปวดศีรษะเป็นบางครั้ง
ดู ๆ แล้ว ผมว่าติดชาเย็น น่าจะแย่น้อยที่สุดครับ
ประโยชน์ ผมคิดว่า ไม่มี เลยครับ
โทษ น้ำตาลสูง และ(อาจ)ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมต่ำได้
ข. ชาเย็น
ประโยชน์ ชาเย็น นั้น แทบไม่มีประโยชน์เลยครับ เพราะผ่านการชงด้วยการใส่ส่วนผสมอื่น ๆ เยอะไปหมด
แต่หากเป็นชาเขียว หรือ ชาที่ชงเข้มข้นแบบชาจีน ก็จะมีสาร Catechins มาก มีสรรพคุณทางยาในการต้านโรคหลายโรคครับ
โทษ หากดื่มชามากเกินไป อาจได้รับสาร Oxalate มากเกินไป มีผลต่อการทำให้ไตเสื่อมได้ครับ
ค. กาแฟเย็น
ประโยชน์ มีคาเฟอีนช่วยกระตุ้นสมอง ทำงานบางอย่างอาจดีขึ้น
และ(อาจ)มีผลในการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคพาร์กินสัน (พบในงานวิจัยเรื่องนี้)
โทษ น้ำตาลสูง ราคาแพง และหากกินมานานจนติดกาแฟไปแล้ว ก็อาจเกิดอาการ
กระสับกระส่าย วิตกกังวล ปวดศีรษะเป็นบางครั้ง
ดู ๆ แล้ว ผมว่าติดชาเย็น น่าจะแย่น้อยที่สุดครับ
แสดงความคิดเห็น
ระหว่าง ติดน้ำอัดลม ติดชาเย็น ติดกาแฟเย็น...อะไรอันตราย/มีโทษมากกว่ากัน ?
ข. ชาเย็น
ค. กาแฟเย็น
สมมติว่ามีคนเสพติดสิ่งเหล่านี้
...อะไรมีประโยชน์ (ต่อสุขภาพ) มากกว่ากัน ?
...อะไรมีโทษ (ต่อสุขภาพ) มากกว่ากัน ?