ชีวิต” ทีมหมูป่าติด “ถ้ำหลวง” เป็นเรื่องที่ “คนไทยทั้งประเทศ” สนใจ ติดตามข่าวสารติดจอทั้งวันทั้งคืน และถือเป็นอีก 1 “ปรากฏการณ์” ในวงการโทรทัศน์ที่ทุกสื่อรายงานเกาะติดแบบเรียลลิตี้นาทีต่อนาที
แล้ว “ปรากฏการณ์” ที่ว่านั้น คือการ กอบโกย “เรตติ้ง” ที่มี “ผู้ชนะ” แบบชัดเจน “เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นั่นคือ “ไทยรัฐทีวี”
ทันทีที่มีความชัดเจนเรื่องเด็กติดถ้ำ ขณะที่ช่องอื่นยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “ไทยรัฐทีวี” เป็นช่องแรกที่กล้า “ล้มผัง” ถอดรายการบันเทิงออกหมดแล้วจัดรายการข่าวพิเศษ ผสานจุดเด่นของ “กราฟฟิก” มีทีมข่าว ตลอดจน “ผู้ประกาศ” ไปรายงานบริเวณหน้าถ้ำ จนทำให้เรตติ้งทะยานขึ้นจาก อันดับที่ 9 ในวันจันทร์ที่ 25 มิ.ย. ขยับขึ้นที่ 3 เป็นรองช่อง 7 และ 3 ในวันอังคารที่ 26 มิ.ย. ถึง ศุกร์ที่ 29 มิ.ย. และชนะขาดในช่วงวันเสาร์ที่ 30 มิ.ย. และ อาทิตย์ที่ 1 ก.ค. ซึ่งสถานการณ์สุกงอมขึ้น ด้วยการแซงขึ้นเป็นที่ 2 หายใจรดต้นคอช่อง 7 แบบแพ้ในหลักจุดทศนิยมเท่านั้น
ความแรงของ “ไทยรัฐทีวี” ทำเรตติ้งขยับ “ทั้งผัง” ไล่ตั้งแต่ข่าวเช้าไทยรัฐ ที่แต่เดิมอยู่ที่ราวๆ 0.2-0.3 ขยับเป็น 1.3 – 1.7 ด้วยซ้ำ เรียกว่าขยับขึ้นขั้นต่ำ 3 เท่าตัว “ตลอดทั้งวัน”
ซึ่งยากที่จะเกิดขึ้นในยุคดิจิทัลทีวี (ตอนบุพเพสันนิวาส ช่อง 3 ขยับเรตติ้งขึ้นแค่ช่วงละคร) ถือเป็นการเดินหมากที่ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ” และ “ถูกใจคนไทยทั้งประเทศ”
ในมุมผู้ชนะ “อันดับที่ 1” ก็อดมองคู่แข่งรายอื่นไม่ได้ว่ามีจุดผิดพลาดอะไรบ้าง เริ่มจาก “ช่อง 7” เข้าใจว่าเน้นบันเทิง ไม่กล้าที่จะล้มผัง และฐานยังแข็งแกร่ง ไม่ถือว่าแพ้อะไรมาก เสมอตัว
แต่ช่อง 3 ที่พยายามชูแบรนด์ “ครอบครัวข่าว 3” มาตลอดนั้น
ต้องยอมรับว่า “สรยุทธ เอฟเฟค” ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พอขาดแม่ทัพ ก็เหมือนเรือไม่มี GPS หลงทิศ ต่างคนต่างทำรายการส่วนของตัวเอง ขาดความต่อเนื่อง และมีปมดราม่าในสนามข่าวเจือปนจนไม่ค่อยตรึงใจ “คนดู” บางส่วน
ขณะที่ “อมรินทร์ทีวี” แม้จะมีคนเล่าข่าวฝีปากกล้าอย่าง “พุทธ อภิวรรณ” ก็ถือว่า “บุญมี” แต่เจอ “บอลโลก” บัง และเบียดเวลาข่าวช่วงซุปเปอร์ไพร์มไทม์ จนขาดความต่อเนื่องเช่นกัน เชื่อว่า “พุทธ” คงมอง “ไทยรัฐทีวี” ตาปริบๆ ด้วยความเสียดาย
ส่วนที่ตีกินเรตติ้งเนียนๆ อยู่ 2 ช่อง เห็นจะเป็น “เนชั่น” ที่ส่ง “เจ้ปอง” ลงพื้นที่จริง ลุยปะฉะดะ เสริมกับทีม “ข่าวข้น” กนก และ ธีระ และด้วยจุดเด่นของ “ช่องข่าว” ก็สามารถตัดเข้ารายงานสดตลอดเวลา กลบข้อด้อยเรื่องงานกราฟฟิก หรือความคมชัดของภาพ ก็ดันเรตติ้งเข้ามาติดท็อปเท็นได้
และช่องสุดท้ายคือ “พีพีทีวี” ที่พักหลังสาละวันเตี้ยลง หลังพยายามปรับโฉมเป็นช่องบันเทิงระดับ World Class ที่มุ่งระดับโลกจนลืมคนไทย จากความฝันที่จะติดท็อปเท็น
พอหมดเทศกาลฟุตบอลก็ร่วงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเหตุการณ์นี้ ก็ปรากฏว่า “รายการข่าว” ก็กลายเป็นตัวชูโรง เช่น “เข้มข่าวค่ำ” ก็สามารถดันเรตติ้งมาแตะระดับ “0.9” ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นที่นี่มาก่อน รวมทั้งการยกผังในช่วงเสาร์ – อาทิตย์
ก็ช่วยให้คนหันมาสนใจได้ แต่ก็เกิดในช่วงท้ายๆ เกือบตกขบวนนี้ไปแบบฉิวเฉียด
เหตุการณ์นี้ถือเป็น “แบบทดสอบกลางภาค” ของ “ฝ่ายข่าว” ดิจิทัลทีวีแต่ละช่อง ที่ยังสามารถปรับแก้ ศึกษาจุดเด่น จุดด้อยภายในองค์กรตัวเอง “แบบไม่เข้าข้าง”ตัวเอง
แล้วนำมาใช้รับมือ “เหตุการณ์ใหญ่ๆ” ในอนาคตได้ เพราะวงการนี้ไม่มี ผู้แพ้หรือชนะถาวร
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1842397449399483&id=1832643927041502
“13 ชีวิต” ติดถ้ำ แบบทดสอบกลางภาค “ฝ่ายข่าว” ทีวีดิจิทัล
แล้ว “ปรากฏการณ์” ที่ว่านั้น คือการ กอบโกย “เรตติ้ง” ที่มี “ผู้ชนะ” แบบชัดเจน “เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นั่นคือ “ไทยรัฐทีวี”
ทันทีที่มีความชัดเจนเรื่องเด็กติดถ้ำ ขณะที่ช่องอื่นยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “ไทยรัฐทีวี” เป็นช่องแรกที่กล้า “ล้มผัง” ถอดรายการบันเทิงออกหมดแล้วจัดรายการข่าวพิเศษ ผสานจุดเด่นของ “กราฟฟิก” มีทีมข่าว ตลอดจน “ผู้ประกาศ” ไปรายงานบริเวณหน้าถ้ำ จนทำให้เรตติ้งทะยานขึ้นจาก อันดับที่ 9 ในวันจันทร์ที่ 25 มิ.ย. ขยับขึ้นที่ 3 เป็นรองช่อง 7 และ 3 ในวันอังคารที่ 26 มิ.ย. ถึง ศุกร์ที่ 29 มิ.ย. และชนะขาดในช่วงวันเสาร์ที่ 30 มิ.ย. และ อาทิตย์ที่ 1 ก.ค. ซึ่งสถานการณ์สุกงอมขึ้น ด้วยการแซงขึ้นเป็นที่ 2 หายใจรดต้นคอช่อง 7 แบบแพ้ในหลักจุดทศนิยมเท่านั้น
ความแรงของ “ไทยรัฐทีวี” ทำเรตติ้งขยับ “ทั้งผัง” ไล่ตั้งแต่ข่าวเช้าไทยรัฐ ที่แต่เดิมอยู่ที่ราวๆ 0.2-0.3 ขยับเป็น 1.3 – 1.7 ด้วยซ้ำ เรียกว่าขยับขึ้นขั้นต่ำ 3 เท่าตัว “ตลอดทั้งวัน”
ซึ่งยากที่จะเกิดขึ้นในยุคดิจิทัลทีวี (ตอนบุพเพสันนิวาส ช่อง 3 ขยับเรตติ้งขึ้นแค่ช่วงละคร) ถือเป็นการเดินหมากที่ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ” และ “ถูกใจคนไทยทั้งประเทศ”
ในมุมผู้ชนะ “อันดับที่ 1” ก็อดมองคู่แข่งรายอื่นไม่ได้ว่ามีจุดผิดพลาดอะไรบ้าง เริ่มจาก “ช่อง 7” เข้าใจว่าเน้นบันเทิง ไม่กล้าที่จะล้มผัง และฐานยังแข็งแกร่ง ไม่ถือว่าแพ้อะไรมาก เสมอตัว
แต่ช่อง 3 ที่พยายามชูแบรนด์ “ครอบครัวข่าว 3” มาตลอดนั้น
ต้องยอมรับว่า “สรยุทธ เอฟเฟค” ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พอขาดแม่ทัพ ก็เหมือนเรือไม่มี GPS หลงทิศ ต่างคนต่างทำรายการส่วนของตัวเอง ขาดความต่อเนื่อง และมีปมดราม่าในสนามข่าวเจือปนจนไม่ค่อยตรึงใจ “คนดู” บางส่วน
ขณะที่ “อมรินทร์ทีวี” แม้จะมีคนเล่าข่าวฝีปากกล้าอย่าง “พุทธ อภิวรรณ” ก็ถือว่า “บุญมี” แต่เจอ “บอลโลก” บัง และเบียดเวลาข่าวช่วงซุปเปอร์ไพร์มไทม์ จนขาดความต่อเนื่องเช่นกัน เชื่อว่า “พุทธ” คงมอง “ไทยรัฐทีวี” ตาปริบๆ ด้วยความเสียดาย
ส่วนที่ตีกินเรตติ้งเนียนๆ อยู่ 2 ช่อง เห็นจะเป็น “เนชั่น” ที่ส่ง “เจ้ปอง” ลงพื้นที่จริง ลุยปะฉะดะ เสริมกับทีม “ข่าวข้น” กนก และ ธีระ และด้วยจุดเด่นของ “ช่องข่าว” ก็สามารถตัดเข้ารายงานสดตลอดเวลา กลบข้อด้อยเรื่องงานกราฟฟิก หรือความคมชัดของภาพ ก็ดันเรตติ้งเข้ามาติดท็อปเท็นได้
และช่องสุดท้ายคือ “พีพีทีวี” ที่พักหลังสาละวันเตี้ยลง หลังพยายามปรับโฉมเป็นช่องบันเทิงระดับ World Class ที่มุ่งระดับโลกจนลืมคนไทย จากความฝันที่จะติดท็อปเท็น
พอหมดเทศกาลฟุตบอลก็ร่วงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเหตุการณ์นี้ ก็ปรากฏว่า “รายการข่าว” ก็กลายเป็นตัวชูโรง เช่น “เข้มข่าวค่ำ” ก็สามารถดันเรตติ้งมาแตะระดับ “0.9” ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นที่นี่มาก่อน รวมทั้งการยกผังในช่วงเสาร์ – อาทิตย์
ก็ช่วยให้คนหันมาสนใจได้ แต่ก็เกิดในช่วงท้ายๆ เกือบตกขบวนนี้ไปแบบฉิวเฉียด
เหตุการณ์นี้ถือเป็น “แบบทดสอบกลางภาค” ของ “ฝ่ายข่าว” ดิจิทัลทีวีแต่ละช่อง ที่ยังสามารถปรับแก้ ศึกษาจุดเด่น จุดด้อยภายในองค์กรตัวเอง “แบบไม่เข้าข้าง”ตัวเอง
แล้วนำมาใช้รับมือ “เหตุการณ์ใหญ่ๆ” ในอนาคตได้ เพราะวงการนี้ไม่มี ผู้แพ้หรือชนะถาวร
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้