https://www.matichon.co.th/entertainment/news_5000573
นก จริยา พร้อมสู้เพื่อละครกลับมาเฟื่องฟู ระบายอัดอั้น ธุรกิจบันเทิงไม่เคยได้รับเงินจากภาครัฐ ลิซ่าดังก็ไปเกาะ
แม้ว่าจะไปทำละครกับช่องโมโน แต่ผู้จัด นก – จริยา แอนโฟเน่ ยังมีผลงานให้กับช่อง 3 ล่าสุดกับเรื่อง เพลงพยัคฆ์ ซึ่งเป็นการฉีกทำแนวใหม่เกี่ยวกับเพลงลูกทุ่งเป็นครั้งแรก
โดยภายในงานช่อง 3 แถลงข่าว “ปีใหม่ละครใหม่ 2568” เปิดตัวละคร 3 เรื่อง 3 รส ที่ช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ นก จริยา ได้เผยถึงความสัมพันธ์ยังผูกพันกับช่อง 3 เหมือนเดิม ไม่ได้ขาดกันไป ซึ่งตนเข้าใจทุกฝ่ายถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน
พร้อมกับระบายความในใจ ไม่อยากเป็นน้ำเต็มแก้ว พยายามสู้เต็มที่ เพื่องานที่รัก คนในครอบครัวธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิง ให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง และฝากถึงภาครัฐที่ไม่เคยให้เงินลงทุน แต่เกาะกระแสความสำเร็จจากศิลปิน และผลงานที่สำเร็จแล้ว ยังไม่ช้าเกินไปที่จะให้การสนับสนุน
ละครที่ทำกับช่อง 3 ไว้มีกี่เรื่อง?
“มีเรื่องนี้ค่ะ เพลงพยัคฆ์ ที่ปิดกล้องไปเมื่อต้นปี ถ่ายทำไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จริงๆ จบโปรเจ็กต์นี้แล้ว ก็มีแพลนการนำเสนอเข้ามานะคะ ก็ได้คุยๆ ปรึกษากับทีมผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ทีนี้ก็อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่ามีการปรับบ้าง เปลี่ยนบ้างเพื่อเซ็ตตัว มันอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนอะไรใดๆ งานอาจจะยังไม่ซิงค์กันโดยตรง ซึ่งก็อย่างที่น้องๆ ทราบดี ว่าเราก็ขยับไปทำกับช่องโมโนด้วย”
ในมือที่จะเสนอกับช่อง 3 มีกี่เรื่อง?
“จริงๆ ก็หลายเรื่องนะคะ ทีนี้มันต้องดูว่าบางเรื่องความเข้มข้นกับสิ่งที่ถ้าเกิดว่าอนุมัติไปในปีนี้หรือปีหน้าเนี่ย รูปแบบของงานจะเป็นยังไง คือเราต้องคิดไปเผื่อเวลาข้างหน้านิดหนึ่งด้วย แต่ว่าก็ยังเป็นโหมดงานของเราอยู่ค่ะ ค่อนข้างที่จะเป็นดราม่าชีวิต แต่บางครั้งที่เราทำอะไรเยอะมากในโจทย์เดิม บางทีโจทย์มันซ้ำ แล้วเราก็มีโจทย์ที่อยู่ในใจนานแล้ว เกี่ยวกับเรื่องฟีลเพลงลูกทุ่ง หรือซอฟต์พาวเวอร์ไทย มันเป็นอะไรที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็ได้เสนอเรื่องนี้ขอโอกาสกับทางช่องว่าอยากเปลี่ยนแนวบ้างนิดหนึ่ง เพื่อเติมฟีล เติมอะไรให้กับตัวเองให้มันเป็นสีสันอื่นบ้างค่ะ”
พอเปลี่ยนแนว เราต้องปรับอะไรไหม?
“จริงๆ แล้วถามว่าต้องปรับอะไรไหม ก็เหมือนปรับจังหวะการเล่า เล่ายังไงให้มันสนุกที่สุดด้วย เรื่องนี้จะมีความเป็นเพลงมานำ เราก็เข้าไปดูฟีลของวงดนตรีลูกทุ่ง กับฟีลของคนที่เป็นอาชีพนี้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ซึ่งก็ได้เปลี่ยนโหมดอะไรบางอย่างของตัวเอง เหมือนเติมรสชาติบางอย่างมาให้ตัวเอง มุมมองก็กว้างขึ้น แล้วมันเป็นเสน่ห์แบบที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็เห็นคนอื่นเขาทำมันน่ารักดี เราก็คิดว่าถ้าเราทำจะเป็นยังไง”
เป็นเรื่องแรกที่ฉีกจากรูปแบบเดิมของตัวเอง?
“ใช่ไหม (หัวเราะ) จริงๆ แล้วมันชอบ แต่ยังไม่เคยพรีเซ็นต์และนำเสนอออกไป แล้วโดยโจทย์ที่ช่องให้ ก็เป็นแนวที่เราเข้ามือ เป็นลายเซ็นเราชัดเจน แต่ว่าอันนี้มันเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งที่อยากเจอโจทย์นี้บ้าง แล้วก็ชอบนะ”
เรียกว่าติดใจแนวนี้เหมือนกัน อนาคตมีโอกาสจะทำเรื่องแนวนี้อีกไหม?
“ชอบๆ ถ้ามีสตอรี่ที่น่าสนใจที่จะมาจับเอาเพลงลูกทุ่งทำอีก เราชอบนะ เรามีความรู้สึกว่าเพลงของศิลปินแห่งชาติ เพลงดีๆ ของเรามันไม่หายไป มันถูกกลับมาให้เด็กๆ หรือคนอีกรุ่นหนึ่งได้ฟัง เหมือนเพลงที่เปิดบนเวทีเมื่อกี้ เป็นเพลงของ อาชาย เมืองสิงห์ ชื่อเพลงมาลัยน้ำใจ ซึ่งพอมาทำใหม่มันก็ได้ความคึกคัก แล้วมาจังหวะพอดีเลย คือหลังเทศกาลปีใหม่นิดหนึ่ง เขาจะได้มาฟังเพลงแล้วคึกคัก เวลาได้ฟังแล้วเราก็อยากจะเต้น มันอยู่ความเป็นคนไทยค่ะ”
ลุ้นกับเรตติ้งหรือฟีดแบ็กไหม?
“ต้องใช้คำว่าไม่ลุ้นนะ เพราะเรามีความรู้สึกว่า เรื่องนี้ได้ทำในแบบที่เต็มแม็กซ์ของตัวเองแล้ว แล้วการที่ทำเต็มแม็กซ์ในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลง การเล่าเรื่อง หรือเรื่องของฝาแฝด คิดว่าคนดูต้องได้ความสุข ได้บรรยากาศ ได้ความสบายใจ ได้อรรถรสของสิ่งที่เราตั้งใจเสิร์ฟไป คิดว่าคนดูน่าจะชอบ”
คอนเฟิร์มว่าการที่เราไปทำงานกับช่องโมโน ทางช่อง 3 ไม่ได้มีปัญหาอะไร?
“จริงๆ แล้วในความผูกพันของเรากับช่อง 3 เนี่ย ที่นี่ตัดสายสะดือให้เราเกิดเลยนะ เราความสัมพันธ์ ความเคารพกับช่อง 3 ก็ยังเหมือนเดิม แล้วเมื่อเรามีการปรับรูปแบบงาน เราก็เดินเข้ามาแจ้งผู้ใหญ่ ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดี มันเป็นปกติของการทำงานค่ะ มันต้องมีการปรับบ้าง ผู้ใหญ่ก็ยังบอกว่าเราไม่ได้ขาดกันไปไหนนะ เราก็ยังกลับมาทำงานกันเหมือนปกติ เราว่าเราตรงไปตรงมา เรียบง่าย และคุยกันผู้ใหญ่ก็ให้ความเมตตาเสมอมา แล้วทางฝั่งโมโนก็ให้เกียรติ คือเราคุยกันเรื่องงาน เราเอาผลงานที่ดีๆ ไปเสนอ แล้วมันอาจจะยังไม่ลงล็อกกับทางช่อง 3 ซึ่งแต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง เราทุกฝ่ายเข้าใจกันดีค่ะ”
เรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นการทิ้งทวนเรื่องสุดท้ายกับช่อง 3 ใช่ไหม?
“ไม่ๆ เป็นการปรับรูปแบบการทำงาน ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว มีการถ่ายเท มีการเขย่า งานมันไม่ควรอยู่นิ่ง ควรปรับกันอยู่เรื่อยๆ รูปแบบมันจะถูกปรับเปลี่ยน ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังสู้กันเต็มที่ ด้วยความเข้าใจกัน
(สู้ให้ละครกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง?) ใช่ สู้เพื่องานที่เรารัก เพื่อครอบครัวของคนที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิง แล้วสิ่งหนึ่งที่เราคิดตลอด คือคนไทยไม่ได้ไม่มีคุณภาพ หรือด้อยไปกว่าต่างชาติ แต่ที่ผ่านมามันถูกตีกรอบ อันนี้เล่าได้ อันนี้เล่าไม่ได้ อันนี้แตะได้ อันนี้แตะไม่ได้ ซึ่งบางทีความเป็นสากลเขาเล่าได้เยอะกว่าเรา ทุนเขาสูงกว่าเรา เขาได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเยอะกว่าเรา
เรายกตัวอย่างเลยว่าเกาหลีเนี่ย ภาครัฐเขาส่งคนไปเรียนเพื่อนำอุตสาหกรรมต่างๆ ออกไปเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่า K-Pop, ซีรีส์, หนัง เขานำ นั่นคือเป็นการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจริงๆ เราขออนุญาตพูดเลยนะว่าบ้านเราไม่เคยได้รับการลงทุนจากภาครัฐ เรื่องไหนดังก็ไปเกาะ เห็นไปเกาะเขา จริงๆ ถ้าคุณหันมาดูแลอุตสาหกรรมบันเทิงให้เต็มที่ ข้าวไทย อาหารไทย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปแบบของคนไทย ที่เราจะไปนำให้คนต่างชาติเขามาเที่ยวเมืองไทยเนี่ย มันมหาศาล แต่เห็นงบที่ออกมาแล้วก็อยากร้องไห้”
เหมือนว่าบ้านเราต้องรอให้สำเร็จก่อน แล้วผู้ใหญ่ถึงจะพุ่งเข้ามาหา?
“ถูกค่ะ อย่าง บุพเพสันนิวาส เห็นไหม ไม่ร่วมรบ ไม่ร่วมชูป้าย ไม่ร่วมสนับสนุนสินค้าไทย ไม่ร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยไปกับเรา ตอนหนังสัปเหร่อดังก็เป็นยังไงล่ะ”
ผู้จัดมีการคุยกันไหมว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง?
“เราพูดเรื่องนี้กันมานานมากแล้วค่ะ เราว่า Vision ของผู้ใหญ่ ถ้าคิดได้ไวกว่านี้ 10-20 ปี แรงไปไหมอ่ะ (หัวเราะ) เราพูดความในใจ แต่เป็นสิ่งที่จริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจมาตลอดเลยว่าเด็กบ้านเราที่เก่งๆ ไปทำงานเมืองนอกหมดเลย กับอุตสาหกรรมไหนๆ ก็แล้วแต่นะคะ แม้แต่อุตสาหกรรมบันเทิง แต่เกาหลีเขาส่งไปเรียน แล้วเอากลับมาทำงานที่เกาหลี แล้วส่งออกไปขาย อย่าง แดจังกึม เรากินอาหารเกาหลีเป็นเพราะอะไร เพราะเราดูจากสื่อบันเทิงนี่แหละ ดู ลิซ่า เราก็ไปเกาะน้องต้อยๆ จริงๆ ต้องขอบคุณลิซ่านะคะ
เรานิสัยไม่ดีไหมพูดอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่เราขอพูดความในใจว่าเราเสียดาย แล้วเราก็ยังพยายามสู้เพื่อหลายๆ ครอบครัวที่เราดูแล และอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยกัน
เราก็ฝากสื่อมวลชนด้วยว่าอยากให้เป็นกระบอกเสียง ถ้าคุณเข้าใจการวิ่งไปของสื่อที่มันอยู่ที่ปลายนิ้ว เราเห็นได้ชัดมากล่าสุด จากที่ลิซ่านี่ออกไปตั้งไม่รู้กี่ร้อยล้านวิวแล้วว่าเมืองไทยตรงนี้อะไรใดๆ จะคิดช้าเกินไปก็ไม่สายนะคะ ถ้าจะกลับมาช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยวไทย ผ้าไทย มันจะได้เงินไหลเข้าประเทศ หลายๆ อุตสาหกรรมจะได้ยังคงอยู่ และเติบโตไปด้วยการบูรณาการ อายจังเลยมาพูด แต่มันเป็นความในใจ ก็ฝากๆ น้องๆ สื่อ ไม่งั้นเราจะเสียดายอีกหลายอาชีพกับสินค้าของเรา ที่ควรจะนำเงินเข้าประเทศได้”... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/entertainment/news_5000573
นก จริยา อัดอั้น รัฐไม่หนุนธุรกิจบันเทิง เห็นงบแล้วอยากร้องไห้ พอ ‘ลิซ่า’ ดังก็ไปเกาะต้อยๆ
นก จริยา พร้อมสู้เพื่อละครกลับมาเฟื่องฟู ระบายอัดอั้น ธุรกิจบันเทิงไม่เคยได้รับเงินจากภาครัฐ ลิซ่าดังก็ไปเกาะ
แม้ว่าจะไปทำละครกับช่องโมโน แต่ผู้จัด นก – จริยา แอนโฟเน่ ยังมีผลงานให้กับช่อง 3 ล่าสุดกับเรื่อง เพลงพยัคฆ์ ซึ่งเป็นการฉีกทำแนวใหม่เกี่ยวกับเพลงลูกทุ่งเป็นครั้งแรก
โดยภายในงานช่อง 3 แถลงข่าว “ปีใหม่ละครใหม่ 2568” เปิดตัวละคร 3 เรื่อง 3 รส ที่ช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ นก จริยา ได้เผยถึงความสัมพันธ์ยังผูกพันกับช่อง 3 เหมือนเดิม ไม่ได้ขาดกันไป ซึ่งตนเข้าใจทุกฝ่ายถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน
พร้อมกับระบายความในใจ ไม่อยากเป็นน้ำเต็มแก้ว พยายามสู้เต็มที่ เพื่องานที่รัก คนในครอบครัวธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิง ให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง และฝากถึงภาครัฐที่ไม่เคยให้เงินลงทุน แต่เกาะกระแสความสำเร็จจากศิลปิน และผลงานที่สำเร็จแล้ว ยังไม่ช้าเกินไปที่จะให้การสนับสนุน
ละครที่ทำกับช่อง 3 ไว้มีกี่เรื่อง?
“มีเรื่องนี้ค่ะ เพลงพยัคฆ์ ที่ปิดกล้องไปเมื่อต้นปี ถ่ายทำไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จริงๆ จบโปรเจ็กต์นี้แล้ว ก็มีแพลนการนำเสนอเข้ามานะคะ ก็ได้คุยๆ ปรึกษากับทีมผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ทีนี้ก็อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่ามีการปรับบ้าง เปลี่ยนบ้างเพื่อเซ็ตตัว มันอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนอะไรใดๆ งานอาจจะยังไม่ซิงค์กันโดยตรง ซึ่งก็อย่างที่น้องๆ ทราบดี ว่าเราก็ขยับไปทำกับช่องโมโนด้วย”
ในมือที่จะเสนอกับช่อง 3 มีกี่เรื่อง?
“จริงๆ ก็หลายเรื่องนะคะ ทีนี้มันต้องดูว่าบางเรื่องความเข้มข้นกับสิ่งที่ถ้าเกิดว่าอนุมัติไปในปีนี้หรือปีหน้าเนี่ย รูปแบบของงานจะเป็นยังไง คือเราต้องคิดไปเผื่อเวลาข้างหน้านิดหนึ่งด้วย แต่ว่าก็ยังเป็นโหมดงานของเราอยู่ค่ะ ค่อนข้างที่จะเป็นดราม่าชีวิต แต่บางครั้งที่เราทำอะไรเยอะมากในโจทย์เดิม บางทีโจทย์มันซ้ำ แล้วเราก็มีโจทย์ที่อยู่ในใจนานแล้ว เกี่ยวกับเรื่องฟีลเพลงลูกทุ่ง หรือซอฟต์พาวเวอร์ไทย มันเป็นอะไรที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็ได้เสนอเรื่องนี้ขอโอกาสกับทางช่องว่าอยากเปลี่ยนแนวบ้างนิดหนึ่ง เพื่อเติมฟีล เติมอะไรให้กับตัวเองให้มันเป็นสีสันอื่นบ้างค่ะ”
พอเปลี่ยนแนว เราต้องปรับอะไรไหม?
“จริงๆ แล้วถามว่าต้องปรับอะไรไหม ก็เหมือนปรับจังหวะการเล่า เล่ายังไงให้มันสนุกที่สุดด้วย เรื่องนี้จะมีความเป็นเพลงมานำ เราก็เข้าไปดูฟีลของวงดนตรีลูกทุ่ง กับฟีลของคนที่เป็นอาชีพนี้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ซึ่งก็ได้เปลี่ยนโหมดอะไรบางอย่างของตัวเอง เหมือนเติมรสชาติบางอย่างมาให้ตัวเอง มุมมองก็กว้างขึ้น แล้วมันเป็นเสน่ห์แบบที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็เห็นคนอื่นเขาทำมันน่ารักดี เราก็คิดว่าถ้าเราทำจะเป็นยังไง”
เป็นเรื่องแรกที่ฉีกจากรูปแบบเดิมของตัวเอง?
“ใช่ไหม (หัวเราะ) จริงๆ แล้วมันชอบ แต่ยังไม่เคยพรีเซ็นต์และนำเสนอออกไป แล้วโดยโจทย์ที่ช่องให้ ก็เป็นแนวที่เราเข้ามือ เป็นลายเซ็นเราชัดเจน แต่ว่าอันนี้มันเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งที่อยากเจอโจทย์นี้บ้าง แล้วก็ชอบนะ”
เรียกว่าติดใจแนวนี้เหมือนกัน อนาคตมีโอกาสจะทำเรื่องแนวนี้อีกไหม?
“ชอบๆ ถ้ามีสตอรี่ที่น่าสนใจที่จะมาจับเอาเพลงลูกทุ่งทำอีก เราชอบนะ เรามีความรู้สึกว่าเพลงของศิลปินแห่งชาติ เพลงดีๆ ของเรามันไม่หายไป มันถูกกลับมาให้เด็กๆ หรือคนอีกรุ่นหนึ่งได้ฟัง เหมือนเพลงที่เปิดบนเวทีเมื่อกี้ เป็นเพลงของ อาชาย เมืองสิงห์ ชื่อเพลงมาลัยน้ำใจ ซึ่งพอมาทำใหม่มันก็ได้ความคึกคัก แล้วมาจังหวะพอดีเลย คือหลังเทศกาลปีใหม่นิดหนึ่ง เขาจะได้มาฟังเพลงแล้วคึกคัก เวลาได้ฟังแล้วเราก็อยากจะเต้น มันอยู่ความเป็นคนไทยค่ะ”
ลุ้นกับเรตติ้งหรือฟีดแบ็กไหม?
“ต้องใช้คำว่าไม่ลุ้นนะ เพราะเรามีความรู้สึกว่า เรื่องนี้ได้ทำในแบบที่เต็มแม็กซ์ของตัวเองแล้ว แล้วการที่ทำเต็มแม็กซ์ในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลง การเล่าเรื่อง หรือเรื่องของฝาแฝด คิดว่าคนดูต้องได้ความสุข ได้บรรยากาศ ได้ความสบายใจ ได้อรรถรสของสิ่งที่เราตั้งใจเสิร์ฟไป คิดว่าคนดูน่าจะชอบ”
คอนเฟิร์มว่าการที่เราไปทำงานกับช่องโมโน ทางช่อง 3 ไม่ได้มีปัญหาอะไร?
“จริงๆ แล้วในความผูกพันของเรากับช่อง 3 เนี่ย ที่นี่ตัดสายสะดือให้เราเกิดเลยนะ เราความสัมพันธ์ ความเคารพกับช่อง 3 ก็ยังเหมือนเดิม แล้วเมื่อเรามีการปรับรูปแบบงาน เราก็เดินเข้ามาแจ้งผู้ใหญ่ ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดี มันเป็นปกติของการทำงานค่ะ มันต้องมีการปรับบ้าง ผู้ใหญ่ก็ยังบอกว่าเราไม่ได้ขาดกันไปไหนนะ เราก็ยังกลับมาทำงานกันเหมือนปกติ เราว่าเราตรงไปตรงมา เรียบง่าย และคุยกันผู้ใหญ่ก็ให้ความเมตตาเสมอมา แล้วทางฝั่งโมโนก็ให้เกียรติ คือเราคุยกันเรื่องงาน เราเอาผลงานที่ดีๆ ไปเสนอ แล้วมันอาจจะยังไม่ลงล็อกกับทางช่อง 3 ซึ่งแต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง เราทุกฝ่ายเข้าใจกันดีค่ะ”
เรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นการทิ้งทวนเรื่องสุดท้ายกับช่อง 3 ใช่ไหม?
“ไม่ๆ เป็นการปรับรูปแบบการทำงาน ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว มีการถ่ายเท มีการเขย่า งานมันไม่ควรอยู่นิ่ง ควรปรับกันอยู่เรื่อยๆ รูปแบบมันจะถูกปรับเปลี่ยน ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังสู้กันเต็มที่ ด้วยความเข้าใจกัน
(สู้ให้ละครกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง?) ใช่ สู้เพื่องานที่เรารัก เพื่อครอบครัวของคนที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิง แล้วสิ่งหนึ่งที่เราคิดตลอด คือคนไทยไม่ได้ไม่มีคุณภาพ หรือด้อยไปกว่าต่างชาติ แต่ที่ผ่านมามันถูกตีกรอบ อันนี้เล่าได้ อันนี้เล่าไม่ได้ อันนี้แตะได้ อันนี้แตะไม่ได้ ซึ่งบางทีความเป็นสากลเขาเล่าได้เยอะกว่าเรา ทุนเขาสูงกว่าเรา เขาได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเยอะกว่าเรา
เรายกตัวอย่างเลยว่าเกาหลีเนี่ย ภาครัฐเขาส่งคนไปเรียนเพื่อนำอุตสาหกรรมต่างๆ ออกไปเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่า K-Pop, ซีรีส์, หนัง เขานำ นั่นคือเป็นการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจริงๆ เราขออนุญาตพูดเลยนะว่าบ้านเราไม่เคยได้รับการลงทุนจากภาครัฐ เรื่องไหนดังก็ไปเกาะ เห็นไปเกาะเขา จริงๆ ถ้าคุณหันมาดูแลอุตสาหกรรมบันเทิงให้เต็มที่ ข้าวไทย อาหารไทย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปแบบของคนไทย ที่เราจะไปนำให้คนต่างชาติเขามาเที่ยวเมืองไทยเนี่ย มันมหาศาล แต่เห็นงบที่ออกมาแล้วก็อยากร้องไห้”
เหมือนว่าบ้านเราต้องรอให้สำเร็จก่อน แล้วผู้ใหญ่ถึงจะพุ่งเข้ามาหา?
“ถูกค่ะ อย่าง บุพเพสันนิวาส เห็นไหม ไม่ร่วมรบ ไม่ร่วมชูป้าย ไม่ร่วมสนับสนุนสินค้าไทย ไม่ร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยไปกับเรา ตอนหนังสัปเหร่อดังก็เป็นยังไงล่ะ”
ผู้จัดมีการคุยกันไหมว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง?
“เราพูดเรื่องนี้กันมานานมากแล้วค่ะ เราว่า Vision ของผู้ใหญ่ ถ้าคิดได้ไวกว่านี้ 10-20 ปี แรงไปไหมอ่ะ (หัวเราะ) เราพูดความในใจ แต่เป็นสิ่งที่จริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจมาตลอดเลยว่าเด็กบ้านเราที่เก่งๆ ไปทำงานเมืองนอกหมดเลย กับอุตสาหกรรมไหนๆ ก็แล้วแต่นะคะ แม้แต่อุตสาหกรรมบันเทิง แต่เกาหลีเขาส่งไปเรียน แล้วเอากลับมาทำงานที่เกาหลี แล้วส่งออกไปขาย อย่าง แดจังกึม เรากินอาหารเกาหลีเป็นเพราะอะไร เพราะเราดูจากสื่อบันเทิงนี่แหละ ดู ลิซ่า เราก็ไปเกาะน้องต้อยๆ จริงๆ ต้องขอบคุณลิซ่านะคะ
เรานิสัยไม่ดีไหมพูดอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่เราขอพูดความในใจว่าเราเสียดาย แล้วเราก็ยังพยายามสู้เพื่อหลายๆ ครอบครัวที่เราดูแล และอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยกัน
เราก็ฝากสื่อมวลชนด้วยว่าอยากให้เป็นกระบอกเสียง ถ้าคุณเข้าใจการวิ่งไปของสื่อที่มันอยู่ที่ปลายนิ้ว เราเห็นได้ชัดมากล่าสุด จากที่ลิซ่านี่ออกไปตั้งไม่รู้กี่ร้อยล้านวิวแล้วว่าเมืองไทยตรงนี้อะไรใดๆ จะคิดช้าเกินไปก็ไม่สายนะคะ ถ้าจะกลับมาช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยวไทย ผ้าไทย มันจะได้เงินไหลเข้าประเทศ หลายๆ อุตสาหกรรมจะได้ยังคงอยู่ และเติบโตไปด้วยการบูรณาการ อายจังเลยมาพูด แต่มันเป็นความในใจ ก็ฝากๆ น้องๆ สื่อ ไม่งั้นเราจะเสียดายอีกหลายอาชีพกับสินค้าของเรา ที่ควรจะนำเงินเข้าประเทศได้”... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/entertainment/news_5000573