การป้องกันและดูแลแผลกดทับ
แผลกดทับหรือ bed sore หมายถึงบริเวณที่มีการตายของเนื้อเยื่อหรือเซลล์ เนื่องมาจากการขาดเลือด
ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกกดทับเป็นระยะเวลานาน
แผลกดทับแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
ระดับที่ 1 เป็นรอยแดงบริเวณที่ถูกกดทับ และไม่จางหายในเวลา 30 วินาที
ระดับที่ 2 ผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส เริ่มมีแอ่งแผลตื้นๆ อาจมีสารคัดหลั่งในปริมาณน้อย
ผิวหนังอุ่น และมีอาการปวด
ระดับที่ 3 ผิวหนังชั้นนอกถูกทำลาย แผลลึกลงไปถึงระดับชั้นหนังแท้ แผลเริ่มมีกลิ่น
มีเนื้อตายและมีสารคัดหลั่งปริมาณน้อยถึงปานกลาง
ระดับที่ 4 ผิวหนังชั้นนอกถูกทำลาย มีการลุกลามถึงชั้นกล้ามเนื้อ มีเนื้อตายปริมาณมาก
แผลมีกลิ่นเหม็น ปริมาณสารคัดหลั่งปานกลางถึงมาก
การป้องกันและดูแลแผลกดทับ
1. การจัดท่าผู้ป่วย
- ท่านอน ควรมีการปรับเปลี่ยนท่านอน ทุก 2 ชั่วโมง และควรมีหมอนหรือ
ผ้ารองบริเวณที่มีความเสื่ยงสูงต่อการเกิดแผลกดทับและใช้หมอนสอดคั่น
ระหว่างหัวเข่าและตาตุ่มทั้งสองข้าง
- ท่านั่ง ควรให้ผู้ป่วยนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง ขนาดไม่เล็กหรือแคบจนเกินไป
เพราะอาจทำให้เกิดการเสียดสีได้ และควรมีเบารองนั่งซึ่งทำจากวัสดุระบายอากาศได้ดี
2. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
- ควรใช้อุปกรณ์ในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อย่าทำการลากตัวผู้ป่วย
เพราะอาจจะทำให้เกิดการเสียดสี ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียดสีที่ผิวหนังได้
3. ประเมินลักษณะทางผิวหนังของผู้ป่วย
- สังเกตรอยแดง ตุ่มพุพพอง ตุ่มน้ำใส ผิวหนังซีด อุ่น บวม หรือมีลักษณะแข็ง
4. การทำสะอาดร่างกาย
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นเพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง สบู่ที่ใช้ควรเป็นสบู่อ่อนๆ
5. ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารแก่ร่างกายครบหมู่ โดยเฉพาะโปนตีน
6. การดูแลที่นอน
- ควรให้ผ้าปูเตียงสะอาด ไม่อับชื้น และปูให้เรียบตึง
7. การใช้อุปกรณ์กระจายแรงกด
- ใช้ที่นอนลม หรือที่นอนน้ำ
- ไม่ควรใช้ยางเป่าลมหรือหมอนรูปโดนัทวางบริเวณปุ่มกระดูก
เนื่องจากมีรายงานว่าจะมีผลทำให้มีการขัดขวางการไหลเวียนเลือดบริเวณรอบๆปุ่มกระดูก
โดยฟิสิคอลคลินิกกายภาพบำบัด
การป้องกันและดูแลแผลกดทับ
แผลกดทับหรือ bed sore หมายถึงบริเวณที่มีการตายของเนื้อเยื่อหรือเซลล์ เนื่องมาจากการขาดเลือด
ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกกดทับเป็นระยะเวลานาน
แผลกดทับแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
ระดับที่ 1 เป็นรอยแดงบริเวณที่ถูกกดทับ และไม่จางหายในเวลา 30 วินาที
ระดับที่ 2 ผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส เริ่มมีแอ่งแผลตื้นๆ อาจมีสารคัดหลั่งในปริมาณน้อย
ผิวหนังอุ่น และมีอาการปวด
ระดับที่ 3 ผิวหนังชั้นนอกถูกทำลาย แผลลึกลงไปถึงระดับชั้นหนังแท้ แผลเริ่มมีกลิ่น
มีเนื้อตายและมีสารคัดหลั่งปริมาณน้อยถึงปานกลาง
ระดับที่ 4 ผิวหนังชั้นนอกถูกทำลาย มีการลุกลามถึงชั้นกล้ามเนื้อ มีเนื้อตายปริมาณมาก
แผลมีกลิ่นเหม็น ปริมาณสารคัดหลั่งปานกลางถึงมาก
การป้องกันและดูแลแผลกดทับ
1. การจัดท่าผู้ป่วย
- ท่านอน ควรมีการปรับเปลี่ยนท่านอน ทุก 2 ชั่วโมง และควรมีหมอนหรือ
ผ้ารองบริเวณที่มีความเสื่ยงสูงต่อการเกิดแผลกดทับและใช้หมอนสอดคั่น
ระหว่างหัวเข่าและตาตุ่มทั้งสองข้าง
- ท่านั่ง ควรให้ผู้ป่วยนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง ขนาดไม่เล็กหรือแคบจนเกินไป
เพราะอาจทำให้เกิดการเสียดสีได้ และควรมีเบารองนั่งซึ่งทำจากวัสดุระบายอากาศได้ดี
2. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
- ควรใช้อุปกรณ์ในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อย่าทำการลากตัวผู้ป่วย
เพราะอาจจะทำให้เกิดการเสียดสี ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียดสีที่ผิวหนังได้
3. ประเมินลักษณะทางผิวหนังของผู้ป่วย
- สังเกตรอยแดง ตุ่มพุพพอง ตุ่มน้ำใส ผิวหนังซีด อุ่น บวม หรือมีลักษณะแข็ง
4. การทำสะอาดร่างกาย
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นเพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง สบู่ที่ใช้ควรเป็นสบู่อ่อนๆ
5. ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารแก่ร่างกายครบหมู่ โดยเฉพาะโปนตีน
6. การดูแลที่นอน
- ควรให้ผ้าปูเตียงสะอาด ไม่อับชื้น และปูให้เรียบตึง
7. การใช้อุปกรณ์กระจายแรงกด
- ใช้ที่นอนลม หรือที่นอนน้ำ
- ไม่ควรใช้ยางเป่าลมหรือหมอนรูปโดนัทวางบริเวณปุ่มกระดูก
เนื่องจากมีรายงานว่าจะมีผลทำให้มีการขัดขวางการไหลเวียนเลือดบริเวณรอบๆปุ่มกระดูก
โดยฟิสิคอลคลินิกกายภาพบำบัด